บทที่ 4 ป่วนหอบุปผชาติ
"เราต้องทำถึงเพียงนี้เลยหรือ"
ซ่งลี่หนิงก้มมองอาภรณ์ของตนสลับกับหันไปมองหน้าของเหมยฮวาด้วยความไม่มั่นใจ ยามนี้พวกนางทั้งสองคนอยู่ในชุดเสื้อผ้าน้อยชิ้น ท่อนบนมีเพียงผ้าแถบสีชมพูปกปิดอกอิ่มเอาไว้ หากยังดีที่มีผ้าคลุมผืนบางคลุมไหล่จึงพอให้ปกปิดเนินอกจากสายตาของคนอื่นไว้ได้ ส่วนท่อนล่างของนางเป็นกระโปรงยาวกรอมเท้าสีเดียวกับท่อนบนเข้าชุดกัน มีลูกไม้ประดับเป็นชั้นๆเพื่อความสวยงาม ข้อแขนและข้อเท้าสวมใส่กระดิ่งยามที่ขยับกายบังเกิดเสียงกรุ๊งกริ๊งดูน่ารัก ส่วนใบหน้างามมีผ้าขาวผืนบางปกปิดตั้งแต่จมูกมาจนถึงปลายคาง เหลือไว้เพียงแค่ดวงตาให้ดูเย้ายวนชวนให้น่าค้นหามากขึ้น
"ต้องทำเช่นนี้แหละ หาไม่เราอาจถูกจับได้" เหมยฮวาตอบ นางเองก็อยู่ในชุดแบบเดียวกับซ่งลี่หนิง แตกต่างกันแค่เพียงสีชุดซึ่งของนางเป็นสีม่วงอ่อน
นางอุตส่าห์ลงทุนจ่ายเงินขอซื้อชุดพวกนี้มาจากนางระบำที่ทำงานอยู่ที่หอบุปผชาติเพื่อปลอมตัวเข้าไปข้างใน เนื่องจากหอบุปผชาติไม่อนุญาตให้สตรีเข้าไป เว้นแต่เพียงบุรุษหรือคนที่ทำงานอยู่ที่หอบุปผชาติเท่านั้น
"อย่าเสียเวลาอีกเลยรีบเข้าไปกันเถิด" เหมยฮวาคว้าข้อมือเล็กของซ่งลี่หนิงเอาไว้และพานางเดินเข้าไปข้างใน ในตอนที่เดินผ่านประตูทางเข้ามีบุรุษร่างใหญ่สองคนหน้าตาน่ากลัวยืนขนาบอยู่ที่ประตูทั้งสองข้าง พวกเขาส่งสายตากวาดมองไปทั่วร่างบางของซ่งลี่หนิงและเหมยฮวาอย่างหยาบโลน
ก้อนเนื้อในอกซ้ายของซ่งลี่หนิงเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น เม็ดเหงื่อผุดขึ้นใบหน้าและฝ่ามือ แตกต่างจากเหมยฮวาที่ยังคงยืนนิ่งเฉยปล่อยให้พวกมันสำรวจด้วยสายตาจนพึงพอใจ
"มองเสร็จแล้วก็ปล่อยให้พวกข้าเข้าไปข้างในเถิด อีกไม่นานการแสดงจะเริ่มขึ้นแล้ว หาไม่พวกข้าจะขึ้นแสดงไม่ทัน" เหมยฮวากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พวกมันสองคนหันไปสบตากันเล็กน้อย จากนั้นจึงหันมาเอ่ยกับนางเสียงแข็ง
"เชิญ"
เหมยฮวาคลี่ยิ้มอย่างเริงร่า ในขนาดที่ซ่งลี่หนิงถอนหายใจออกมาเบาๆด้วยความโล่งใจ นึกว่าจะถูกจับได้เสียแล้ว
เพราะตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนถึงบ่ายคล้อยทำให้หอบุปผชาติมีแขกเหรื่อแวะเวียนมาจนเต็มร้าน เหมยฮวาดึงมือของซ่งลี่หนิงไปยืนอยู่บนชั้นสองข้างระเบียง ที่ตรงนี้ทำให้กวาดสายตาสามารถมองเห็นได้ทั่วร้าน
"ดูโน่นสิ คุณชายสกุลถังข้าได้ข่าวว่าเขาส่งแม่สื่อมาทาบทามเจ้าด้วย"
ซ่งลี่หนิงมองตามนิ้วเรียวของเหมยฮวาจนไปพบกับชายผู้หนึ่งที่กำลังนั่งดื่มสุรา สองข้างขนาบไปด้วยหญิงสาวคอยพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจอยู่ไม่ห่าง
"ส่วนนั้นคุณชายสกุลเฉิน คุณชายสกุลเตา คุณชายสกุลฟาง คุณชายสกุลเกา แล้วก็คุณชายสกุลหวง" เหมยฮวาชี้ไปยังบุรุษที่นั่งอยู่ทางด้านต่างๆของร้าน พวกเขาทุกคนต่างเป็นบุรุษที่ส่งแม่สื่อมาทาบทามซ่งลี่หนิงด้วยกันทั้งนั้น
"มีแต่พวกหื่นกาม" ซ่งลี่หนิงเปรยขึ้นมาเบาๆ นางถึงกับขนลุกซู่เมื่อเห็นมือปลาหมึกของพวกเขาลูบไล้ไปตามเนื้อตัวหญิงงาม ซึ่งพวกนางก็ไม่ได้หวงเนื้อหวงตัวเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังส่งเสียงหัวเราะคิกคักปล่อยให้มือหนาสำรวจไปตามร่างกายของตนได้ตามใจชอบ
"เห็นอย่างนี้แล้วเจ้าคงรู้นะว่าต้องทำอย่างไรต่อ"
"อืม ข้าจะปฏิเสธพวกเขาทั้งหมด" ซ่งลี่หนิงส่ายศีรษะไปมาอย่างระอา บุรุษพวกนี้เป็นพวกที่ไม่ได้เรื่อง หากนางแต่งเข้าจวนพวกเขาคงไม่พ้นต้องมานั่งปวดหัวเรื่องสตรีอื่นเป็นแน่
บุรุษที่นางต้องการแต่งงานใช้ชีวิตด้วย คนๆนั้นจะต้องเป็นคนที่นิสัยดี อ่อนโยน สุภาพ ไม่เจ้าชู้ ไม่มักมากในกาม และเป็นคนที่ดูแลปกป้องนางได้ หากแต่ว่านางจะไปหาบุรุษที่แสนดีเช่นนั้นได้จากที่ไหนกัน
"บุรุษที่ดีในยุคสมัยนี้หายากนัก ไม่ว่าจะเป็นสกุลไหนต่างก็มีเมียเล็กเมียน้อยกันทั้งนั้น ยกเว้นเพียงแต่ท่านพ่อของข้ากับท่านพ่อของเจ้า ดูอย่างหมาวฮ่องเต้สิ ข้าได้ยินมาว่าฝ่าบาททรงรักถังซือซือฮองเฮานักหนา แต่เป็นอย่างไรเล่า ฝ่าบาทยังมีจูจิ้งซูกุ้ยเฟยอีกคนจนได้" นางกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ ถึงแม้ท่านแม่ของนางจะสิ้นชีพจากไปตั้งแต่นางยังคงแบเบาะ แต่ท่านพ่อของนางก็ไม่คิดแต่งงานกับผู้ใด อีกทั้งยังเลี้ยงดูนางมาตัวคนเดียวจนนางเติบโตขึ้น มีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
"เหมยฮวาระวังปากของเจ้าด้วย" ซ่งลี่หนิงเอ่ยปรามสหาย เหมยฮวารู้สึกตัวจึงรีบยกมือขึ้นปิดปากกล่าวคำขอโทษซ่งลี่หนิงทันที นางพูดสนุกปากไปหน่อยจนลืมไปว่าจูจิ้งซูกุ้ยเฟยมีศักดิ์เป็นท่านน้าแท้ๆของซ่งลี่หนิง
"หนิงหนิงจะไปไหนหรือ" เหมยฮวารีบร้องถาม เมื่อเห็นซ่งลี่หนิงหมุนกายหันหลังทำท่าจะเดินจากไป
"ข้าปวดเบา"
"เช่นนั้นข้าจะรออยู่ที่นี่นะ"
ซ่งลี่หนิงผงกศีรษะรับ เหมยฮวาจึงหมุนกายเกาะขอบระเบียงกวาดสายตามองสังเกตคนโน้นทีคนนี้ทีด้วยความสนุกสนาน
หลังจากที่ปลดเบาเรียบร้อยแล้ว ซ่งลี่หนิงจึงตั้งใจจะเดินกลับไปหาเหมยฮวา ที่นี่ไม่มีอะไรให้ดูแล้วนางจึงไม่คิดที่จะรั้งอยู่ต่อ ทางเดินทอดยาวไปทางบันไดมีห้องหับวางเรียงรายกันเต็มสองข้างทาง ยามที่เดินผ่านไปยินเสียงครวญครางของชายหญิงดังแว่วมาจากภายในห้องชวนให้รู้สึกจั๊กจี้หูอย่างบอกไม่ถูก ลางทีก็เห็นบุรุษควงสตรีหน้าตางดงามเดินสวนมา จากนั้นพวกเขาก็เดินเข้าไปในห้องที่ยังว่าง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าห้องหับพวกนี้มีไว้เพื่อปลดปล่อยอารมณ์กำหนัดของบรรดาบุรุษที่มาเที่ยวที่หอบุปผชาติแห่งนี้
ขาเรียวพยายามก้าวให้เร็วที่สุด นางไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว หากแต่ยังไม่ทันจะเดินถึงทางเลี้ยวก็มีชายผู้หนึ่งเดินสวนมาเสียก่อน เขาเดินโซเซมาขวางหน้าของซ่งลี่หนิงเอาไว้ กลิ่นสุราเหม็นโชยออกมาจากตัวเขาชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนจนนางต้องยกมือขึ้นปิดจมูก
"แม่นางโคนงามจาปายหนายหรือ"
ซ่งลี่หนิงไม่ตอบคำถาม นางพยายามกลั้นหายใจไม่เห็นสูดเอากลิ่นละมุดเหม็นหึ่งเข้าปอด พลางหันซ้ายขวาทำท่าจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่ทว่าชายผู้นั้นกลับวิ่งมาขวางนางเอาไว้
"หยิ่งจางเลย พูดด้วยแล้วก็ม่ายพูด เอิ๊ก"
"หลีกไปนะ ข้าจะกลับจวน" ในที่สุดซ่งลี่หนิงก็ทนไม่ไหว นางกล่าวเร็วๆ ก่อนจะหันหลังไปสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด หลังจากทนกลั้นหายใจจนหน้าดำหน้าแดง หากแต่ใครจะไปรู้ว่าในตอนที่นางหันหลัง ชายผู้นั้นกลับตรงเข้ามาคว้าตัวนางเข้าไปกอด
"ปล่อยข้านะปล่อย ช่วยด้วย อื้อ!" หญิงสาวหวีดร้องด้วยความตกใจ พยายามเอ่ยปากเรียกให้คนช่วย แต่ทว่ากลับโดนมือหนาของเขาเอื้อมมาปิดปากของนางเอาไว้เสียก่อน
"จาร้องห้ายดีดดิ้นไปไย เข้าไปสำเริงสำราญหาความสุขกับข้าเถิด"
ซ่งลี่หนิงน้ำตาคลอทั้งเหม็นทั้งสะอิดสะเอียนและขยะแขยง อีกทั้งยังมีความหวาดกลัวปนเปกันไปหมด มือหนาของเขาปิดปากนางแน่นสนิท แม้กระทั่งเสียงร้องไห้ยังไม่มีเล็ดลอดออกมา ทว่าในความหวาดกลัวนางยังมีสติพอหลงเหลืออยู่บ้าง เรื่องแบบนี้นางเคยประสบพบเจอมาแล้วหนหนึ่ง ย้อนกลับไปเมื่อสิบสามปีก่อน ตอนนั้นนางอายุเพียงแค่สี่หนาวโดนคนร้ายลักพาตัวไปจากอ้อมอกของท่านพ่อท่านแม่ แต่นางใช้เรี่ยวแรงที่มีกระโดดกัดหูของคนร้ายจนขาดวิ่นจึงรอดมาได้
ยามนี้นางโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว นางต้องเอาตัวรอดให้ได้เช่นกัน เมื่อคิดเช่นนั้น ซ่งลี่หนิงพยายามนึกถึงวิชาการต่อสู้ป้องกันตัวที่ท่านพ่อซ่งเหวยหนานเคยสอน จากนั้นนางจึงยกเท้าขึ้นกระทืบไปที่เท้าของคนเมาอย่างจัง เขาร้องโอ๊ยออกมาเสียงดัง มือหนาปล่อยปากบางให้เป็นอิสระ ทว่าเขายังคงกอดรัดเอวบางของนางแน่นไม่ยอมปล่อย หากแต่ซ่งลี่หนิงไม่ยอมแพ้ นางก้มหน้าลงใช้ปากกัดไปที่ต้นแขนของเขาอย่างแรง
"อ๊ากกก" คนที่กำลังเมามายแทบจะสร่างเมาด้วยความเจ็บ ทันทีที่เป็นอิสระซ่งลี่หนิงก็รีบหมุนกายหันหน้ากลับมากำมือแน่นพร้อมต่อยเสยไปที่ปลายคางของเขาอย่างแรงจนเขาหงายหลังล้มลงนอนสลบเหมือดอยู่บนพื้น
"คุณหนูซ่งลี่หนิง ท่านมาทำอะไรที่นี่"
"ท่านหยูเชา ฮึก" ซ่งลี่หนิงรีบหันหน้ากลับมาทันทีที่ได้ยินเสียงคุ้นเคย หยูเชามองไปยังชายที่นอนสลบสลับกับซ่งลี่หนิงด้วยความงุนงง หากแต่เขายังไม่ทันจะได้กล่าววาจาใด ประตูห้องที่ปิดสนิทในตอนแรกก็ถูกกระชากให้เปิดออกอย่างแรง
หมาวอี้เข่ยก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างๆหยูเชา หลังจากที่เขาได้ยินองครักษ์หนุ่มขานเรียกชื่อคนที่เขาคุ้นเคย
"ไท่จื่อ ฮือ" เมื่อความกลัวเกาะกินในหัวใจ ซ่งลี่หนิงลืมสิ้นไปถึงความตั้งใจทุกอย่างของตนที่จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับบุรุษสูงศักดิ์นามว่าหมาวอี้เข่ย ตอนนี้ร่างเล็กของนางวิ่งลิ่วเข้าไปหาเขา ในขณะที่หมาวอี้เข่ยอ้าแขนออกกว้างรับคนตัวเล็กมาไว้ในอ้อมแขนของตนด้วยความเต็มใจ
"หนิงหนิงเกิดอะไรขึ้น" เขาถามคนในอ้อมแขนสลับกับมองคนที่นอนไร้สติอยู่บนพื้นด้วยความสงสัย หากแต่หมาวอี้เข่ยมั่นใจว่าชายผู้นั้นไม่ใช่คนดี
"ไท่จื่อ หม่อมฉันกลัวเหลือเกิน ฮือ"
หยดน้ำตาของนางเปียกปอนไปทั่วทั้งอาภรณ์บนอกแกร่ง หมาวอี้เข่ยรับรู้ได้ว่าร่างบางในอ้อมแขนกำลังตัวสั่นระริกยังไม่คลายความหวาดกลัว เมื่อถามอะไรก็เอาแต่ร้องไห้คล้ายคนหวาดกลัวจนจับใจ เขาจึงตัดสินใจพานางกลับเข้าไปในห้องก่อน
