บทที่ 6 โดนคนชั่วลักพาตัว
เวลานี้ล่วงเลยผ่านเข้าไปถึงยามไฮ่ (21.00 - 22.59 น.) แล้ว ทว่าเยี่ยนเหลียนหรงยังคงนอนไม่หลับ นางพลิกตัวกระสับกระส่ายไปมาด้วยความว้าวุ่นใจ อีกทั้งยังเป็นกังวลอีกมากเพราะรู้จากท่านพ่อเยี่ยนปิ่งซงว่าหากพรุ่งนี้เจรจากับหัวหน้าสมาคมการค้าไม่สำเร็จ กิจการโรงเตี๊ยมของสกุลเยี่ยนก็คงต้องได้ปิดตัวลง
"คุณหนูนอนไม่หลับหรือเจ้าคะ" ไป๋เฉียนที่นอนอยู่บนพื้นข้างเตียงงัวเงียตื่น เมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าของเจ้านายดังแว่วมา
"อืม ข้ากำลังคิดเรื่องโรงเตี๊ยมของเรา" เยี่ยนเหลียนหรงยอมรับตามตรง อุตส่าห์ดีใจคิดว่ากิจการโรงเตี๊ยมกำลังไปได้ดีแท้ๆ แต่กลับโดนขัดแข้งขัดขาเสียได้
"บ่าวคิดว่าคุณชายหานคงจะไม่ยอมเจรจาด้วยง่ายๆ หรอกเจ้าค่ะ"
"ทำไมล่ะ" ร่างบางดีดตัวลุกขึ้นจากเตียง หันมาสบตากับสาวใช้คนสนิทด้วยความสงสัย
"คุณหนูจำไม่ได้หรือเจ้าคะว่าเมื่อหลายเดือนก่อน คุณหนูเพิ่งปฏิเสธแม่สื่อที่ทางสกุลหานส่งมาทาบทามสู่ขอคุณหนูไป"
"มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นด้วยหรือ" หญิงสาวปั้นหน้ามึนงง แต่เมื่อเห็นไป๋เฉียนพยักหน้ารับ นางจึงร้องอ้อออกมาเบาๆ คาดว่าเรื่องนั้นคงเกิดขึ้นก่อนที่นางจะมาเข้าร่างนี้เป็นแน่
"ทางสกุลหานโกรธมากที่สกุลเยี่ยนหักหน้าพวกเขา ถึงกับลั่นวาจาไม่ขอข้องเกี่ยวกับทางสกุลเยี่ยนอีกต่อไปเลยนะเจ้าคะ"
"แล้วเหตุใดตอนนั้นข้าถึงปฏิเสธคุณชายหานอะไรนั่นไปเล่า"
"คุณหนูเคยบอกว่าคุณหนูจะแต่งงานกับบุรุษที่อยู่ในสกุลขุนนางเท่านั้น อีกอย่างตอนนั้นคุณหนูก็มีใจให้คุณชายสวีชางหมิงเจ้าค่ะ"
สิ้นวาจาของไป๋เฉียน เยี่ยนเหลียนหรงถึงกับล้มตัวลงนอนยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก ดูเหมือนหนทางประคับประคองกิจการโรงเตี๊ยมจะไม่ง่ายเสียแล้ว ทว่าหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ปากบางก็ค่อยๆ แย้มออกจากกัน เมื่อนึกแผนการดีๆ ออก
"ข้าคิดว่าข้ามีวิธีทำให้คุณชายหานยอมเจรจากับเราแล้วล่ะไป๋เฉียน"
"อย่างไรหรือเจ้าคะ" ไป๋เฉียนขยับเข้ามาใกล้ จ้องเจ้านายตาแป๋วด้วยความใคร่รู้ หากแต่เยี่ยนเหลียนหรงไม่ตอบอะไรนอกจากเปล่งเสียงหัวเราะหึๆ ออกมาในลำคอ
ตุ้บ!
"หืม... ไป๋เฉียนเป็นอะไรไปน่ะ" เยี่ยนเหลียนหรงร้องถามด้วยความแปลกใจเมื่อจู่ๆไป๋เฉียนก็ทิ้งร่างนอนลงไปบนพื้น เปลือกตาของนางปิดสนิทราวกับคนสลบไสล
"ไป๋เฉียน เกิดอะไรขึ้นน่ะ!" มือบางเขย่าแขนของสาวใช้วัยกำดัดเพื่อปลุกให้นางตื่น ทว่าไป๋เฉียนยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง เยี่ยนเหลียนหรงจึงลุกขึ้นหมายจะวิ่งไปเรียกคนเข้ามาช่วย
แค่กๆๆ หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากไอโขลกสำลักออกมายกใหญ่
"กลิ่นอะไรน่ะ" ยามนี้ทั้งห้องของนางมีควันโขมงขึ้นราวกับม่านหมอกปกคลุม หญิงสาวรู้สึกเวียนศีรษะเป็นอย่างมาก สายตาของนางพร่าเลือนก่อนจะล้มลงไปนอนอยู่บนพื้นอยู่ไม่ไกลจากไป๋เฉียน
ก่อนที่เปลือกตาบางจะปิดลง คล้ายเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่กำลังเดินฝ่ากลุ่มควันเข้ามาหา เขาย่อกายคุกเข่าลงข้างหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆนาง ผ้าปิดหน้าถูกดึงไปไว้ที่ปลายคางพร้อมแสยะยิ้มเหี้ยมมาให้
"หวางจื่อชางอ๋อง" เยี่ยนเหลียนหรงขานเรียกคนตรงหน้าเสียงแผ่ว ก่อนที่สติสัมปะชัญญะจะค่อยๆหมดลง
สายลมเย็นในยามค่ำคืนลอยมาปะทะผิวกาย ทำให้ร่างเล็กถึงกับสะท้านด้วยความเหน็บหนาว สติที่หายไปค่อยๆฟื้นคืนกลับมา เยี่ยนเหลียนหรงลืมตาขึ้น ฟันของนางกระทบกันดังกึกๆด้วยความเหน็บหนาว ครั้นพอจะยกมือขึ้นมากอดตนเองเพื่อบรรเทาความหนาวกลับไม่สามารถทำได้ หญิงสาวรู้นึกเจ็บแปลบบริเวณข้อมือบาง ครั้นพอหันไปมองพบว่ามันถูกมัดไว้ด้วยเชือกเส้นใหญ่
ดวงตากวางค่อยๆเบิกกว้างขึ้นราวกับไข่ห่านเมื่อเห็นว่าเบื้องหน้าคือความเวิ้งว้าง ยามนี้นางยืนอยู่บนหอคอยสูง หากตกลงไปมีหวังชีวิตน้อยๆของนางคงดับสิ้นลง
"หงอี้หยวน ไม่สิ เยี่ยนเหลียนหรง" เสียงเข้มดังขึ้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เพราะถูกมัดทั้งมือและเท้าเอาไว้ทำให้นางหันไปได้แค่เพียงคอ
"หวางอ๋อง!" หญิงสาวขานเรียกชื่อบุรุษข้างกายด้วยความตกใจจนแทบสิ้นสติ
"ข้าเป็นคนไม่ใช่ผี ไยถึงมองข้าด้วยความหวาดกลัวเช่นนั้นเล่า" เขาเอ่ยกระเซ้า น้ำเสียงดูยียวนคล้ายกำลังหยอกเย้า ทว่าแววตาของเขากลับตรงกันข้าม มันดูน่ากลัวแปลกๆพิกล
'ท่านน่ะน่ากลัวยิ่งกว่าผีทั้งสุสานมารวมกันเสียอีก' เยี่ยนเหลียนหรงคิดในใจ หากแต่ยังคงปั้นหน้าฝืนส่งยิ้มหวานกลับไปให้เขา แม้น้ำเสียงจะสั่นจนแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัวอยู่รอมร่อ
"ท่านอ๋องจับหม่อมฉันมาทำไม ดึกแล้ว สตรีในห้องหอไม่ควรออกมาข้างนอกนะเพคะ"
หวางจื่อชางกระตุกยิ้มพลางขยับเข้ามาใกล้ ใบหน้าของเขายื่นเข้ามาประชิด จนปลายจมูกสัมผัสกับแก้มขาวผ่องของนาง ชายหนุ่มสูดกลิ่นกายสาวเข้าปอดพลางยื่นริมฝีปากมาที่ข้างใบหู
"ข้าอยากพาหญิงงามออกมาชมวิวยามค่ำคืน"
"ค่ำแล้ว นอกจากความมืดหม่อมฉันมองอะไรไม่เห็นหรอกเพคะ อีกอย่างง่วงมากแล้วด้วย อยากกลับไปนอนเต็มทีแล้ว" พยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้ไหวสั่น ทว่ากลับทำได้ยากเย็นเต็มที
'อิอ๋องบ้าเอ๊ย!' เยี่ยนเหลียนหรงสบถอยู่ในใจ ไม่น่าเลย ไม่น่าเลยจริงๆ นางไปทำกรรมอะไรไว้กันนะ เหตุใดสิ้นชีพไปแล้ววิญญาณถึงไม่สงบสุข แต่กลับต้องมาเข้าร่างหญิงสาวเจ้าปัญหาในยุคโบราณที่สร้างศัตรูมานับไม่ถ้วนคนนี้!
"เยี่ยนเหลียนหรงสหายรักของหลินเจิ้นหลาน ความสัมพันธ์ของสหายทั้งสองขาดสะบั้นลงเพราะรักบุรุษคนเดียวกัน น่าขบขันยิ่งนัก"
เยี่ยนเหลียนหรงลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ยามที่เขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ ดวงตาของเขาวาวโรจน์ขึ้นอย่างน่ากลัว
"เจ้ากลั่นแกล้งเจิ้นหลานจนนางแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ข้าจะทำอย่างไรกับเจ้าดีนะ" ชายหนุ่มยกมือขึ้นกอดอก ทำหน้าครุ่นคิดพลางจับจ้องมองมายังนางไปด้วย
"ท่านอ๋อง หม่อมฉันหนาวแล้ว อยากกลับจวนเพคะ" เยี่ยนเหลียนหรงรับรู้ได้ว่ายามนี้ริมฝีปากของนางแห้งผาก ความหนาวเย็นที่มาปะทะผิวกายยังไม่เท่าความเหน็บหนาวที่เกิดจากความกลัวที่กำลังเกาะกินในหัวใจตอนนี้
"ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิตสินะ" พูดไม่ทันขาดคำ ร่างสูงก้าวเข้าไปยืนซ้อนอยู่ทางด้านหลังของคนตัวเล็กกว่า กดริมฝีปากแนบขมับบางเบาๆหนหนึ่ง ก่อนที่มือหนาจะออกแรงผลักจนร่างบางลอยละลิ่วสู่ความเวิ้งว้างกลางอากาศ
"กรี๊ดดดดดดด!" เยี่ยนเหลียนหรงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวสุดหัวใจ ร่างของนางดิ่งลงสู่เบื้องล่างด้วยความเร็วสูง
"ไยถึงเงียบไป" หวางจื่อชางขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเสียงกรีดร้องของนางเงียบลง ก่อนจะก้มลงมองลงไปข้างล่างจึงได้เห็นว่าหญิงสาวกำลังใช้มือเกาะขอบหน้าต่างเอาไว้อยู่
'ตายแน่ๆ ข้าไม่รอดแน่ๆ' หญิงสาวร้องไห้ปล่อยโฮออกมาเสียงดัง ตอนนี้ร่างของนางลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ เม็ดเหงื่อชุ่มไปทั่วทั้งมือบาง แทบจะหมดแรงเกาะหน้าต่างอยู่รอมร่อแล้ว
ทันใดนั้นเอง นางเห็นใครบางคนขยับเข้ามาใกล้ เมื่อเงยหน้าขึ้นแลเห็นหวางจื่อชางกำลังส่งยิ้มเยาะมาให้นาง หญิงสาวกัดฟันแน่นด้วยความแค้นใจ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่รวบรวมความกล้าใช้มืออีกข้างจับข้อเท้าของเขาเอาไว้มั่นพร้อมออกแรงกระตุก
หวางจื่อชางเบิกตากว้าง เพราะไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้เขาถลาตามแรงดึง ร่างหนาลอยคว้างอยู่ในอากาศโดยมีเยี่ยนเหลียนหรงกอดรัดตัวของเขาเอาไว้แน่น
"ตัวแสบ!" ชายหนุ่มสบถขึ้นเสียงดัง เขาไม่น่าประมาทคนเจ้าเล่ห์อย่างนางเลย เมื่อดันคนตัวเล็กออกก็พบว่านางสลบไปแล้ว ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และใช้วิชาตัวเบาพานางลงไปเหยียบพื้นดินอย่างปลอดภัย
หวาวจื่อชางมองหญิงงามที่หลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วยความเอือมระอา
"ใจเสาะเหลือเกิน แกล้งแค่นี้ถึงกับเป็นลมเป็นแล้งไปได้" เขากล่าวพึมพำออกมาเบาๆ เขาแค่ผลักนางเล่นจากหอคอยร้างด้วยความสูงราวตึกแปดชั้นเท่านั้นเอง สตรีผู้นี้อ่อนแอยิ่งนัก น่ารำคาญเสียจริง!
"กรี๊ดดดดดด!" เสียงกรีดร้องดังลั่นไปทั่วหอนอนทำให้คนที่นอนหลับอยู่บนพื้นข้างเตียงผวาตื่นขึ้นด้วยความตกใจ
ไป๋เฉียนรีบดีดตัวลุกขึ้นไปที่เตียงกว้างของเจ้านายสาว แลเห็นร่างบางกำลังนั่งหอบหายใจอย่างหนักหน่วง ทรวงอกสะท้านขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ เม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นตามกรอบหน้าเรียว ดวงตาคลอเคล้าไปด้วยหยดน้ำตาแลดูน่าสงสารอย่างมาก
"คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ"
"ไป๋เฉียน ข้าตายแล้วหรือ เหตุใดเจ้าอยู่ตรงนี้ หรือว่าเจ้าก็ตายไปแล้วเหมือนกัน" เยี่ยนเหลียนหรงใช้มือจับไปที่ไหล่กลมกลึงของสาวใช้วัยกำดัดพลางถามด้วยความตกใจ ทว่าไป๋เฉียนกลับกะพริบตาปริบๆ เอียงคอลงเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ
"เปล่านี่เจ้าคะ บ่าวจะตายได้อย่างไรกันเจ้าคะคุณหนู"
"แต่เมื่อคืนข้าโดนคนชั่วโยนลงจากหอคอยร้าง" หญิงสาวกล่าวพึมพำ สบสายตากับไป๋เฉียน ความตกใจเรื่องเมื่อคืนยังไม่จางหาย ยามนึกถึงคราใด หัวใจกลับเต้นแรงทุกครั้งไป พลันไป๋เฉียนก็ยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะดังคิกคักออกมาเบาๆ
"เจ้าหัวเราะอะไรกัน" คิ้วงามขมวดเข้าหากันมุ่น นางเพิ่งผ่านพ้นความเป็นความตายมา แต่ไป๋เฉียนกลับหัวเราะเรื่องที่นางเล่าราวกับเป็นเรื่องขบขัน
"คุณหนูคงฝันร้ายกระมังเจ้าคะ คุณหนูจะไปอยู่ที่หอคอยร้างได้อย่างไรกัน ในเมื่อบ่าวนอนเฝ้าคุณหนูอยู่ที่นี่ทั้งคืน" หลังจากกลับมาจากโรงเตี๊ยมสกุลเยี่ยน เยี่ยนเหลียนหรงก็สั่งให้นางนอนอยู่ในหอนอนเป็นเพื่อนทุกวัน ไป๋เฉียนเองก็ประหลาดใจไม่น้อย เพราะหลังจากที่เจ้านายสาวฟื้นคืนสติมาในวันนั้นก็ไล่ให้นางออกไปนอนนอกห้องทุกคืน ครั้นพอถามคุณหนูก็เอาแต่บอกว่านางกลัวผี
