บทที่ 8 เอาคืนอ๋องชั่ว
"หน็อย!" เยี่ยนเหลียนหรงกำมือแน่น ขยับกายทำท่าจะก้าวเดินตามไปเอาเรื่อง สตรีผู้นั้นจงใจหาเรื่องนางชัดๆ มีอย่างที่ไหนเดินมาชนคนจนแทบจะตกบันไดแต่ยังไม่รู้จักขอโทษ
"อย่าไปเจ้าค่ะคุณหนู" ไป๋เฉียนรีบตามมาห้ามเจ้านายสาวเอาไว้
"เจ้ามาห้ามข้าทำไมกันไป๋เฉียน" เยี่ยนเหลียนหรงหันมาสบตากับสาวใช้คนสนิทด้วยความไม่พอใจนัก นางเป็นฝ่ายโดนกระทำแท้ๆไยต้องยอมด้วยเล่า
"อย่ามีเรื่องกับนางเลยเจ้าค่ะคุณหนู"
"เพราะเหตุใดกัน นางเป็นคนหาเรื่องข้าก่อนแท้ๆ จะให้ข้าปล่อยนางไปเฉยๆ อย่างนั้นหรือ" ยามนี้โทสะที่มีกำลังพลุ่งพล่าน อยากจะไปจัดการคนอวดดีเต็มทีแล้ว
"แต่นายท่านเยี่ยนปิ่งซงเคยสั่งเอาไว้ว่าห้ามคุณหนูไปยุ่งกับคนพวกนั้นอีกนะเจ้าคะ"
"ทำไมล่ะ นางเป็นใครกันแน่"
"นางคือคุณหนูจ๋ายเซี่ยงเหวิน ญาติผู้น้องของคุณหนูอย่างไรล่ะเจ้าคะ"
เยี่ยนเหลียนหรงชะงักไปเล็กน้อย "เป็นญาติข้าแล้วเหตุใดถึงกล้าทำเช่นนี้กับข้าล่ะ" หญิงสาวไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย ยิ่งเป็นญาติผู้น้องด้วยแล้วก็ต้องเคารพคนเป็นพี่สิถึงจะถูก
ไป๋เฉียนถอนหายใจออกมาเบาๆ มองเจ้านายด้วยความสงสารเห็นใจ หลังจากฟื้นขึ้นมาในวันนั้นดูเหมือนว่าความจำของคุณหนูเยี่ยนเหลียนหรงจะหายไปหลายส่วน แท้กระทั่งญาติผู้น้องของตนนางยังจำไม่ได้
"คุณหนูจ๋ายเซี่ยงเหวินเป็นญาติผู้น้องของคุณหนูฝั่งของเยี่ยนฮูหยิน นางเป็นบุตรสาวของจ๋ายฮูหยิน ท่านป้าของคุณหนูเจ้าค่ะ นับตั้งแต่วันที่เยี่ยนฮูหยินตัดสินใจแต่งงานกับนายท่านเยี่ยนปิ่งซง ใต้เท้าหลิวซ่าวเปิงท่านตาของคุณหนูก็ได้ตัดขาดจากเยี่ยนฮูหยินเจ้าค่ะ"
"ท่านตาตัดขาดจากท่านแม่งั้นหรือ เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้นเล่า" น้ำเสียงของนางแฝงด้วยความสงสัย ในใจเกิดคำถามขึ้นมากมาย ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์กับญาติฝั่งมารดาจะน่าสนใจมากทีเดียว ตอนนี้ทั้งนางกับไป๋เฉียนเดินออกมาจากสมาคมการค้าแล้ว ไป๋เฉียนหันมองซ้ายทีขวาที ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา
"ใต้เท้าหลิวซ่าวเปิงไม่ชอบนายท่านเยี่ยนปิ่งซงเจ้าค่ะ เพราะต้องการให้เยี่ยนฮูหยินแต่งงานกับบุรุษที่มาจากตระกูลขุนนาง แต่เยี่ยนฮูหยินไม่ยอมสุดท้ายจึง เอ่อ... "
"จึงอะไรล่ะไป๋เฉียน เล่าต่อสิ ข้ารอฟังอยู่นะ"
ไป๋เฉียนขยับเข้ามาใกล้พร้อมยกมือป้องปาก เยี่ยนเหลียนหรงเห็นเช่นนั้นจึงยื่นหูเข้าไปใกล้ปากของนาง ก่อนที่ดวงตาคู่งามจะเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ
"ท่านแม่หนีตามท่านพ่อเพราะกำลังตั้งครรภ์ท่านพี่น่ะหรือ!" ให้มันได้อย่างนี้สิ โดนขัดขวางความรักก็หนีตามกันไปเลย
"ใช่เจ้าค่ะ ใต้เท้าหลิวซ่าวเปิงติดตามหาตัวเยี่ยนฮูหยินจนพบแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะเยี่ยนฮูหยินกำลังตั้งครรภ์คุณชายเยี่ยนหรงซาน ทว่าเพราะความโกรธใต้เท้าจ๋ายจึงลั่นวาจาตัดขาดจากเยี่ยนฮูหยินเจ้าค่ะ นับตั้งแต่นั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย มีเพียงแค่คุณหนูที่เจอคุณหนูจ๋ายเซี่ยงเหวินตามงานสังคมเท่านั้นเจ้าค่ะ"
คิ้วเรียวของเยี่ยนเหลียนหรงย่นเข้ากันเล็กน้อย "แล้วเหตุใดญาติผู้น้องของข้าคนนั้นถึงดูมีทีท่าไม่ชอบขี้หน้าของข้าเล่า"
"คงเป็นเพราะกลัวคุณหนูจะไปแย่งสมบัติกระมังเจ้าคะ เมื่อปลายปีก่อนมีข่าวแว่วๆมาว่าใต้เท้าหลิวป่วยหนัก หากสิ้นไปทรัพย์สมบัติที่มีก็ต้องถูกแบ่ง แต่ไม่รู้ว่าคุณชายหรงซานกับคุณหนูจะได้อะไรบ้าง"
"สมบัติงั้นหรือ ท่านตาของข้ารวยมากใช่หรือไม่"
"ใช่เจ้าค่ะ แต่ก็ขี้เหนียวมากๆเช่นกัน" ท้ายประโยคไป๋เฉียนพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง อันที่จริงนางไม่รู้หรอกว่าแท้จริงแล้วใต้เท้าหลิวเป็นคนอย่างไร เรื่องราวต่างๆที่นางเล่าไปก็ฟังมาจากท่านแม่ของนางที่รับใช้อยู่จวนสกุลเยี่ยนเท่านั้น
เยี่ยนเหลียนหรงรับฟังอย่างเงียบๆ ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยวาจาใด จู่ๆเม็ดฝนก็โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า เสียงฝนตกกระทบหลังคาดังไปทั่วบริเวณ ผู้คนต่างพากันวิ่งหาที่หลบฝน ไม่เว้นแม้แต่เยี่ยนเหลียนหรงและไป๋เฉียนที่คว้าข้อมือเจ้านายพาวิ่งเข้าไปหลบอยู่ในศาลาเก่าข้างทาง
"คุณหนูรออยู่ที่นี่นะเจ้าคะ เดี๋ยวบ่าวจะไปพารถม้ามารับ" ไป๋เฉียนทำท่าจะวิ่งจากไป ทว่าเยี่ยนเหลียนหรงกลับเอ่ยรั้งนางไว้เสียก่อน
"ไม่ต้องไปหรอก อยู่ด้วยกันที่นี่แหละ"
"ดูเหมือนว่าฝนจะตกนานนะเจ้าคะ หากไม่รีบกลับจวนคงต้องติดฝนอยู่อีกนานแน่ คุณหนูรออยู่ที่นี่เถิดเจ้าค่ะ บ่าวไปไม่นานจะรีบกลับมานะเจ้าคะ" เอ่ยจบร่างเล็กของไป๋เฉียนก็วิ่งฝ่าสายฝนออกไปยังทิศทางที่รถม้าจอดรออยู่ ไป๋เฉียนวิ่งออกไปไม่นานสายฝนก็โหมกระหน่ำลงมาอย่างหนัก บรรยากาศรอบกายขาวโพลน เหน็บหนาวจนเยี่ยนเหลียนหรงต้องยกมือขึ้นมากอดตนเองเอาไว้
แต่ดูเหมือนว่าไป๋เฉียนจะคาดการณ์ผิดไป จากสายฝนที่โหมกระหน่ำลงมาอย่างหนักก็ค่อยๆเบาลง และหยุดตกในเวลาไม่นาน เยี่ยนเหลียนหรงเห็นเช่นนั้นนางจึงก้าวออกมาจากศาลาเพื่อจะไปตามทางที่ไป๋เฉียนจากไป ทว่าเพียงแค่ก้าวออกมาจากศาลาได้เพียงหนึ่งก้าวกลับมีคนผู้หนึ่งวิ่งสวนมา แขนเรียวเสลาของนางถูกเขาคว้าเอาไว้ ร่างบางปลิวไปตามแรงกระชากของอีกฝ่าย
"อื้อออ!" เยี่ยนเหลียนหรงเปิดปากหมายจะร้องโวยวายขอความช่วยเหลือ ทว่ามือหนาของเขากลับยื่นมาปิดปากของนางเอาไว้ พร้อมตวาดเสียงดุ อีกทั้งยังดันแผ่นหลังของนางให้แนบไปกับผนังไม้ของศาลา
"เงียบ!"
ยามนี้นางอยู่ใกล้เขาแค่เพียงเอื้อม ชายผู้นี้เป็นบุรุษร่างสูงใหญ่ ในขณะที่มือหนาของเขาปิดปากของนางอยู่ ร่างเล็กก็แทบจะจมหายไปในอกหนา ทว่าน้ำเสียงดุดันที่คุ้นเคยกลับทำให้เยี่ยนเหลียนหรงนิ่วหน้าเข้าหากัน
"มองอะไร จำข้าไม่ได้หรือหงอี้หยวน ไม่สิ เยี่ยนเหลียนหรง" หวางจื่อชางดึงผ้าปิดหน้าสีดำลงไปไว้ที่ปลายคาง เยี่ยนเหลียนหรงตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าคือผู้ใด ชายหนุ่มไม่ได้สนใจท่าทีตื่นตกใจของนาง แต่เขาหันมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง
"มีคนกำลังตามสังหารข้า เจ้าอยู่นิ่งๆอย่าส่งเสียงร้องโวยวาย หาไม่ข้าจะไม่รับประกันความปลอดภัยของเจ้า"
หญิงสาวผงกศีรษะรับเบาๆ มือหนาจึงค่อยๆคลายออก "มันมาแล้ว" เขาเอ่ยเสียงเบาลง ดวงตามองไปยังภายนอกศาลาที่กำลังมีคนเคลื่อนไหว
ทว่า...
ผลั่ก! เยี่ยนเหลียนหรงใช้เรี่ยวแรงที่มีผลักคนตัวโตออก ร่างสูงเซถลาเล็กน้อย จากนั้นนางจึงออกตัววิ่งออกไปข้างนอกศาลา
กลุ่มชายชุดดำต่างกรูกันเข้ามาหานางพร้อมด้วยอาวุธหมายจะปลิดชีพสังหาร
"อย่าฆ่าข้า คนที่พวกท่านตามหาอยู่ในศาลานั่นไง" หญิงสาวชี้นิ้วไปที่ศาลา เมื่อนั้นกลุ่มชายชุดดำจึงพากันกรูเข้าไปข้างใน ปากบางเหยียดยิ้มออกมาด้วยความสะใจ เขาเคยผลักนางตกหอคอยร้างจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ครานี้นางขอแก้แค้นอ๋องชั่วก็แล้วกัน
ใครจะว่านางใจร้ายก็ไม่สนใจหรอก เพราะเขายังแกล้งนางอย่างเลือดเย็น เรียกว่าทีใครทีมันก็แล้วกัน!
"ไม่เห็นมีผู้ใด"
"นางหลอกเราเป็นแน่" เสียงสนทนาดังแว่วมาให้ได้ยินอยู่เนืองๆ เยี่ยนเหลียนหรงรู้สึกใจหายวาบเมื่อเห็นสายตาทุกคู่ของกลุ่มชายชุดดำกำลังมองมายังนาง หากเพียงไม่นานพวกเขาก็วิ่งกลับมาล้อมนางเอาไว้
"ฆ่านางทิ้งเสีย หาไม่นางอาจแพร่งพรายเรื่องของเราได้" หลังจากที่เห็นตรงกัน พวกเขาก็พุ่งมาที่เยี่ยนเหลียนหรงอย่างมาดร้าย
"กรี๊ดดด!" เยี่ยนเหลียนหรงกรีดร้องด้วยความตกใจ เมื่อชายผู้หนึ่งหันปลายกระบี่มาหานาง ทว่าจู่ๆก็มีควันปริศนาลอยฟุ้งไปทั่วอากาศ เมื่อควันหายไป สตรีร่างบางที่ยืนอยู่กลางวงล้อมก็หายไปด้วยเช่นกัน กลุ่มชายชุดดำหันมาสบตากันอย่างงุนงง พลันไม่นานก็ได้ยินเสียงเกือกม้ากระทบพื้นดังแว่วมา พวกเขาจึงรีบสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว
รถม้าคันใหญ่ของสกุลเยี่ยนวิ่งเข้ามาหยุดที่หน้าศาลา ไป๋เฉียนก้าวลงจากรถม้าด้วยเนื้อตัวที่เปียกปอนเหตุเพราะเมื่อครู่เพิ่งวิ่งตากฝนไป หญิงสาวกวาดสายตามองหาเจ้านายสาวทว่ากลับไม่เห็นแม้แต่เงา มีเพียงผ้าคลุมไหล่สีม่วงเข้าชุดที่เยี่ยนเหลียนหรงสวมใส่เมื่อเช้าหล่นอยู่ที่หน้าศาลา ไป๋เฉียนรู้สึกใจหายวาบรับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากล
"กลับสกุลเยี่ยน" ไป๋เฉียนกระโดดขึ้นรถม้าพลางหันไปร้องสั่งพลขับ ไม่นานรถม้าที่จอดอยู่ก็ค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปจากศาลาอย่างรวดเร็ว
"แค่กๆๆ" เยี่ยนเหลียนหรงไอโขลกสำลักควันออกมายกใหญ่ ก่อนที่จะค่อยๆลืมตาขึ้นพบว่าตอนนี้นางกำลังนั่งอยู่บนหลังอาชาสีดำทมิฬตัวใหญ่ สองข้างทางเป็นลำธาร ก่อนที่เจ้าม้าสีดำจะพานางวิ่งเข้าไปในประตู
"หวางอ๋องจะพาหม่อมฉันไปไหนเพคะ" หญิงสาวเงยหน้าขึ้นพบว่าตอนนี้นางกำลังตกอยู่ในวงแขนแข็งแรงของหวางจื่อชางอ๋องที่กำลังเอื้อมจับบังเหียนม้า
"อย่าถามมาก ข้าเป็นคนขี้รำคาญ หาไม่ลิ้นของเจ้าจะหลุดออกมาจากปาก"
