บทย่อ
ที่ผู้คนเคยกล่าวกันว่าคำสัญญาของบุรุษยามที่อยู่บนเตียงมักเชื่อถือไม่ได้ หลินชิงหรูขอยืนยันจากประสบการณ์ของตนเองในชาติก่อนเลยว่าเป็นความจริง ในชาติก่อนเพราะความอ่อนแออ่อนไหวและโง่งมของตนเองทำให้นางต้องจบชีวิตลงด้วยความแค้น ส่วนแค้นผู้ใดนั้นแน่นอนว่าย่อมต้องเป็นตนเอง ในเมื่อได้มีโอกาสเกิดใหม่ด้วยความทรงจำเดิม แน่นอนว่าสิ่งแรกที่นางทำก็คือขอสาบานว่าชาติใหม่นี้นางจะไม่ขอเป็นอนุภรรยาแบบในชาติที่แล้วอีกเด็ดขาด
บทที่ 1 เรื่องของอนุภรรยาผู้หนึ่ง
เมิ่งชิงหรูเหม่อมองโลงศพสองโลงที่ตั้งเคียงคู่กันอยู่กลางห้องโถงด้วยสายตาว่างเปล่า ที่จริงแล้วนางอยู่ในฐานะอนุผู้หนึ่งไม่มีสิทธิ์เข้ามาเคารพศพที่ห้องโถงกลางของจวนแห่งนี้ได้ แต่คนที่นอนอยู่ในโลงทั้งคู่ล้วนเป็นบุตรชายและบุตรสาวของนาง เพราะเหตุนี้นางจึงได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษจากฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเหยียน
“เมิ่งอี๋เหนียงฮูหยินผู้เฒ่าอนุญาตให้ท่านอยู่ที่นี่เพียงชั่วครู่เท่านั้น ยามนี้ใกล้ได้เวลาที่ท่านแม่ทัพกับองค์หญิงจะมาที่โถงด้านหน้าแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตข้าว่าท่านรีบออกไปจากที่นี่เสียดีกว่า” ชุนมามาเอ่ยเตือนเมิ่งชิงหรูด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ขอข้าอยู่กับพวกเขาอีกสักนิดเถิด ที่ผ่านมาข้าแทบไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับพวกเขาเลย ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ข้าจะได้อยู่กับพวกเขา ขอมามาได้โปรดเห็นใจข้าด้วยเถิด” เมิ่งชิงหรูเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือหยาดน้ำตาพากันหลั่งลงมาไม่ขาดสาย ชุนมามาเห็นแล้วก็ได้แต่ทอดทอนใจด้วยความสงสารและเวทนา
นางนับว่าได้เห็นเมิ่งชิงหรูมาตั้งแต่เด็กจนนางเติบโตเป็นสาว ไม่เคยคาดคิดว่ายามนี้เมิ่งชิงหรูจะต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เดิมทีเมิ่งชิงหรูคือหลานสาวของสหายสนิทของฮูหยินผู้เฒ่า นางจึงเข้าออกจวนแม่ทัพแห่งนี้มาตั้งแต่เด็ก คิดไม่ถึงว่านางกับเหยียนชิงโม่จะผูกสัมพันธ์กันจนเกิดเป็นความรัก ถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะให้ความเอ็นดูแก่เมิ่งชิงหรูมากเพียงใดแต่หากจะให้แต่งนางเข้ามาเป็นหลานสะใภ้ฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่ยินดี ด้วยฐานะของตระกูลเมิ่งนั้นไม่สามารถช่วยเหลือเกื้อกูลตระกูลเหยียนได้ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่เห็นด้วยกับความรักในครั้งนี้ แต่คนมุทะลุอย่างเหยียนชิงโม่มีหรือจะยอม เขาถึงกับใช้วิธีชิงสุกก่อนห่ามบีบบังคับให้ฮูหยินผู้เฒ่าแต่งเมิ่งชิงหรูเข้าจวนมาจนได้ แต่นางก็แต่งเข้ามาได้ในฐานะอนุภรรยาเพียงเท่านั้น
ในยามนั้นเมิ่งชิงหรูถึงกับถูกจวนตระกูลเมิ่งตัดขาดด้วยความอับอาย ถึงอย่างไรฐานะคุณหนูใหญ่ตระกูลเมิ่งก็ไม่ควรมาเป็นเพียงอนุผู้หนึ่งในจวนแม่ทัพ เมิ่งชิงหรูใช้ชีวิตในจวนอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว จวบจนนางสามารถคลอดบุตรฝาแฝดหงส์คู่มังกรออกมาได้คู่หนึ่งฐานะในจวนของนางจึงได้ดีขึ้น ในยามนั้นเหยียนชิงโม่นับว่าเป็นผู้ลุ่มหลงในความรักมากผู้หนึ่งเขาถึงกับประกาศว่าจะขอมีเพียงเมิ่งชิงหรูเป็นภรรยาเพียงผู้เดียวเขาจะไม่ขอมีภรรยาเอกเพื่อที่เมิ่งชิงหรูจะได้มีฐานะเป็นนายหญิงของจวน
แต่ยามนี้เหยียนชิงโม่กลับแต่งองค์หญิงผู้หนึ่งเข้ามาเป็นภรรยาเอก ฐานะอนุของเมิ่งชิงหรูจึงได้ขวางหูขวางตาของนาง แม้ภายนอกองค์หญิงใหญ่ผู้นี้จะดูอบอุ่นอ่อนโยนแต่แท้จริงแล้วนางมีจิตใจที่โหดร้ายและชอบทารุณผู้คนยิ่งนัก เมื่อคิดถึงความทารุณที่หลายเดือนมานี้เมิ่งชิงหรูได้รับแล้วชุนมามาก็ได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยความสงสาร ถ้าหากการปล่อยให้นางได้นั่งอยู่ตรงนี้ให้นานขึ้นอีกหน่อยแล้วจะช่วยทำให้นางรู้สึกดีขึ้นชุนมามาก็ไม่คิดจะขัดขวาง
“ผู้ใดอนุญาตให้เจ้ามานั่งเสนอหน้าที่นี่ โถงกลางแห่งนี้ไม่ใช่ที่ของเจ้ารีบออกไปเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงดุดันพร้อมเสียงฝีเท้าหนักหน่วงที่ก้าวเข้ามาในห้องโถงทำให้ชุนมามาตกใจจนต้องถอยหลังไปหลายก้าว แต่เมิ่งชิงหรูกลับไม่คิดจะขยับตัวเลยสักนิด จวบจนเจ้าของน้ำเสียงดุดันนั้นเดินตรงมาดึงร่างของนางขึ้น แล้วเหวี่ยงร่างนางจนลอยกระเด็นไปทางหน้าประตูนางจึงค่อยๆ เงยใบหน้าอันบอบช้ำของนางขึ้นไปมองใบหน้าของเขาด้วยสายตาตัดพ้อ
“พวกเขาคือลูกของข้า” เมิ่งชิงหรูเอ่ยด้วยใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา เมื่อครู่แขนของนางกระแทกกับขอบประตูจนมีสะภาพตกห้อยลงมาแต่นางกลับไม่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาเลยสักนิด
“เจ้ายังกล้าบอกว่าพวกเขาเป็นลูกของเจ้าอีกหรือ ที่พวกเขาต้องนอนอยู่ในโลงด้วยสภาพไร้ลมหายใจเช่นนี้มิใช่เป็นเพราะมีมารดาเช่นเจ้าหรอกหรือ ถ้าหากว่าเจ้าคอยดูแลพวกเขาให้ดีมีหรือพวกเขาจะจบชีวิตลงด้วยอายุเพียงเท่านี้” เหยียนชิงโม่เอ่ยด้วยสีหน้าร้าวราน ดวงตามีสีแดงก่ำบ่งบอกถึงอารมณ์อันโศกเศร้าอาดูรของเขาได้เป็นอย่างดี
“เป็นข้าหรือที่ดูแลพวกเขาไม่ดี ท่านไปสอบถามดูสิว่าหลายเดือนมานี้ข้าได้มีโอกาสเข้าใกล้พวกเขาสักครั้งหรือไม่ ยามนี้จวนแห่งนี้มีนายหญิงอย่างถูกต้องสมบูรณ์แล้วข้าในฐานะอนุผู้หนึ่งไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเข้าใกล้บุตรชายและบุตรสาวของตนเองด้วยซ้ำ” เมิ่งชิงหรูเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงร้าวรานเช่นกัน ด้วยธรรมเนียมของแคว้นฉู่ ลูกๆ ของนางไม่เคยได้เรียกนางว่าแม่เลยสักครั้ง นับตั้งแต่ที่พวกเขาเริ่มพูดได้ถ้อยคำที่พวกเขาเรียกนางก็คือคำว่าอี๋เหนียง แม้จะเจ็บปวดใจมากเท่าใดแต่นางก็ทนได้ขอเพียงให้พวกเขาได้มีชีวิตที่ดีและมีอนาคตที่สดใส แต่ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าแค่เพียงไม่กี่เดือนที่เหยียนชิงโม่แต่งองค์หญิงเข้าจวนมา บุตรชายกับบุตรสาวของนางจะต้องนอนร่างกายเย็นเฉียบอยู่ในโลงเช่นนี้
“นี่เจ้าจะวนกลับมาหาเรื่องทะเลาะกับข้าด้วยเรื่องนี้อีกแล้วหรือ ทำไมเวลาล่วงเลยมาถึงยามนี้แล้วเจ้ายังคิดไม่ได้อีก ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนจิตใจคับแคบเช่นนี้” เหยียนชิงโม่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเดือดดาล เสียงฝีเท้าหลายเสียงที่ก้าวเข้ามาในห้องโถงทำให้เมิ่งชิงหรูรู้สึกหดหู่อย่างรุนแรง นางมองฝ่ามือเนียนขาวขององค์หญิงใหญ่จับแขนเหยียนชิงโม่พลางพูดจาปลอบประโลมเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานและอ่อนโยน สายตาของเมิ่งชิงหรูที่มององค์หญิงใหญ่ผู้มีนามว่าฉู่ฮุ่ยจือนั้นล้วนเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างไม่ปิดบังอีกต่อไปแล้ว
“ข้ากลายเป็นคนเช่นนี้ได้อย่างไรเหตุใดท่านจึงไม่คิดบ้างเล่า ก่อนหน้านี้ตอนที่ท่านมอบฐานะอนุภรรยาให้ข้าท่านเคยรับปากอะไรกับข้าไว้ท่านจำได้หรือไม่ ยามนี้ท่านทำดังที่เคยรับปากเอาไว้ไม่ได้ก็ช่างเถิด แต่ท่านเคยคิดทะนุถนอมปกป้องข้าและลูกๆ ของข้าบ้างหรือไม่ พวกเขาสองคนต้องตายจากข้าไป นอกจากท่านจะมาโทษว่าเป็นความผิดของข้าแล้วท่านเคยคิดจะหาสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้พวกเขาต้องจมน้ำแล้วสิ้นใจไปพร้อมกันหรือไม่” เมิ่งชิงหรูเอ่ยเช่นนี้องค์หญิงใหญ่ก็ส่งสายตาดุดันมาให้นางในทันที
“เจ้าคิดจะเอ่ยอันใดก็จงไตร่ตรองให้ดีก่อน ข้าอยู่ในฐานะที่เจ้าจะมากล่าวโทษเช่นนี้ได้หรือ หากข้าเป็นคนโหดร้ายสักหน่อยยามนี้เจ้าถูกโบยตายไปนานแล้ว” องค์หญิงเอ่ยมาเช่นนี้กลับทำให้เมิ่งชิงหรูที่กำลังพยายามยืนด้วยสภาพโอนเอนไร้เรี่ยวแรงส่งหัวเราะเสียงออกมาพลางพยายามยืดกายขึ้นอย่างมั่นคง
นางสบสายตาอันสับสนของเหยียนชิงโม่ด้วยแววตาร้าวราน นางรู้ว่าที่จริงแล้วเขาก็สงสัยองค์หญิงอยู่ไม่น้อยแต่เขากลับเต็มใจจะโยนให้เรื่องราวเลวร้ายนี้ให้ตกมาเป็นความผิดของนางเพื่อลดความรู้สึกผิดในใจของตนเองลง นางก้มลงมองสภาพของตนเองในยามนี้และมองโลงศพสองโลงที่เคียงคู่กันอยู่กลางโถงแล้วก็ต้องทอดถอนใจให้กับชีวิตของตนเอง ดูจากท่าทีของเหยียนชิงโม่แล้วอีกไม่นานนางก็คงต้องตายภายใต้เงื้อมมือขององค์หญิงผู้นี้ตามลูกๆ ของนางไปแน่นอน แต่หากจะให้ยอมตายภายใต้เงื้อมมือผู้นี้มิสู้นางหาทางจบชีวิตของตนเองลงเสียดีกว่า ที่สำคัญคนโลเลและอ่อนแอเช่นเหยียนชิงโม่สมควรได้จะรับความยุ่งยากใจเสียบ้าง
“ท่านพี่ หลายปีมานี้ข้าเสียสละตนเองให้ท่านไปหลายอย่าง ข้ายอมตัดขาดครอบครัวของตนเอง ข้ายอมลดฐานะทางสังคมอันมีเกียรติของตนเอง ข้ายอมเสียสละเวลาอันมีค่าที่ควรจะได้ใช้กับลูกๆ ของข้าเพื่อดูแลจวนให้ท่าน แต่ยามนี้ข้าไม่เหลืออะไรให้ต้องเสียสละแล้ว ทั้งครอบครัว ฐานะทางสังคมและลูกๆ ของข้า” เมิ่งชิงหรูเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาถ้อยคำที่ใช้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคำตัดพ้อต่อว่า ในใจของนางกำลังคำนวณว่ายามนี้แขกที่จะมาร่วมเคารพศพน่าจะมารออยู่ด้านนอกนานแล้ว ถ้าหากยามนี้พวกเขาต้องหามศพของนางออกไปก็ไม่มีทางอื่นนอกจากทางประตูของโถงด้านหน้าที่มีแขกเหรื่อยืนรออยู่
“เมิ่งชิงหรูเจ้าคิดจะทำอันใด” น้ำเสียงดุดันของเหยียนชิงโม่ทำให้เมิ่งชิงหรูอดยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยันไม่ได้ ที่แท้สมองของสามีของนางก็ยังใช้ได้ดีอยู่เพียงแต่ความเห็นแก่ตัวของเขานั้นมีมากกว่า นางหันไปเพ่งมองเสาที่อยู่ใกล้ตัวทางด้านขวาเห็นเหยียนชิงโม่ส่งสัญญาณให้ทุกคนเตรียมพร้อมนางก็ลอบยิ้มเย็นอยู่ในใจแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันดังก้องห้องโถงอย่างจงใจให้คนที่ยืนอยู่ด้านนอกได้ยิน
“ข้าขอสละชีวิตที่เหลือนี้ให้ท่านอีกครั้ง ท่านจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับองค์หญิงได้อย่างสงบสุข ไม่ต้องมีข้าและลูกอยู่ขวางทางท่านอีกต่อไป” เอ่ยจบเมิ่งชิงหรูก็วิ่งเอาศีรษะของตนเองกระแทกเสาที่อยู่ไกลออกไปทางด้านซ้ายอย่างเต็มที่ ได้ยินเสียงเรียกชื่อนางด้วยความตกใจของเหยียนชิงโม่ดังเข้ามาในโสตประสาทแล้วสติของนางก็หลุดลอยไปไม่รับรู้อันใดอีกต่อไปแล้ว

