บทที่ 7 ว่าที่สามีในอนาคต
แต่ในระหว่างที่คนสกุลซ่งกำลังมีความสุขที่ซ่งอี้หนานได้เลื่อนขั้นอย่างก้าวกระโดด จู่ๆ ซ่งลี่หนิงกลับชะงักไปเล็กน้อย ขมวดคิ้วเข้าหากันว่าเหตุใดตำแหน่งขุนนางของพี่ชายจึงไม่เหมือนกับเหตุการณ์ในภพชาติเดิมหนำซ้ำยังเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ซ่งอี้หนานเพิ่งเข้ารับราชการได้ไม่กี่ปีเท่านั้น
หากอิงตามเรื่องราวในภพชาติเดิม ยามนี้ซ่งอี้หนานจะต้องได้ดำรงตำแหน่งขุนนางในสังกัดกรมขุนนางมิใช่หรือ เหตุใดเขาถึงได้เปลี่ยนเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ อีกทั้งยังได้เป็นถึงต้าตูตูภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้เล่า
ซ่งลี่หนิงรู้สึกเป็นห่วงพี่ชายของนางอยู่มาก ถึงแม้ว่าซ่งอี้หนานจะเก่งวิทยายุทธมีฝีมือไม่เป็นสองรองผู้ใด หากแต่จู่ๆ เรื่องราวก็สลับสับเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้จึงทำให้นางอดกังวลไม่ได้
พลันใบหน้าของใครบางคนที่นางเพิ่งได้พบเจอไปเมื่อตอนกลางวันลอยมาปรากฏอยู่ในห้วงของความคิด ซ่งลี่หนิงได้แต่ภาวนาขอให้เรื่องนี้อย่าได้เกี่ยวข้องกับเขา ยามนี้หมาวอี้เข่ยไท่จื่อเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนที่นางไม่เคยรู้จัก นางเคยเห็นเขาสั่งลงโทษพวกกบฏด้วยวิธีการที่โหดร้าย หากแต่ในตอนนั้นถูกความรักที่มีให้เขาบังตาทำให้ไม่เห็นความน่ากลัวโหดร้ายของหมาวอี้เข่ยไท่จื่อ แต่ในยามนี้ที่นางถอยห่างออกมาจากเขา กลับรู้สึกหวาดกลัวต่อบุรุษผู้นั้น อีกทั้งยังพบว่าเขาเป็นคนที่น่ากลัวและโหดร้ายมากคนหนึ่ง
ลางทียังอดคิดไม่ได้ว่าเป็นเพราะเขาโกรธนางด้วยเรื่องของวันนี้ ทำให้เขาคิดที่จะหาทางกลั่นแกล้งคนสกุลซ่งหรือไม่
บุรุษสูงศักดิ์ที่มีอำนาจค้ำฟ้าอย่างหมาวอี้เข่ยไท่จื่อ หากเขาคิดจะเล่นงานสกุลซ่งก็คงทำได้ไม่ยาก และหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ นางจะคิดหาวิธีขัดขวางเขาอย่างไรดี
"หนิงหนิงเป็นอะไรไป เหตุใดจู่ๆถึงเงียบไปล่ะลูก" ซ่งเหวยหนานถามบุตรสาวด้วยความแปลกใจ คนที่ชอบพูดจ้อส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่เป็นนิตย์ ไฉนวันนี้ถึงได้เงียบไปผิดวิสัยของนางยิ่งนัก
ซ่งลี่หนิงเงยหน้าขึ้นเห็นสายตาทุกคู่จับจ้องมายังตน จึงส่งยิ้มแป้นกลับคืนไปให้เพื่อกลบเกลื่อนความกังวลที่มีอยู่ในใจ
"เปล่าเจ้าค่ะท่านพ่อ ข้าแค่ดีใจกับท่านพี่จนพูดไม่ออกเท่านั้น"
ซ่งอี้หนานได้ยินวาจาของน้องสาวเขาจึงเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ วางมือบนศีรษะของนางด้วยความเอ็นดู
"เป็นวาสนาของพี่ที่ฝ่าบาททรงเอ็นดู เห็นเจ้ายินดีมีความสุขไปกับพี่ พี่ดีใจยิ่งนัก" เอ่ยพลางขยี้เรือนผมนุ่มของน้องสาวไปมา ฝ่ายคนถูกกระทำได้แต่ทำหน้ามุ่ยรีบปัดมือใหญ่ของเขาออก ใช้มือลูบผมให้กลับเข้าทรงเช่นเดิมพร้อมกล่าวว่า
"ท่านพี่ทำผมข้ายุ่งไปหมดแล้ว"
ทุกคนหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน ซ่งลี่หนิงเป็นบุตรสาวและน้องสาวที่ทุกคนต่างรักใคร่เอ็นดู ยามที่นางทำหน้างอยื่นปากออกมาเล็กน้อยอย่างงอนๆช่างน่ารักน่าชังในสายตาของทุกคนยิ่งนัก
"วันนี้ไม่ได้มีเรื่องน่ายินดีของท่านพี่หนานหนานคนเดียวหรอก พ่อยังมีข่าวดีมาบอกเจ้าด้วย"
"เรื่องใดหรือเจ้าคะ" ซ่งลี่หนิงเอียงหน้าเล็กน้อยด้วยความสงสัย ซ่งเหวยหนานไม่ตอบอะไรแต่กลับหันไปหยิบแผ่นม้วนผ้าไหมออกมาจากใต้แขนเสื้อตัวยาวแทน
"หลังจากที่แม่สื่อแวะเวียนมาทาบทามเจ้าในวันนั้น พ่อได้ทำการเฟ้นหาบุรุษที่ดีพร้อม พบว่ามีสามคนที่ดูเข้าตา เจ้าลองดูเถิด"
ซ่งลี่หนิงรับม้วนผ้ามาจากมือของบิดาพลางคลี่ออก เผยให้เห็นภาพเหมือนของบุรุษทั้งสามคนนั้น บุรุษคนแรกมีนามว่าหลิวเย่าโกวเป็นบุตรชายคนโตของเสนาบดีสังกัดกรมคลัง รูปร่างหน้าตาถือว่าใช้ได้พอสมควร ยามนี้กำลังเตรียมสอบเตี่ยนซื่อเพื่อรับราชการเจริญรอยตามบิดา
ส่วนคนที่สองมีนามว่าเฉากงเจ๋อ บิดาของเขามีศักดิ์เป็นโหวรักษาการอยู่ที่เมืองหนานเจิง เขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว เป็นที่รักใคร่ของบิดามารดา คาดว่าในอนาคตเขาคงได้รับตำแหน่งโหวต่อจากบิดา หากแต่ว่าเขาเป็นบุรุษที่ดูเจ้าเนื้อมากไปหน่อย ซ่งลี่หนิงไม่ค่อยถูกตาต้องใจเท่าใดนักเพราะนางชอบคนหล่อล่ำบึ้ก
บุรุษคนสุดท้ายหรือคุณชายเซียวจวิ้นอัน อายุยี่สิบหนาว คนผู้นี้หน้าตาดูดีหล่อเหลาเอาการ หากแต่เขาเป็นเด็กกำพร้า บิดามารดาจากไปตั้งแต่สมัยสงครามจากเมืองเตี้ยนชิง ทว่าเซียวจวิ้นอันเป็นคนฉลาด มีความสามารถโดดเด่น แม้จะไม่ได้รับราชการเป็นขุนนาง แต่ตอนนี้เขากลับได้เป็นถึงหัวหน้าสมาคมการค้าใหญ่ในเมืองหลวง อีกทั้งยังร่ำรวยไม่เป็นสองรองผู้ใด ลางทีทรัพย์สินเงินทองของเขาอาจมากกว่าบรรดาขุนนางขั้นสูงหลายคนเสียอีก
หลังจากได้เห็นประวัติและหน้าตาคร่าวๆของอนาคตว่าที่สามีทั้งสามคน ค่ำคืนนี้ซ่งลี่หนิงจึงรีบเข้านอนแต่หัวค่ำ เพราะพรุ่งนี้เช้าคุณชายสกุลหลิวหรือหลิวเย่าโกวจะเดินทางมาพบนางที่จวนสกุลซ่ง
เช้าวันนี้อากาศร้อนอบอ้าว แม้จะเข้าฤดูสารทแต่ฝนไม่ตกมาเป็นเวลาสามวันแล้ว ซ่งลี่หนิงรีบตื่นนอนตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสางเพื่อมาแต่งหน้าแต่งตัวรอพบคุณชายหลิวเย่าโกว
เมื่อถึงยามซื่อ (9.00 - 10.59 น.) ก็เป็นเวลานัดหมาย หลิวเย่าโกวสร้างความประทับใจแรกให้ซ่งลี่หนิงได้เป็นอย่างดี เขาเป็นคนที่สุภาพ พูดจาไพเราะน่าฟัง ดูเหมือนว่าท่านพ่อซ่งเหวยหนานกับท่านแม่จูลี่จินเองจะเอ็นดูเขาไม่น้อยเช่นกัน นอกจากจะชวนเขาอยู่ทานมื้อกลางวันแล้ว ยังเปิดโอกาสให้นางกับเขาได้พูดคุยกันตามลำพังอีกด้วย
หลังจากทานมื้อกลางวันเสร็จ จูลี่จินก็บอกให้บุตรสาวพาคุณชายสกุลหลิวออกมาเดินเล่น
"ท่านแม่จูลี่จินของข้าชอบดอกไม้ ท่านพ่อเลยสั่งให้ปลูกดอกไม้หลากชนิดจนเต็มสวนพฤกษา ส่วนที่ตรงนั้นอดีตเคยเป็นพื้นที่โล่ง แต่ท่านพ่อสั่งให้คนขุดเป็นบ่อน้ำเพื่อเพิ่มความสวยงามให้กับสวนพฤกษาของท่านแม่เจ้าค่ะ"
"ใต้เท้าซ่งคงจะรักซ่งฮูหยินมาก ข้านับถือในความรักของพวกท่านทั้งสองคนยิ่งนัก" หลิวเย่าโกวกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ซ่งลี่หนิงจึงผงกศีรษะรับเบาๆ จากนั้นจึงชี้นิ้วไปยังสวนดอกโบตั๋น
"คุณชายหลิวเห็นตรงนั้นหรือไม่ สวนดอกโบตั๋นตรงนั้นท่านพ่อเป็นคนลงมือปลูกด้วยตัวเองเลยนะเจ้าคะ"
"ตรงไหนหรือ" หลิวเย่าโกวขยับเข้ามาใกล้ หรี่ตาลงมองตามนิ้วเรียวของซ่งลี่หนิง
"โน่นไงเจ้าคะ" ซ่งลี่หนิงพยายามชี้ให้เขาดูสวนดอกโบตั๋นที่นางแสนภาคภูมิใจ ยามที่เห็นคราใดก็รู้สึกปลาบปลื้มใจทุกครั้งเมื่อนึกถึงความรักที่บุพการีทั้งสองคนมีให้กัน
"อ๋อ ข้าเห็นแล้ว" หลิวเย่าโกวกอบกุมมือเล็กของนางไว้ในอุ้งมือ ดวงตาไม่ได้จับจ้องไปยังสวนดอกโบตั๋นเลยแม้แต่น้อย หากแต่เขากำลังมองคนร่างบางที่ยืนอยู่ข้างกายต่างหาก
"โบตั๋นดอกนี้งดงามยิ่งนัก"
ซ่งลี่หนิงชะงักไปเล็กน้อย แต่ยังคงสงวนกิริยามารยาทเอาไว้ก่อนจะค่อยๆดึงมือออก หากแต่ว่าหลิวเย่าโกวไม่ยอมปล่อยมือของนาง
"มือของคุณหนูลี่หนิงนุ่มเนียนยิ่งนัก" เขาเอ่ยพลางลูบไล้หลังมือของนางไปมาเบาๆ
"คุณชายหลิวข้ารู้สึกเวียนศีรษะ เราเข้าไปข้างในกันเถิดเจ้าค่ะ" หญิงสาวพยายามดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขา ความรู้สึกประทับใจแรกที่ได้เจอกันหายวับไปทันที ซ่งลี่หนิงคิดว่าชายผู้นี้ชีกอมือไวเหมือนปลาหมึก นางไม่อยากคบค้าสมาคมด้วยจึงหาเรื่องส่งเขากลับไปโดยเร็ว
หลิวเย่าโกวไม่ขัดความต้องการของนาง เขาปล่อยมือเล็กออกด้วยแววตาบ่งบอกถึงความเสียดาย ซ่งลี่หนิงจึงรีบหมุนกายหันหลังทำท่าจะก้าวเดินกลับเข้าไปข้างใน ทว่าหลิวเย่าโกวกลับก้าวเข้ามาประชิดตัวพลางถือวิสาสะใช้มือโอบไปที่เอวบางของนาง
'บัดซบเอ๊ย!' ซ่งลี่หนิงผรุสวาทในใจด้วยความโมโห ความขุ่นเคืองอัดแน่นเต็มอก ในขณะที่เยว่ฉิงที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ถึงกับถลาเข้ามาหา แต่ทว่าขยับกายได้เพียงสองก้าวก็โดนคนของเขาเข้ามาขวางหน้าเอาไว้เสียก่อน
"คุณชายหลิวปล่อยข้านะ!" ซ่งลี่หนิงพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจ ยังคงกล่าวด้วยวาจาสุภาพ แต่หลิวเย่าโกวไม่ยอมปล่อย หนำซ้ำยังดึงนางเข้ามาประชิดตัว
"คุณหนูลี่หนิงจะเล่นตัวไปไย อีกไม่นานเราสองคนก็ต้องเกี่ยวดองกันแล้ว ข้าจับนิดจับหน่อยแค่นี้ทำเล่นตัวไปได้"
ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้น ในใจของนางเดือดพล่าวราวกับน้ำต้มสุก ไม่ต้องกล่าววาจาใดให้มากความ หญิงสาวรีบผลักเขาออกก่อนจะกำมือแน่นตะบันหมัดหนักๆไปที่เบ้าตาของเขาอย่างจัง
"โอ๊ย! อูย!" หลิวเย่าโกวหงายหลังล้มตึงไปทันที มือหนายกขึ้นกอบกุมใบหน้าของตนด้วยความเจ็บปวด ส่งเสียงร้องโอดโอยอย่างหมดสภาพอยู่บนพื้น
"บุรุษน่ารังเกียจอย่างท่าน ข้าไม่เอามาทำพันธุ์หรอก!" กล่าวพลางกำมือแน่นขยับเข้ามาใกล้เขาอีกหน ทว่าหลิวเย่าโกวกลับรีบยกมือขึ้นเปล่งเสียงร้องห้ามอ้อนวอนด้วยความหวาดกลัว
จากนั้นเหตุการณ์วุ่นวายก็ได้เกิดขึ้น หลังจากที่ซ่งเหวยหนานรู้ว่าชายผู้นี้ทำระยำกับบุตรสาว เขาโกรธจนหน้ามืดตามัวรีบไล่ตะเพิดชายผู้นี้จนวิ่งโร่ออกจากจวนแทบไม่ทัน หลิวเย่าโกวไม่อ้อนวอนขออยู่ต่อ เขากับบ่าวคนสนิทรีบวิ่งหนีออกจากจวนสกุลซ่งเพราะเกรงว่าหากอยู่นานกว่านี้ เขาคงต้องได้กลายเป็นผีเฝ้าจวนสกุลซ่งอย่างแน่นอน
หลังจากขีดฆ่ารายชื่อของหลิวเย่าโกวออกจากรายชื่อของว่าที่สามีในอนาคต สามวันต่อมาซ่งลี่หนิงก็ได้ฤกษ์ใหม่ในการไปพบกับบุรุษที่เข้าตาของท่านพ่อซ่งเหวยหนานคนที่สอง วันนี้นางมีนัดกับคุณชายเฉากงเจ๋อที่ร้านเป็ดย่างชื่อดังใจกลางเมืองหลวง
ซ่งลี่หนิงอยู่ในชุดสีเขียวมะนาวอ่อนเดินลงจากรถม้าแหงนหน้ามองร้านกวงฟงที่ตั้งสูงราวสามชั้น ร้านนี้เป็นร้านขึ้นชื่อในเรื่องของอาหารเลิศรส และอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดของร้านนี้ก็ไม่พ้นเป็ดย่าง ถึงแม้ว่าราคาของอาหารที่นี่จะแพงหูฉี่ แต่กลับเป็นที่นิยมในหมู่ของพวกผู้มีอันจะกินทั้งหลาย ทุกวันล้วนคับคั่งไปด้วยบรรดาคุณชายคุณหนูสูงศักดิ์ที่ต่างพากันแวะมาลิ้มลองอาหารรสเลิศ
