บทที่ 4 ข้าคือหลินชิงหรู
เมิ่งชิงหรูนั่งสนทนากับฟางซื่ออยู่จนสาวใช้ตั้งโต๊ะสำหรับมื้อเช้า นางจึงร่วมกินมื้อเช้ากับฟางซื่อและหลินชิงฉือเหมือนในกาลก่อน แน่นอนว่ายามนี้นางหายดีแล้วย่อมต้องกลับมาใช้ชีวิตในรูปแบบปกติของหลินชิงหรู กิจวัตรประจำวันของหลินชิงหรูนับว่ามีความเรียบง่ายเป็นอย่างมาก ตื่นแต่เช้าแต่งตัวแล้วมาคารวะฟางซื่อที่เรือน อยู่กินมื้อเช้าร่วมกันแล้วค่อยกลับเรือนของตนไปพักผ่อนหรือไม่ก็อยู่ปรนนิบัติฟางซื่อจนกินอาหารกลางวันร่วมกันแล้วค่อยกลับเรือนของตน ตอนเป็นเด็กฟางซื่อมักจะเชิญอาจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายท่านมาสอนบุตรสาวที่เกิดจากอนุทั้งสามของหลินจิ้ง มีเพียงหลินชิงหรูเพียงผู้เดียวที่ที่สนใจใฝ่เรียนรู้ เมื่อเริ่มโตขึ้นฟางซื่อจึงได้เชิญมามาจากในวังมาสอนกิริยามารยาทแต่คนที่เรียนรู้ได้ดีที่สุดก็ยังคงเป็นหลินชิงหรู ในจวนตระกูลหลินแห่งนี้ความสามารถของคุณหนูในจวนจึงมีเพียงคุณหนูใหญ่หลินชิงลี่ที่เกิดจากฟางซื่อและคุณหนูรองหลินชิงหรูที่สามารถนำไปโอ้อวดแก่ผู้คนภายนอกได้
เมิ่งชิงหรูอยู่กับฟางซื่อจนผ่านพ้นมื้อกลางวันไปแล้วนางจึงคิดจะขอตัวกลับเรือนของตนเอง ในขณะที่นางจะเอ่ยปากขออำลาหลินชิงเสียนคุณชายใหญ่ของตระกูลหลินเดินเข้ามาในเรือนเสียก่อนนางจึงจำต้องอยู่ต่อ
“เหตุใดวันนี้เจ้าจึงได้มาที่เรือนของแม่ได้ เจ้าไม่ค่อยย่างกรายมาที่เรือนแห่งนี้เสียจนแม่แทบจะลืมไปแล้วว่าตนเองยังมีบุตรชายเช่นเจ้าอยู่” ฟางซื่อเอ่ยตัดพ้อบุตรชายด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมที่ไม่จริงจังนัก
“ช่วงนี้ข้าสะสางงานจนเบาบางลงบ้างแล้ว คนแรกที่ข้าคิดถึงก็คือท่านแม่แต่กลับถูกท่านว่ากล่าวเช่นนี้ ช่างไม่เห็นแก่จิตใจอันอ่อนไหวของข้าบ้างเลย” หลินชิงเสียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ เขาเดินตรงไปนั่งข้างกายฟางซื่อด้วยท่าทีออดอ้อนพลางหันมามองหลินชิงหรูที่ลุกขึ้นคารวะเขาด้วยท่าทางสงบนิ่ง เขากับหลินชิงหรูมีอายุห่างกันถึงห้าปี จึงไม่ได้มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากนัก แต่ถ้าเทียบกับพี่สาวและน้องสาวคนอื่นๆ ในจวนแล้ว ก็นับว่าเขาสนิทสนมกับหลินชิงหรูมากที่สุด จึงอดเอ่ยสอบถามอาการของน้องสาวด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ยามที่ข้ากลับมาแล้วได้รู้เรื่องของเจ้าก็เคยคิดจะไปเยี่ยมเจ้า แต่ท่านแม่ไม่อยากให้ผู้ใดรบกวนข้าจึงไม่ได้เข้าไปเยี่ยมเยียน”
“ขอบคุณพี่ชายใหญ่มากเจ้าค่ะ ยามนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว” เห็นหลินชิงหรูก้มหน้าตอบเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาหลินชิงเสียนก็ได้แต่ทอดถอนใจ
“หากเจ้ารอให้ข้ากลับมาจากต่างเมืองก็คงไม่ต้องเจ็บตัวเช่นนี้ ท่านพ่อก็กระไรทำอันใดทำไมไม่รอปรึกษาท่านแม่กับข้าก่อน” หลินชิงเสียนเอ่ยพลางทำหน้านิ่ว ยามนี้เขาดำรงตำแหน่งเป็นรองเจ้ากรมโยธา ต้องออกไปดูงานต่างเมืองอยู่บ่อยครั้ง คิดไม่ถึงว่ายามที่ออกไปดูงานต่างเมืองจะเกิดเรื่องกับหลินชิงหรูได้
“เจ้าเป็นสหายสนิทกับฉินเย่วเทียน ท่านพ่อของเจ้าไปยกเลิกงานแต่งงานกับเขาเช่นนี้ ทางเขาได้เอ่ยอันใดกับเจ้าบ้าง” ฟางซื่อเอ่ยถามบุตรชายด้วยความกังวล ถึงอย่างไรความสัมพันธ์ที่ฉินเย่วเทียนมีให้หลินชิงเสียนก็นับว่าเป็นความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกันมานานหลายปี
“เขาก็มีมาต่อว่าข้าเล็กน้อย สาเหตุที่เขาเลือกชิงหรูก็เพราะเห็นว่านางนั้นเป็นน้องสาวของข้า ไทเฮาต้องการให้เขารีบมีทายาทจึงเสนอหญิงสาวจากตระกูลใหญ่ให้เขามากมายแต่เขากลับเลือกชิงหรู จู่ๆ ท่านพ่อไปขอยกเลิกเขาย่อมต้องรู้สึกขุ่นเคืองเป็นธรรมดา ข้าจึงบอกเขาไปว่าชิงหรูไม่ยินดีไปเป็นอนุของเขาจนถึงขั้นยอมแขวนคอตนเอง ทำให้เขาตกใจอยู่บ้างและไม่กล้าเอ่ยกับข้าถึงเรื่องนี้อีก” หลินชิงเสียนเอ่ยเช่นนี้ฟางซื่อจึงค่อยคลายความกังวลใจของนางลง นางพยักหน้าพลางเอ่ยกับหลินชิงเสียนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่ขุ่นเคืองใจจนพาลไปถึงเจ้าก็ดีแล้ว พวกเจ้าคบค้าสมาคมกันตั้งแต่เด็กข้าเองก็ไม่อยากให้พวกเจ้าต้องผิดใจกันเพราะเรื่องนี้” ฟางซื่อเอ่ยพลางทอดถอนใจ ถึงแม้ฉินเย่วเทียนจะมีชื่อเสียงไม่ดีนักแต่ด้วยฐานะคุณชายใหญ่ของตระกูลฉินและหลานชายที่เป็นที่โปรดปรานของไทเฮาก็ทำให้นางไม่สามารถละเลยคนเช่นเขาได้
“ข้าบอกกับเขาและบรรดาสหายสนิทของข้าแล้วว่าจะไม่ยอมให้ชิงหรูต้องแต่งไปเป็นอนุของผู้ใดเด็ดขาด เมื่อหลายวันก่อนจวนแม่ทัพเหยียนเกิดเรื่องใหญ่ฉาวโฉ่ไปทั้งเมือง ข้าได้ยินแล้วก็ยิ่งไม่อยากให้ชิงหรูหรือบรรดาน้องสาวที่เหลือต้องไปผจญกับเรื่องเช่นนั้น” หลินชิงเสียนเอ่ยเช่นนี้ฟางซื่อก็มีสีหน้าสนใจขึ้นมาในทันที
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ เขาพึ่งได้รับพระทานสมรสกับองค์หญิงใหญ่ไปมิใช่หรือ เมื่อหลายเดือนก่อนแม่ยังได้ไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนของเขาอยู่เลย” ฟางซื่อเอ่ยถามด้วยความอยากรู้จนไม่ได้สังเกตว่าเมิ่งชิงหรูที่นั่งอยู่ข้างกายนางอีกด้านกำลังกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ
“ได้ยินมาว่าบุตรฝาแฝดของเขาล้วนจมน้ำตายทั้งคู่ ส่วนอนุของเขาผู้หนึ่งก็ฆ่าตัวตายที่โถงเคารพศพของจวน ผู้คนที่ไปรอร่วมงานศพล้วนได้ยินถ้อยคำของอนุผู้นั้นว่านางถูกแม่ทัพเหยียนกับองค์หญิงร่วมกันบีบบังคับนางจนต้องฆ่าตัวตาย” ได้ยินเช่นนั้นฟางซื่อก็ต้องขมวดคิ้วเช่นกัน
“องค์หญิงใหญ่ผู้นี้มีชื่อเสียงเรื่องเป็นคนอ่อนโยนและไม่ถือตัว คิดไม่ถึงว่าเมื่อต้องเข้าไปอยู่ในเรือนหลังแล้วจะทนเก็บความริษยาของตนเองเอาไว้ไม่ได้” ฟางซื่อเอ่ยจบก็หันไปมองเมิ่งชิงหรูเห็นนางมีสีหน้าซีดเซียวจึงเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ชิงหรูเจ้ายังไม่แข็งแรงดีรีบกลับเรือนไปพักผ่อนเถิด ดูสิหน้าตาซีดเซียวไปหมดแล้ว ข้ามีพี่ชายใหญ่ของเจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนแล้วไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก” ได้ยินเช่นนั้นเมิ่งชิงหรูก็พยักหน้ารับ
“เช่นนั้นข้าขอกลับไปพักผ่อนที่เรือนนะเจ้าคะ” เมิ่งชิงหรูเอ่ยพลางลุกขึ้นคารวะอำลาฟางซื่อและบุตรชายด้วยท่าที่อ่อนน้อมแล้วจึงค่อยออกจากเรือนของฟางซื่อ
นางเดินกลับเรือนของตนเองด้วยท่าทางเลื่อนลอย เมื่อถึงเรือนของตนเองแล้วจึงโบกมือไล่ชุ่ยหวาให้ออกไปด้วยยามนี้นางต้องการอยู่คนเดียว คิดถึงถ้อยคำที่หลินชิงเสียนเอ่ยเมื่อครู่แล้วนางก็ได้แต่หัวเราะทั้งน้ำตาออกมาคนเดียว เห็นทีความตั้งใจของนางจะประสบผลสำเร็จอย่างน้อยก่อนตายนางได้ทำลายชื่อเสียงของคนผู้นั้นได้ไม่มากก็น้อย เพียงแต่ยามนี้สิ่งที่อยู่ในใจของนางก็ยังคงเป็นความเศร้าโศกกับเรื่องการตายของบุตรชายบุตรสาวฝาแฝดของตน นางนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวจนฟ้ามืดชุ่ยหวาจึงได้เข้ามาเอ่ยเรียกนางด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น เมิ่งชิงหรูจึงได้เช็ดน้ำตาแล้วเอ่ยเรียกชุ่ยหวาให้เข้ามาจุดตะเกียง
หลังจากกินอาหารค่ำเสร็จแล้วนางก็อาบน้ำชำระร่างกายโดยมีชุ่ยหวาและสาวใช้อีกสามคนคอยอยู่ช่วยปรนนิบัติ เมื่อรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวดีแล้วนางจึงไล่สาวชุ่ยหวาและสาวใช้คนอื่นๆ ให้กลับไปพักผ่อน ส่วนตัวนางเองกลับเดินไปชื่นชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่ริมหน้าต่างของห้องนอน
ยามนี้ใกล้เข้าฤดูหนาวแล้วท้องฟ้ามืดเร็วขึ้นอากาศก็เริ่มเย็นมากขึ้น สายลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามาจากภายนอกหน้าต่างทำให้สมองของนางยิ่งแจ่มชัด บัดนี้เรื่องราวเลวร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้ว ต่อไปนี้จะไม่มีเมิ่งชิงหรูอีกต่อไป จะมีก็เพียงแต่หลินชิงหรูคุณหนูรองจวนเสนาบดีกรมพิธีการเท่านั้น ชาตินี้นางจะใช้ชีวิตให้ดีจะไม่อ่อนแอให้ผู้อื่นมารังแกนางได้อีก คิดได้แล้วก็เหม่อมองออกไปนอนหน้าต่างมองดูท้องฟ้าอันมืดมิดแล้วเอ่ยกับตนเองด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
“ข้าคือหลินชิงหรู”
