บทที่ 5 คนตระกูลฟาง
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อชุ่ยหวาเตรียมเข้าไปปลุกหลินชิงหรูก็พบว่านางตื่นอยู่ก่อนแล้ว หลังจากปรนนิบัติล้างหน้าและบ้วนปากเสร็จก็เห็นหลินชิงหรูเดินไปเลือกเครื่องประดับและเครื่องแต่งกายด้วยตนเองด้วยตนเอง เครื่องประดับและเครื่องแต่งกายของหลินชิงหรูส่วนมากเว่ยอี๋เหนียงจะเป็นคนจัดเตรียมและคัดเลือกเอาไว้ให้บุตรสาวด้วยตนเอง แน่นอนว่าทุกชิ้นต้องล้ำค่างดงามและกำลังเป็นที่นิยมของบรรดาคุณหนูตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง
หลังจากหลินชิงหรูแต่งกายเสร็จเรียบร้อยแล้วมั้งชุ่ยหวาและสาวใช้ที่มาช่วยปรนนิบัตินางแต่งกายล้วนแต่ต้องพากันตื่นตะลึง การแต่งกายของหลินชิงช่างดูหรูดูเรียบง่ายแต่งดงามยิ่งนัก นางคัดเครื่องประดับที่ดูละลานตาออกไปทั้งหมดเหลือเพียงปิ่นปักและเครื่องประดับเพียงไม่กี่ชิ้น ใบหน้างามก็ไม่ได้ผัดแป้งแต่งชาดใดๆ แต่กลับดูงดงามสดใสแฝงกลิ่นอายบริสุทธิ์ไร้เดียงสาแต่ทว่ามีสง่าราศีขึ้นมาอีกอยู่หลายส่วน แน่นอนว่าสำหรับเมิ่งชิงหรูแล้วก่อนตายนางมีอายุยี่สิบเจ็ดย่างยี่สิบแปดแล้ว
เมื่อนางได้มาอยู่ในร่างของหลินชิงหรูที่พึ่งจะพ้นวัยปักปิ่นได้ไม่นานย่อมกระตือรือร้นที่จะเปิดเผยใบหน้าอันอ่อนเยาว์เผยผิวสดในของตนเองเป็นธรรมดา พลางคิดในใจว่าถ้าหากว่าชาตินี้นางอยากมีชีวิตอยู่ดีมีสุขจะต้องเริ่มปรับเปลี่ยนตนเองเสียตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นางต้องการเปลี่ยนตนเองให้ดูงดงามและล้ำค่า หากมีผู้ใดคิดจะเหยียบย่ำรังแกนางล้วนแต่จะต้องไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนว่าคุ้มค่าที่จะลงมือหรือไม่ ชาติที่แล้วนางชื่อฟังผู้อื่นมากเกินไป อ่อนแอมากเกินไปผู้อื่นจึงได้สามารถรังแกนางอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องออกแรงเลยสักนิด ที่สำคัญชาตินี้นางมุ่งมั่นที่จะรักและดูแลตนเองให้มากยิ่งขึ้น อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการให้เกียรติแก่หลินชิงหรูเจ้าของร่างนี้อย่างแท้จริงอีกด้วย
เมื่อหลินชิงหรูเดินไปคารวะฟางซื่อที่เรือนทุกคนที่ได้เห็นนางก็ต่างพากันคิดไปในทิศทางเดียวกันว่าหลินชิงหรูในวันนี้ดูงดงามและสดใส กิริยาท่าทางก็ดูสูงส่งและสง่างามมากกว่าแต่ก่อนมาก แม้แต่ฟางซื่อที่ได้เห็นนางแล้วก็อดเอ่ยปากชื่นชมออกมามิได้
“เห็นทีว่าเจ้าจะหายเป็นปกติดีแล้ว ใบหน้าของเจ้าในยามนี้ทั้งดูนวลเนียนและมีเลือดฝาดขาวอมชมพูงดงามเสียยิ่งกว่ายามที่ทางแป้งแต่งชาดเสียอีก ดูสดใสสบายตาคนแก่เช่นข้าเห็นแล้วก็รู้สึกว่าวันเวลาที่ผ่านพ้นไปช่างทำร้ายรูปโฉมของผู้คนได้มากเสียเหลือเกิน มองเจ้าก็แล้วรู้สึกอิจฉารูปโฉมอันอ่อนเยาว์ของเจ้ายิ่งนัก” ฟางซื่อเอ่ยเช่นนี้หลินชิงหรูเพียงอมยิ้มแล้วเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงใจในทันที
“ท่านแม่จะอิจฉาข้าไปทำไมกัน เมื่อเวลาผ่านไปยามที่ข้าอายุเท่าท่านไม่รู้ว่าข้าจะยังรักษาความงดงามของตนเองเอาไว้ได้อย่างท่านหรือไม่ก็ไม่รู้ ข้าได้แต่ภาวนาว่าเมื่อข้าอายุมากขึ้นแล้วรูปโฉมยังคงดูดีได้สักครึ่งหนึ่งของท่านข้าก็พึงพอใจมากแล้วเจ้าค่ะ” น้ำเสียงที่กำลังดีไม่ประจบสอพลอของหลินชิงหรูทำให้ฟางซื่อรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก พลางแอบลงความเห็นอยู่ในใจเพียงคนเดียวว่าผ่านเรื่องราวเลวร้ายมาชะรอยว่าหลินชิงหรูจะเริ่มมีความคิดมากขึ้น ดูจากการพยายามแต่งกายของนางที่ไม่ได้แต่งตามอี๋เหนียงของนางอีก กิริยาท่าทางก็ดูเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาอีกหลายส่วน
“เมื่อคืนนี้ข้ากับท่านพ่อของพวกเจ้าได้ปรึกษากันแล้ว ทั้งชิงหรูและชิงรั่วต่างพ้นวัยปักปิ่นแล้วเรื่องคู่ครองของพวกเจ้านั้นข้าจะเรียกแม่สื่อเข้ามาสอบถามให้ ส่วนชิงหว่านและชิงฉือยังไม่ต้องรีบร้อนรอให้พี่ชายพี่สาวของพวกเจ้าแต่งงานออกไปให้เรียบร้อยก่อนข้าจึงจะเริ่มมองหาคนดีๆ ให้แก่พวกเจ้า” ฟางซื่อเอ่ยเช่นนี้หลินชิงรั่วรีบคารวะขอบคุณด้วยน้ำเสียงยินดีแต่หลินชิงหรูกลับนิ่วหน้านางยังไม่อยากแต่งงานออกไปในช่วงนี้ ถึงแม้จะได้ใช้ชีวิตอยู่ในจวนแห่งนี้ได้ไม่นานนักแต่ความรู้สึกของนาง จวนแห่งนี้ทั้งสงบและเรียบง่ายไม่ต้องคอยระมัดระวังตนเองเฉกเช่นในชาติก่อนหากนางได้อยู่ที่จวนแห่งนี้ไปตลอดชีวิตนางน่าจะมีชีวิตที่ดีและมีความสุข
“ท่านแม่ข้าไม่อยากแต่งงาน ข้าขออยู่ปรนนิบัติข้างกายท่านเช่นนี้ตลอดไปเลยได้ไหมเจ้าคะ” หลินชิงหรูตัดสินใจเอ่ยออกมาตามความต้องการของตนเองด้วยน้ำเสียงอันเด็ดเดี่ยว
“เรื่องนี้แม่คงตามใจเจ้าไม่ได้หรอก ก่อนหน้านี้ที่เจ้าต้องประสบเคราะห์ภัยก็ล้วนเป็นเพราะข้าไม่คิดวางแผนเรื่องแต่งงานไว้ให้รอบคอบ ยามนี้เมื่อมีตัวอย่างให้เห็นแล้วข้าย่อมต้องพยายามเลือกเฟ้นคนดีๆ ให้แก่พวกเจ้า วันข้างหน้าพวกเจ้าจะได้ไม่โทษแม่ใหญ่เช่นข้าที่ดูแลพวกเจ้าได้ไม่ดี” ฟางซื่อเอ่ยเช่นนี้หลินชิงหรูจึงไม่กล้าเอ่ยแย้งอันใดขึ้นมาอีก
หลังจบมื้ออาหารเช้านางเห็นฟางซื่อมีอาการเซื่องซึมเพราะง่วงนอนจึงคิดจะอำลากลับเรือนของตนเอง แต่กลับโดนฟางซื่อรั้งตัวไว้โดยกล่าวว่าอีกไม่นานแขกจากตระกูลเดิมของนางจะมาเยี่ยมเยียนนางอยากให้หลินชิงหรูช่วยนางต้อนรับแขก หลินชิงหรูจึงต้องอยู่ที่เรือนของนางต่อ
ยามสายฟางฮูหยินจึงได้พาบุตรสาวและบุตรชายเข้ามาคารวะฟางซื่อที่เรือน ฟางฮูหยินผู้นี้หลินชิงหรูคนก่อนมักได้พบอยู่บ่อยครั้งเพราะนางต้องอยู่ปรนนิบัติข้างกายของฟางซื่อมาตั้งแต่เด็ก ตระกูลเดิมของฟางฮูหยินคือตระกูลฉินนับว่าเป็นญาติทางตระกูลเดิมของไทเฮาเช่นกัน นามของฟางฮูหยินคือฉินเหม่ยเหยานางมีบุตรสาวและบุตรชายเพียงอย่างละหนึ่งคน แม้ว่าสามีของนางมีตำแหน่งเป็นถึงอัครเสนาบดีแห่งแคว้นฉู่แต่ในเรือนหลังกลับไร้อนุคอยกวนใจ บุตรชายของนางมีนามว่าฟางลู่หลินมีอายุมากกว่าหลินชิงเสียนพี่ชายของหลินชิงหรูเพียงปีเดียว จึงเป็นทั้งญาติผู้พี่และสหายสนิทของหลินชิงเสียน ส่วนบุตรสาวมีนามว่าฟางลู่เหยามีอายุเท่ากับหลินชิงหรูพอดีทั้งสองคนจึงได้คบค้ากันเป็นสหาย ฟางฮูหยินเลี้ยงดูบุตรชายและบุตรสาวของนางเป็นอย่างดีจนทั้งคู่ถูกยกให้เป็นคุณชายและคุณหนูที่โดดเด่นของแคว้นฉู่
ฟางลู่หลินถูกขนานนามว่าคุณชายหน้าหยก ที่ถูกขนานนามเช่นนี้มิใช่เพราะความรูปงามแต่เป็นเพราะบุคลิกอันสูงส่งและเย็นชาของเขาที่ทำให้ผู้คนมิกล้าเข้าใกล้ ตั้งแต่เด็กคุณชายผู้นี้มีชื่อเสียงเรื่องความเก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ ถึงแม้ว่ายามนี้เขาจะยังไม่มีตำแหน่งหน้าที่ในราชสำนัก แต่ฝ่าบาททรงลั่นวาจาเอาไว้แล้วว่าในอนาคตข้างหน้าเขาจะได้สืบทอดตำแหน่งอัครเสนาบดีต่อจากบิดาของเขาอย่างแน่นอน
ส่วนฟางลู่เหยานับเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุด รูปร่างหน้าตาของนางนับว่าเหมือนฉินไทเฮาที่เป็นท่านยายของนางอยู่หลายส่วน ความสามารถในศาสตร์ทั้งสี่ หมาก พิณ อักษรและภาพวาดนางล้วนเชี่ยวชาญ ในงานพระราชพิธีใหญ่ๆ มักมีชื่อคุณหนูใหญ่จวนตระกูลฟางเป็นผู้นำในการแสดงศิลปะทั้งสี่อยู่เสมอ หลินชิงหรูคนเก่าได้พบกับคนทั้งคู่มาตั้งแต่นางยังเป็นเด็กแน่นอนว่าสำหรับฟางลู่หลินนั้นนางไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะนอกจากเขาจะเย็นชาเป็นพิเศษแล้วคนใกล้ชิดและญาติสนิททุกคนล้วนรู้ดีในเรื่องของการรักความสะอาดจนเกินควรของเขา ที่สำคัญเขาไม่ชอบใกล้ชิดสตรีนอกจากบุคคลในครอบครัวและญาติสนิทแล้วหากเห็นว่าเป็นสตรีฟางลู่หลินมักจะหลีกเลี่ยง
ในความทรงจำของหลินชิงหรูคนก่อนสิ่งที่ทำให้นางหวาดกลัวฟางลู่หลินก็คือนางเคยเห็นเขาสั่งโบยสาวใช้ที่ลักลอบเข้าหาเขาจนตายมาแล้ว นางจึงไม่กล้าเข้าใกล้คนผู้นี้เท่าใดนัก ส่วนฟางลู่เหยาความสนิทสนมของพวกนางนับว่าเป็นสหายที่มีความสนิทชิดเชื้ออยู่พอสมควร แต่เส้นบางๆ ที่ขั้นกลางระหว่างความสัมพันธ์พวกนางก็คือความเจียมตัวของหลินชิงหรูในเรื่องที่นางเป็นเพียงบุตรสาวที่เกิดจากอนุ ด้วยกังวลในฐานะของตนเองหลินชิงหรูจึงมักแบ่งช่องว่างระหว่างพวกนางไว้อยู่ขั้นหนึ่งเสมอมา
