บทที่ 4 แรงดึงดูด
ระหว่างที่รอคอยให้การตกแต่งโรงหมอสกุลอู๋แล้วเสร็จ ท่านหมออู๋จิงอวี๋ก็ได้ยึดมุมหนึ่งของร้านเฉี่ยนซือสาขาใกล้คฤหาสน์สกุลอู๋เปิดทำการตรวจรักษาโรคให้กับชาวบ้านโดยไม่คิดเงิน
ข่าวลือเรื่องหมอเทวดาผู้มาใหม่ไม่เท่ากับข่าวเรื่องความเลิศเลอด้านรูปลักษณ์ของอู๋จิงอวี๋ ซ้ำยังถูกลงไว้ในจดหมายข่าวของสำนักนกกระจิบทำให้สตรีน้อยใหญ่ทั่วเมืองหลวงมาเข้าแถวโดยมิได้ต้องการการรักษาแต่อยากจะชมโฉมท่านหมออย่างใกล้ชิด
“เจ้าดูสิ คนเข้าแถวรอพบหลานชายของข้า ยาวไปถึงสุดถนนโน่น”อู๋ฮูหยินบอกกับม่อเสี่ยวถงด้วยความภูมิใจ
“เจ้าค่ะ เป็นเพราะท่านหมออู๋ใหญ่ทั้งเก่งกาจและรูปงาม ยามนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนกล่าวขวัญกัน” ม่อเสี่ยวถง น้องสาวของม่อชิงฉือ เฉลียวฉลาดถูกใจอู๋ฮูหยินจึงได้กลายมาเป็นผู้ติดตามของฮูหยินผู้เฒ่าแห่งสกุลอู๋
รถม้าคันใหญ่มาจอดที่หน้าร้านเฉี่ยนซือ บุรุษองอาจใบหน้าคมคร้ามถือพัดลงมายืนโบกเบาๆ เขามองดูแถวยาวเหยียดของคนทั้งป่วยและดูไม่ป่วยด้วยความเหนื่อยหน่าย
กุ่ยอี๋จือหันไปสั่งองครักษ์ทั้งสี่ของตน
“เจ้าไปไล่พวกที่มิได้ป่วยออกจากแถวที ข้าจะรอพบท่านหมออู๋ใหญ่”
ไม่นานนักองครักษ์ทั้งหมดก็ทำสำเร็จ คนทั้งแถวเหลือคนป่วยไม่ถึงสิบคน กุ่ยอี๋จือยิ้มร่าชี้ให้องครักษ์ของตนไปเข้าแถวรอ
“เจ้าไปเข้าแถวก็แล้วกัน ข้าจะไปนั่งรอในโรงน้ำชาข้างๆ ถึงลำดับพวกเราแล้วค่อยให้คนไปเรียกข้า”
“ขอรับ”
อู๋ฮูหยินมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ
“คนผู้นั้นเป็นผู้ใดกัน? เหตุใดจึงได้มีผู้ติดตามมากมาย?”
“รอสักครู่เจ้าค่ะ ข้าจะไปสอบถามบ่าวรับใช้ของเขาเอง”
ม่อเสี่ยวถงเข้าไปหาบ่าวรับใช้ของบุรุษผู้นั้น ครู่หนึ่งก็ได้คำตอบเอามาให้อู๋ฮูหยิน
“นั่นคือ ใต้เท้ากุ่ยเจ้าค่ะ เป็นขุนนางขั้นหกกรมคลัง”
“อืม...ชื่อเสียงของเสี่ยวจิงอวี๋นับว่าไปเร็วจริง ไม่ทันไรก็มีคนมาเข้าแถวรอพบยาวเหยียดแล้ว ไม่เว้นแม้กระทั่งขุนนาง”
หลัวอี้มองเห็นกุ่ยอี๋จือก็เริ่มมีอาการหงุดหงิด คนผู้นี้เป็นหลานชายของรองเจ้ากรมคลังสอบเข้าเป็นขุนนางก่อนหลัวอี้ไม่กี่ปี ด้วยความทระนงในชาติตระกูลทำให้คนผู้นี้หยิ่งผยองอย่างยิ่ง
ท่านหมออู๋ใหญ่รู้สึกปวดเมื่อยหลังและไหล่ วันนี้มีผู้ป่วยจำนวนมากเข้ามาให้เขาตรวจรักษา ตั้งแต่เช้าจรดบ่ายเขายังไม่มีเวลาพักไปรับประทานอาหารกลางวัน
“คนสุดท้ายแล้วขอรับท่านหมอ เห็นว่าขุนนางจากกรมคลัง”
“เชิญเข้ามาเถิด”
กุ่ยอี๋จือเดินเข้าไปด้านหลังฉากใหญ่ที่บังมุมหนึ่งของร้านเฉี่ยนซือเอาไว้ พอได้เห็นใบหน้าของท่านหมอหนุ่มสกุลอู๋ ขุนนางหนุ่มก็ยิ้มกริ่ม
“ท่านมีอาการไม่สบายตรงใดหรือ?”
“ข้าสบายดี เพียงแต่คำร่ำลือเรื่องรูปโฉมของท่านโด่งดังไปทั่วเมืองหลวง ข้าจึงอยากจะมาชมโฉมท่านเสียหน่อย”
อู๋จิงอวี๋หน้าเสีย รูปโฉมของเขามักจะทำให้ผู้คนเข้ามาวุ่นวายกับเขาอยู่บ่อยๆ
“ใต้เท้ากุ่ย คนที่มารอข้าล้วนได้รับความทรมาน หากว่าท่านไม่ได้เจ็บป่วย ข้าว่าท่านก็อย่ามารบกวนการตรวจรักษาของข้าเลย”
“ท่านหมออู๋ ท่านพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก ข้าได้ยินว่าท่านจะเปิดโรงหมอ ในฐานะที่ข้าเป็นเจ้าหน้าที่เก็บภาษีการมาเยี่ยมเยียนท่าน นับว่าถูกต้องแล้ว ท่านทราบหรือไม่? กิจการร้านยาสมุนไพรเฉี่ยนซือและโรงหมอสกุลอู๋ต้องถูกเรียกเก็บภาษีบำรุงแคว้น”
อู๋จิงอวี๋ทำหน้าเหวอ “อืม...ข้าไม่ได้ทำบัญชีและดูแลเรื่องเงิน ท่านคงต้องไปคุยกับญาติผู้น้องของข้า อู๋ซุ่นซีจะเหมาะกว่า”
กุ่ยอี๋จือติดใจในรูปโฉมของอู๋จิงอวี๋ เขาจึงเอ่ยปากชวนท่านหมอหนุ่มไปนั่งจิบน้ำชาพูดคุยกัน ทว่าอู๋จิงอวี๋กลับปฏิเสธ
“ไม่เป็นไร ข้ายังต้องวนเวียนมาตรวจตราร้านเฉี่ยนซืออยู่อีกหลายครา เอาไว้ข้าจะมาชักชวนท่านหมอใหม่คราวหน้า”
ท่านหมอหนุ่มทำหน้าเหนื่อยหน่าย คนเช่นนี้เมื่อใดจะหมดไปเสียที?
หลัวอี้ได้ฟังคนสนิทของตนเองที่เข้าไปแอบฟังการพูดคุยของอู๋จิงอวี๋กับกุ่ยอี๋จือก็หน้าตึง
“กุ่ยอี๋จือคงเห็นอู๋จิงอวี๋รูปงามจึงอยากจะเกี้ยวพาเอาคนผู้นี้ไปเก็บไว้ในเรือนหลังของตนเอง”
“ใต้เท้ากุ่ยผู้นี้ภรรยาเพิ่งเสียชีวิตนี่ขอรับ?” เสี่ยวไป๋ทำหน้าฉงน
“ใช่! กุ่ยอี๋จือ แต่งงานบังหน้าแต่รับอนุเป็นบุรุษอีกสองคน ทำให้ฮูหยิน ของเขาตรอมใจจนล้มป่วย ที่มาเยือนอู๋จิงอวี๋เป็นเพราะได้ยินชื่อเสียงเกี่ยวกับรูปโฉมของคนผู้นี้แน่”
“อืม...ช่างมากรักเสียจริงขอรับ”
“อู๋จิงอวี๋นับว่างามล้ำเสียจนจันทราต้องหลบโฉม เห็นทีกุ่ยอี๋จือคงไม่ล้อเล่น มาเยือนถึงร้านเฉี่ยนซือเช่นนี้คงจะไม่ปล่อยหมออู๋ใหญ่ไปง่ายๆ แต่ก่อนใต้เท้ากุ่ยผู้เป็นบิดาของกุ่ยอี๋จือไม่ยอมรับเรื่องการเป็นต้วนซิ่วของเขา แต่บัดนี้ล้มป่วยนอนติดเตียงจึงไม่อาจขัดขวาง บางทีอู๋จิงอวี๋อาจจะกลายเป็นฮูหยินใหญ่สกุลกุ่ยคนต่อไป”
“คุณชายขอรับ แล้วแผนที่ท่านจะใช้ขัดขวางไม่ให้ท่านหมออู๋เปิด โรงหมอได้สำเร็จ ท่านคิดจะทำเช่นใด?”
“ในเมื่อมีกุ่ยอี๋จือโผล่เข้ามาพอดี ข้าก็ควรจะใช้เขาให้เกิดประโยชน์ ตัวใต้เท้ากุ่ยเป็นคนหวงคนของตน ภรรยาและอนุทั้งหลายไม่ค่อยได้ออกจากจวน หากอู๋จิงอวี๋แต่งเข้าไป กุ่ยอี๋จือไม่มีทางยอมให้เขาออกมาทำงานที่โรงหมอแน่”
“ถ้าเช่นนั้นเราก็ต้องทำให้ท่านหมออู๋ผู้นี้ตกเป็นภรรยาของใต้เท้ากุ่ยให้เร็วที่สุดล่ะสิขอรับ?”
“ถูกต้อง!”
“เราจะทำเช่นใดพวกเขาจึงจะเกิดชอบพอกันเล่าขอรับ?”
“ไม่ต้องคิดเรื่องยุ่งยากอย่างนั้นหรอก ขอเพียงอู๋จิงอวี๋ตกเป็นของกุ่ยอี๋จือ ความยุ่งยากก็จะเกิดขึ้นกับคนผู้นั้นเอง อีกไม่กี่วันจะมีงานของสมาคมพ่อค้าเมืองหลวง สกุลอู๋ต้องพาอู๋จิงอวี๋ออกไปแนะนำตัว ในงานนั้น คนเลวอย่างกุ่ยอี๋จือต้องลงมือแน่”
เสี่ยวไป๋มองหน้าคุณชายของตนด้วยความชื่นชม สมแล้วที่คุณชายของเขาได้รับการยกย่องจากคนละแวกนี้ว่าเป็น ‘ขุนนางจิ้งจอก’ ไม่เพียงแต่ทำให้ภาษีร้านค้าของสกุลหลัวลดลงแต่ยังรีดนาทาเร้นภาษีจากกิจการของผู้อื่นได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
แม้แต่เรื่องส่วนตัว ในยามที่คุณชายถูกเอาเปรียบก็ยังเอาคืนได้อย่างสาสม เสี่ยวไป๋นึกถึงตอนที่มือปราบหนุ่มผู้หนึ่งมาส่งข่าวให้คุณชายทราบว่าภรรยาถูกชายชู้ฆ่าตาย ใบหน้าของคุณชายยามนั้นคล้ายกำลังยิ้มละไมแม้จะเอ่ยถ้อยคำที่ดูเศร้าสร้อยออกมา
“สายตาอันใดของเจ้า? มองเช่นนี้เหมือนกำลังด่าข้าอยู่เลย”
“มิได้ขอรับ ข้าแค่ชื่นชมที่คุณชายเหนือกว่าคนเลวอย่างใต้เท้ากุ่ย”
หลัวอี้หัวเราะหึๆ “ในแวดวงขุนนาง หากเจ้าใสซื่อเกินไปย่อมถูกกลืนกิน หากเจ้าเลวทรามเกินไปย่อมถูกกำจัด คนอย่างข้าก็แค่รักษาประโยชน์ตนเองและผลักไสความรับผิดชอบให้ผู้อื่น”
“ขอรับ คุณชายเป็นขุนนางที่ดี”
“แน่นอนสิ ข้าทำทุกอย่างในกรอบที่กฎหมายอนุญาตให้ทำได้ เพียงแต่ยิ่งรู้แจ้งก็ยิ่งรู้ช่องทาง”
หลัวอี้เฝ้ารอกระทั่งอู๋จิงอวี๋ออกจากร้านเฉี่ยนซือแล้วตรงไปยังโรงน้ำชาใกล้ เขาไม่กล้าตอบตนเองว่าเหตุใดจึงอยากจะตามติดหมอหนุ่มผู้นี้นัก? นับตั้งแต่เห็นอู๋จิงอวี๋วันแรกมาถึงวันนี้ เขาต้องหาเวลามาดูหน้าอู๋จิงอวี๋ให้ได้สักนิดก็ยังดี
‘ศัตรูก็คือศัตรู งดงามเพียงใดก็ไม่ควรนำมาไว้ข้างกาย กำจัดอู๋จิงอวี๋เสียเพื่อกิจการของสกุลหลัวจะได้ก้าวหน้า’
“คุณชายขอรับ ดูนั่น ใต้เท้ากุ่ยเดินเข้าโรงน้ำชาไปแล้ว”
กุ่ยอี๋จือเหมือนจะรอให้อู๋จิงอวี๋เสร็จงานเช่นกัน ขุนนางหนุ่มเข้าไปนั่งข้างๆ อู๋จิงอวี๋ พยายามชวนคุย แต่ท่านหมอหนุ่มเอาแต่ก้มหน้าก้มตารับประทานบะหมี่ จากนั้นก็วางเงินไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถม้าที่หน้าร้านเฉี่ยนซือเพื่อกลับคฤหาสน์
**********************
