บทที่ 6 ชะตาที่เปลี่ยนไปของพี่ชาย
เหมยฮวาใช้วิทยายุทธมาปรากฏกายอยู่ที่หน้าต่างหอนอนของซ่งอี้หนาน หากแต่นางยังกล้าๆกลัวๆที่จะเข้าไป หลังจากที่แอบไปเมียงมองสอดสายตาหาเขาที่ห้องหนังสือแต่ไม่พบตัวคน หญิงสาวจึงคิดว่าเขาต้องอยู่ที่หอนอนเป็นแน่ เพราะเคยเข้านอกออกในที่จวนสกุลซ่งมาตั้งแต่เด็กทำให้นางรู้เส้นทางของที่นี่ทุกซอกทุกมุม
หญิงสาวเกาะขอบหน้าต่างยืนละล้าละลังอยู่นาน ครุ่นคิดด้วยความกลัดกลุ้ม ห้องหับที่จวนสกุลซ่งทุกห้องนางเคยไปเยือนมาแล้ว หากแต่มีเพียงแค่ห้องของซ่งอี้หนานและห้องหอของท่านใต้เท้าซ่งและซ่งฮูหยินเท่านั้นที่นางไม่เคยย่างกรายเข้าไป
หมั่บ!
"โอะ!" เหมยฮวาหลุดปากร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆกลับมีใครบางคนฉวยคว้าข้อมือของนางเอาไว้พร้อมออกแรงดึงจนร่างบางลอยละลิ่วข้ามขอบหน้าต่างหล่นแหมะลงมาล้มก้นจ้ำเบ้าอยู่บนพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
"อูย เจ็บเหลือเกิน" หญิงสาวเปล่งเสียงร้องโอดโอย ใช้มือลูบสะโพกของตนป้อยๆพลางเงยหน้ามองคนที่เป็นต้นเหตุด้วยแววตาขุ่นเคือง
"พี่ชายหนานหนานทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไรกัน ข้าเจ็บนะ!" นางกล่าวเสียงห้วน ก่อนจะดีดตัวขึ้นจ้องเขาด้วยความไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นว่ายามนี้ชายหนุ่มอยู่ในชุดคลุมสีดำตัวใหญ่ ร่างกายเปียกปอนมีหยดน้ำเกาะไปตามผิวกาย ผมเผ้าเปียกชุ่มยุ่งเหยิงทว่ายังคงดูหล่อเหลาเร้าใจเช่นเคย ฉับพลันสองแก้มขาวกลับรู้สึกร้อนผ่าว นางจึงรีบหมุนกายหันหลังซ่อนใบหน้าแดงซ่านของตนเอาไว้
ซ่งอี้หนานยกมือขึ้นกอดอก ไม่ได้ยี่หระต่อท่าทางเขินอายของนางแต่อย่างใด สิ่งที่เขาต้องการคือการได้รู้ถึงสาเหตุของการที่นางมาด้อมๆมองๆอยู่ที่หน้าต่างห้องของเขาต่างหาก
"เจ้ามาด้อมๆมองๆอะไรที่หน้าต่างห้องข้า"
"เอ่อ คือว่า..." นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอึกอัก หากเป็นคนอื่นนางคงบอกไว้แล้ว แต่เพราะเป็นซ่งอี้หนาน นางไม่เข้าใจตนเองเช่นกัน เขาคงเป็นคนเดียวที่ทำให้นางรู้สึกหวั่นเกรงได้เช่นนี้
"มาส่งหนิงหนิงงั้นหรือ ได้ยินว่าเจ้าพาหนิงหนิงออกไปข้างนอก" ซ่งอี้หนานถามขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นนางเงียบไป หลังจากกลับมาถึงจวนสกุลซ่งเห็นเยว่ฉิงยืนลุกลี้ลุกลนอยู่ที่ศาลาริมสระบัวที่สวนพฤกษา ข้างกายไร้เงาของซ่งลี่หนิง เขาจึงเดินเข้าไปถามด้วยความสงสัยจึงได้ความว่าเหมยฮวาพาน้องสาวของเขาออกไปข้างนอก
อันที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติยิ่งนัก เพราะคนทั้งคู่ชอบไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง น้องสาวของเขาไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับคุณหนูสกุลอื่นนอกจากเหมยฮวา ในขณะที่เหมยฮวาเองก็คบค้าสมาคมกับแค่ซ่งลี่หนิงเท่านั้นจึงทำให้คนทั้งสองสนิทสนมกันมาก
"พี่ชายหนานหนานข้ามีเรื่องจะสารภาพ" เหมยฮวากล่าวเสียงแผ่ว หมุนกายหันกลับมายิ่งได้เห็นสีหน้าท่าทางสงสัยของเขาก็ยิ่งรู้สึกอยากจะร้องไห้ ทางด้านซ่งอี้หนานรับรู้ถึงความผิดปกติในน้ำเสียงนั้น รู้ได้ไม่ยากว่าคงเกิดเรื่องไม่ชอบมาพากลเป็นแน่
"ว่ามาสิ" แต่กระนั้นเขายังคงทำใจเย็นรอจนกระทั่งนางเป็นฝ่ายยอมเปิดปากบอกเขาเอง เหมยฉวาตัดสินใจบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้เขาฟัง ตลอดเวลานางเอาแต่ก้มหน้าหลบสายตาของเขาด้วยความหวั่นเกรง จนกระทั่งเล่าจบนางจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา
"พี่ชายหนานหนานข้าผิดไปแล้ว อภัยให้ข้าด้วยเถิด" ร่างบางคุกเข่า โขกศีรษะลงกับพื้นดังตุ้บๆเพื่อหวังให้เขาให้อภัย หากแต่ซ่งอี้หนานกลับใช้สายตาว่างเปล่ามองนาง อีกทั้งยังกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"กลับไป"
นางรู้ว่าเขาโกรธนาง ให้ตายเถอะ! นางยอมให้เขาพ่นวาจาหยาบคายด่านางดีกว่าทำท่าทางหมางเมินใส่นางเช่นนี้
"พี่ชายหนานหนานท่านไล่ข้าหรือ"
"..." ซ่งอี้หนานหันหลังให้กับเหมยฮวา ไม่สนวาจาอ้อนวอนของนาง ภายในใจรู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างมาก เขาโกรธมากจริงๆที่นางกล้าพาซ่งลี่หนิงไปยังสถานที่เสี่ยงอันตรายเช่นนั้น หากแต่คนอย่างซ่งอี้หนานหาใช่คนที่จะตำหนิผู้ใดออกมาผ่านคำพูด เมื่อรู้สึกโกรธเขาจะไม่อยากคุย ไม่อยากมองหน้าคนผู้นั้น หากคนผู้นั้นสำนึกผิด เขาพร้อมที่จะให้อภัย แต่สำหรับเหมยฮวาแล้ว นางดื้อรั้นเกินกว่าที่เขาจะยอมใจอ่อนกับนางได้โดยง่าย
"หากท่านไล่ข้า ข้าจะไม่กลับมาอีกแล้วนะ" นางกล่าวเสียงแผ่ว แต่ไม่ยอมขยับเขยื้อนกายไปไหน รอคอยอย่างมีความหวังว่าเขาจะหันมาง้องอนให้อภัยนาง
"..." หากแต่ซ่งอี้หนานยังคงเฉยเมย นอกจากเขาจะไม่สนใจนางแล้ว เขายังทำเหมือนว่านางไม่มีตัวตนอีกด้วย
"ดีล่ะ! ต่อไปข้าจะไม่มาให้ท่านเห็นหน้าอีกแล้ว"
"คราวก่อนก็พูดแบบนี้" ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินน้ำเสียงสั่นไหวของนาง นางร้องไห้หรือ... ตั้งแต่รู้จักกันมาสิบกว่าปี เหมยฮวาเปรียบเสมือนหญิงแกร่ง เขาไม่เคยเห็นนางเสียน้ำตาให้กับผู้ใดมาก่อน
"แต่ครั้งนี้ข้าพูดจริง คอยดูเถิด" เหมยฮวาเบะปาก จู่ๆหยดน้ำตาพลันร่วงลงมาจากดวงตาจนนางตกใจรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆ และวิ่งไปทางหน้าต่างกระโดดหายออกไปอย่างไร้ร่องรอย
ซ่งอี้หนานถอนหายใจออกมาเบาๆ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าหมาวไท่จื่อไม่มีวันทำร้ายซ่งลี่หนิงอย่างแน่นอน หากแต่เขาเป็นห่วงชื่อเสียงของนาง บุรุษกับสตรีอยู่ด้วยกันตามลำพังที่หอบุปผชาติ หากผู้ใดรู้เข้าชื่อเสียงของนางคงเสียหายไม่น้อยเลยทีเดียว และถ้าหากท่านพ่อซ่งเหวยหนานรู้ น้องสาวของเขาคงต้องโดนดุเป็นแน่
หลังจากร้องไห้จนพอใจแล้ว ซ่งลี่หนิงจึงค่อยๆลุกขึ้นเดินตรงไปยังกระจกทองเหลือง แลเห็นขอบตาของตนบวมเปล่งจากการร้องไห้จึงส่ายศีรษะไปมาเบาๆด้วยความระอา มือบางปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างรวดเร็ว ลั่นวาจาในใจว่าต่อไปนี้นางจะไม่เสียน้ำตาให้บุรุษนามว่าหมาวอี้เข่ยอีกต่อไปแล้ว หญิงสาวเดินไปหยิบผ้าคลุมผืนบางที่หมาวไท่จื่อทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าขึ้นมาคลุม ทว่าในตอนที่เดินไปที่ประตูกลับได้ยินเสียงของหยูช่างดังขึ้นเสียก่อน
"คุณหนูซ่งลี่หนิงจะกลับแล้วใช่หรือไม่"
"ท่านหยูช่างหรือ" ซ่งลี่หนิงร้องถามด้วยความหวาดระแวง หากหยูช่างยังอยู่นั่นหมายความว่าเขาคนนั้นยังไม่จากไปงั้นหรือ
ทว่าดูเหมือนว่าหยูช่างจะรู้ทันความคิดของนาง เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความลังเลและความกังวลยามขานเรียกชื่อเขา เขาจึงรีบตอบเพื่อให้นางสบายใจ
"ไท่จื่อเสด็จกลับไปแล้ว และให้ข้าพาคุณหนูกลับไปส่งที่จวน" กล่าวพร้อมค่อยๆแง้มประตูออกพร้อมยื่นส่งเสื้อคลุมตัวใหญ่มาให้
'ดูเอาเถิด ถึงแม้ตัวจะจากไปยังมิวายส่งเสื้อคลุมมาให้ตามหลอกหลอน' ซ่งลี่หนิงเบ้ปากมองเสื้อคลุมในมือด้วยความรู้สึกหงุดหงิด นางจำได้ว่านี่คือเสื้อคลุมตัวโปรดของเขา มิหนำซ้ำยังมีกลิ่นกายของเขาติดอยู่ที่เสื้อคลุมอยู่เลย แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือก นางจึงจำต้องยอมใช้เสื้อคลุมที่เขาทิ้งไว้ให้ก่อนจะเปิดประตูออกไปหาหยูช่าง
องครักษ์หนุ่มหยูช่างเป็นคนมากฝีมือ นางเห็นเขามาตั้งแต่วัยเยาว์ ในตอนนั้นนางอายุเพียงสี่หนาว ทว่าหยูช่างอายุได้สิบเจ็ดปีแล้ว หยูช่างกับหยูเชาเป็นพี่น้องฝาแฝดที่มีฝีมือเก่งกาจหาผู้ใดเปรียบ สมฉายาราชองครักษ์ผู้เก่งกาจแห่งหน่วยไก่ฟ้า เขาทำงานติดตามรับใช้หมาวอี้เข่ยไท่จื่อมาหลายปี ดังนั้นจึงมีเพียงแค่หมาวไท่จื่อเท่านั้นที่สามารถแยกหน้าตาระหว่างสองพี่น้องฝาแฝดได้
เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อ หยูช่างก็พานางกลับมาส่งที่จวนสกุลซ่งได้อย่างปลอดภัย โดยที่ไม่มีผู้ใดสงสัยและไม่มีใครเห็นว่านางไปที่หอบุปผชาติมา
ยามนี้เยว่ฉิงไม่ได้อยู่ที่ศาลาริมสระบัวแล้ว ซ่งลี่หนิงคิดว่านางคงกำลังรออยู่ที่หอนอน ไม่รู้ว่าท่านพ่อท่านแม่จะรู้หรือไม่ว่านางหายไป ทว่าซ่งลี่หนิงรู้สึกกลัดกลุ้มใจไม่น้อย หากท่านพ่อรู้ว่านางหายไปไหน นางต้องโดนบ่นจนหูชาเป็นแน่
"ขอบใจท่านหยูช่างมากที่มาส่งข้า" กล่าวพลางยื่นเสื้อคลุมตัวใหญ่ของหมาวอี้เข่ยคืนให้หยูช่าง ทว่าองครักษ์หนุ่มกลับปรายตามองมันเพียงเล็กน้อย หากแต่เขาไม่ยอมรับคืน
"คุณหนูรอคืนให้ไท่จื่อด้วยตัวเองเถิด ข้าขอตัวก่อน" เพียงกล่าวจบประโยค หยูช่างก็กระโดดหายขึ้นไปบนต้นไม้ไม่เห็นแม้แต่เงา
ซ่งลี่หนิงรีบวิ่งกลับไปที่เรือนนอน เมื่อไปถึงพบว่าเยว่ฉิงรอนางอยู่ที่นั่นจริงๆ นางจึงให้เยว่ฉิงช่วยปรนนิบัติผลัดเปลี่ยนอาภรณ์แต่งตัวเสียใหม่ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ซ่งเหวยหนานผู้เป็นพ่อกลับมาถึงจวนสกุลซ่งพอดี
ยามอิ่ว (17.00 - 18.59 น.) ห้าคนพ่อแม่ลูกนั่งรับประทานมื้อเย็นด้วยกันตามปกติ แต่ดูเหมือนว่าวันนี้ทั้งซ่งเหวยหนานและซ่งอี้หนานจะอารมณ์ดีมากกว่าปกติ จูลี่จินสังเกตเห็นท่าทางของสองคนพ่อลูก หากแต่นางไม่ได้ทักท้วงอะไร ทว่ารอจนกระทั่งกินข้าวเสร็จจึงเปิดปากถามขึ้น
"ท่านพี่กับหนานหนานมีเรื่องอะไรน่ายินดีงั้นหรือ ข้าเห็นทั้งสองคนต่างพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันมานานแล้ว"
ซ่งเหวยหนานหันไปสบตากับบุตรชาย มุมปากหยักโค้งขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาหาภรรยาที่นั่งอยู่ข้างกาย มือหนากอบกุมมือบางของนางเอาไว้หลวมๆ สบสายตาอย่างหวานซึ้ง แม้ยามนี้จูลี่จินจะล่วงเข้าวัยเลขสาม แต่ทว่าสำหรับเขาแล้ว นางยังคงงดงามอ่อนเยาว์หาใดเปรียบเฉกเช่นวันวาน
"วันนี้หมาวฮ่องเต้ทรงประกาศราชโองการแต่งตั้งให้หนานหนานเป็นต้าตูตู (หัวหน้าแม่ทัพภาคหรือมณฑล) "
ทั้งจูลี่จินและซ่งลี่หนิงต่างพากันเบิกตากว้างด้วยความดีใจ กล่าวคำแสดงความยินต่อซ่งอี้หนานยกใหญ่ ซ่งอี้หลุนได้ยินเช่นนั้นเขาจึงรีบเอ่ยปากแสดงความยินดีตาม ปรบมือดังแปะๆให้ ทางฝ่ายเจ้าตัวได้แต่ส่งยิ้มเล็กน้อยพลางยกจอกน้ำชาขึ้นจิบไม่ให้ผู้อื่นรู้ว่าตนกำลังเขินอายตามนิสัยเคร่งขรึม หากแต่ดวงตากลับเปล่งประกายเต็มไปด้วยความสุขใจ
