ตอนที่ 2
ตอนที่ 2
แสงอาทิตย์ที่ลอดเข้ามาในห้องนอนทำให้ธันว์ลืมตาตื่นขึ้นช้าๆ เมื่อบิดตัวเล็กน้อยก็ต้องร้องครางเบาๆ เพราะรู้สึกถึงความเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย ชายหนุ่มทบทวนความจำที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ดวงตาคู่หวานของใครคนหนึ่งชัดเจนขึ้นมาในความคิด ท่าทางเชยๆ และดูเหมือนแม่ชีคนนั้น
“ตื่นแล้วเหรอครับ” เสียงแมกซิมทำให้เขาได้สติ ชายหนุ่มหันมามองพร้อมทั้งพยักหน้าตอบรับ
“คุณหลับไปนานเลยทีเดียวเกือบจะสิบชั่วโมงเห็นจะได้ ตอนนี้คุณอยู่ที่โรงพยาบาล ผมกับโรบินพาคุณมาในขณะที่คุณหลับ และจากการตรวจร่างกายพบว่าอวัยวะภายในของคุณไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง มีแต่บาดแผลและอาการฟกช้ำภายนอกเท่านั้น ส่วนใบหน้าของคุณ คุณหมอรับรองแล้วว่ามันจะไม่มีรอยแผลเป็น และข่าวดีก็คืออีกไม่กี่ชั่วโมงเราคงจะออกจากโรงพยาบาลและพาคุณกลับไปพักฟื้นต่อที่ไนต์คลับได้”
“แล้วมีใครรู้เรื่องนี้บ้าง” ธันว์ถามเสียงเรียบ ใจจริงไม่อยากได้คำตอบว่าไปจริงๆ แล้วอยากถามเรื่องของคนที่ช่วยตนมากกว่า ชายหนุ่มขยับตัวเล็กน้อยแต่ก็ต้องหยุดเพราะเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วร่างกาย
“ผมรายงานให้พี่ชายของคุณที่เมืองไทยทราบแล้ว เขาเป็นห่วงคุณมากและกำลังจะเดินทางมาที่นี่ครับ คิดว่าตอนนี้น่าจะขึ้นเครื่องออกมาแล้ว ดูเหมือนว่าพี่ชายของคุณจะแจ้งเรื่องนี้ให้คุณพ่อและคุณแม่รวมทั้งคุณย่าของคุณทราบด้วยเช่นกัน” แมกซิมรายงาน
ธันว์นิ่วหน้าเล็กน้อยแค่ลำพังต้องมานั่งๆ นอนๆ เพื่อรักษาตัวนี่ว่าแย่แล้ว ยิ่งมารู้ว่าทั้งพ่อแม่และพี่ชายจะมาเยี่ยมด้วยยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ สำหรับย่า แม่ และพี่ชายไม่มีปัญหาหรอก แต่กับพ่อกลัวว่าจะต้องมานั่งเถียงกันไปเถียงกันมาทั้งวันจนไม่ได้พักมากกว่า
“ตฤณจะมาที่นี่อย่างนั้นเหรอ”
“ครับ เขาบอกแบบนั้น” แมกซิมตอบ
“แล้วคุณพ่อจะมาด้วย รู้ไหมว่านั่นหมายถึงอะไร เขาจะมาเยาะเย้ย และจะบอกว่าสิ่งที่เขาพูดและคิดเป็นจริงทุกอย่าง” ชายหนุ่มพูดออกมาอย่างขัดใจ
ยังจำคำพูดเหล่านั้นได้ดีตอนที่ตัดสินใจทำธุรกิจกลางคืน บิดาโกรธต่อว่าซ้ำยังตัดพ่อตัดลูกตอนที่เขายืนยันว่าจะทำในสิ่งที่ตัวเองคิด และไม่มีทางทำในสิ่งที่พ่อชี้ทางให้
“เขาตัดขาดผมแล้ว ตัดขาดมาตั้งสองปีแล้วด้วยซ้ำ”
“ท่านเป็นห่วงคุณนะครับ เท่าที่ได้ยินน้ำเสียงของท่านบอกความรู้สึกได้เป็นอย่างดี อีกอย่างตอนนี้คุณตั้งใจทำงานและกำลังสร้างตัว ท่านน่าจะพอใจ” แมกซิมบอกในสิ่งที่เขาสามารถรู้สึกได้จากการคุย
“ช่างมันเถอะ แล้วคนที่ช่วยผมไว้ล่ะ” ธันว์ตัดบทเปลี่ยนเรื่องทันที เพราะรู้ดีว่าพ่อของตนไม่คิดอย่างแมกซิมอย่างแน่นอน
“ตอนนี้หนูพลับพลึงคงไปเรียน”
“เมื่อวานเธอกลับบ้านอย่างไร”
“ผมไปส่งเอง เธอเป็นคนดีมากไม่ต้องการอะไรตอบแทนเลย ไม่ว่าผมจะหาอะไรให้ก็ปฏิเสธทุกอย่าง” แมกซิมพูดอย่างชื่นชม คนเจ็บพยักหน้ารับทราบ ในใจรู้สึกดีที่ได้รับรู้แบบนี้
“ว่าแต่คุณพอจะจำหน้าคนที่ทำร้ายได้หรือเปล่า” แมกซิมถามเรื่องสำคัญ
“ตอนนั้นมันมืดเลยมองเห็นหน้าพวกมันไม่ชัดดูเหมือนว่าไฟจะเสีย พวกมันตัวสูงใหญ่พอๆ กับผม มีคนหนึ่งผอมแกร็นอีกคนกำยำ” ธันว์บอกด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด
“ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่ได้ต้องการปล้นคุณ แต่มีเจตนาที่จะทำร้ายอย่างชัดเจน” แมกซิมวิเคราะห์
“ผมมีเรื่องกับลูกค้าที่เข้ามาเมาในร้านแล้วก็อาละวาดแทบจะทุกวัน บางคนโกงเงินพนัน ดังนั้นมันคงต้องมีคนที่อยากจะเอาคืนผมบ้าง”
“ตอนนี้คุณต้องระวังตัวมากขึ้น ถ้าให้เดาน่าจะเป็นคนที่คุณเพิ่งมีเรื่องด้วย” เพราะเมื่อหลายวันก่อนเจ้านายเขามีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกับลูกค้าที่บาร์เหล้า
“ช่างเถอะ พวกมันโดนยิงน่าจะอาการหนักกว่าผม” ธันว์สรุปอย่างไม่ใส่ใจหันหลังนอนเป็นเชิงตัดบท แมกซิมถอยร่นออกไปอย่างเข้าใจ
อนวัชและอรอินทร์มองลูกชายนิ่ง ถึงแม้จะไม่พูดอะไรแต่แววตาบ่งบอกถึงความเป็นห่วงอยู่เต็มเปี่ยม ขณะที่ตฤณมองน้องชายที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงด้วยท่าทางที่ดูสบายใจกว่าตอนที่ได้รับโทรศัพท์ว่าน้องชายที่ถูกทำร้าย
“หลับไปนานหรือยัง” ตฤณหันมาถามแมกซิมเป็นภาษาฝรั่งเศสด้วยท่าทางที่ดูเป็นกันเอง เขารู้จักแมกซิมเป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งเพราะธันว์และอีกส่วนหนึ่งเพราะแมกซิมเป็นคนที่คุณย่าอุปการะไว้ตั้งแต่เด็ก
“ก่อนพวกคุณมาถึงประมาณสิบห้านาทีครับ” แมกซิมรายงานด้วยท่าทางสุภาพเหมือนอย่างเคย
“โดนดักทำร้ายแบบนี้แปลว่ามันต้องไปขัดขาใครแน่ ฉันรู้จักมันดี มันเป็นพวกอันธพาลมีเรื่องไปทั่ว มันดื้อและอยากเอาชนะ มันคงไปทำอะไรให้ใครเขาขัดใจ คนอย่างมันเจอแบบนี้บ้างก็ดี มันจะได้หายอวดดี ฉันเคยบอกแล้วว่าธุรกิจของมันเป็นธุรกิจสีเทา พวกที่เข้ามาใช้บริการก็พวกกุ๊ยทั้งนั้น” ผู้เป็นพ่อพูดออกมาอย่างประชดประชัน ทั้งๆ ที่ในใจนั้นห่วงลูกชายมาก
“ทำไมพูดแบบนี้คะคุณ” อรอินทร์ดุสามีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ถึงแม้เธอจะรู้ดีว่าสามีห่วงลูกชายคนเล็กมากแค่ไหนก็ตาม แต่ปากของเขาไม่เคยตรงกับใจเลยสักครั้ง ตฤณมองพ่อแม่แล้วยิ้ม เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่คุ้นชินมานานแล้ว พ่อปากแข็ง น้องขายก็หัวแข็ง คนดื้อสองคนมาอยู่ด้วยกันเรื่องมันเลยไม่ง่าย เพราะถ้าพ่อพูดอย่างน้องชายของเขาจะทำอีกอย่าง ทั้งคู่มักจะทำอะไรสวนทางกับความรู้สึกของตัวเองที่มีให้กันมาตลอด
“ตอนแรกผมคิดว่าธันว์จะอาการน่าเป็นห่วงกว่านี้ พอมาเห็นแบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย แบบนี้เวลาโทรศัพท์ไปรายงานคุณย่าจะได้สบายใจขึ้น” ตฤณหันมาบอกกับแมกซิมด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย แมกซิมยิ้มพอจะเข้าใจสถานการณ์ของครอบครัวนี้เป็นอย่างดี
“จะว่าไปถ้ามีคนมาช่วยช้ากว่านี้ก็ไม่แน่ครับ”
“จริงสิ ผมว่าจะไปขอบคุณคนที่ช่วยธันว์ไว้” ตฤณพูดอย่างกระตือรือร้น
“ถ้าคุณพบเธอคุ ณจะชอบครับ เธอน่ารักน่าเอ็นดู” แมกซิมบอก
“คนที่ช่วยหมอนี่เป็นผู้หญิงเหรอ” ตฤณถามอย่างตื่นเต้น
“ครับ เป็นคนไทยด้วย” แมกซิมพยักหน้ารับ
“จริงเหรอนี่ ตฤณ...แม่ว่าเราทั้งหมดควรไปขอบคุณเธอพร้อมๆ กันนะ” อรอินทร์เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว
“คุณช่วยเล่ารายละเอียดต่างๆ ของคนที่ช่วยเจ้าตัวร้ายที่นอนอยู่บนเตียงให้ผมฟังหน่อยได้ไหม” ตฤณหันมาหาแมกซิม เลขาฯ หนุ่มยิ้มแล้วค่อยๆ เล่าให้ฟัง
วิรงรองมองช่อดอกไม้ขนาดใหญ่ที่มีคนนำมาให้ที่มหาวิทยาลัย ในขณะที่เพื่อนหลายๆ คนที่กำลังทำงานต่างมองมาอย่างสนใจใคร่รู้
“วิ ใครส่งดอกไม้มาให้ ดูสิสวยเชียว” เพื่อนร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างสนใจ วิรงรองส่ายหน้างงๆ
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“มีการ์ดด้วยนะ ลองอ่านดูสิจะได้รู้ว่าเจ้าของช่อดอกไม้แสนสวยนี่คือใคร” หญิงสาวอีกคนบอกอย่างตื่นเต้น วิรงรองยิ้มแต่ก็ทำตามโดยดี
”ขอบคุณที่ช่วยเหลือน้องชายของผมให้รอดพ้นจากเรื่องร้ายๆ ค่ำนี้ผมจะมารับคุณไปกินอาหารค่ำร่วมกับครอบครัวของเรา และหวังว่าจะมีโอกาสขอบคุณคุณอีกครั้งด้วยตัวผมเอง ตฤณ” วิรงรองอ่านข้อความที่เขียนด้วยภาษาไทยเบาๆ สักพักเสียงร้องของบรรดาคนที่ทำงานร่วมกับเธอในครัวต่างก็โวยวายเมื่อฟังสิ่งที่วิรงรองพูดออกมาเมื่อสักครู่ไม่รู้เรื่อง
“วิ เอาภาษาฝรั่งเศสหรืออังกฤษสิ อย่าพูดภาษาที่ตัวเองรู้อยู่คนเดียว” เพื่อนคนหนึ่งพูดออกมาอย่างขัดใจ วิรงรองยิ้มให้เพื่อนของเธอเล็กน้อย
“เขาแค่ส่งมาขอบคุณก็เท่านั้นจ้ะ เมื่อคืนฉันบังเอิญไปช่วยคนคนหนึ่งไว้ ทางบ้านเขาเลยส่งดอกไม้มาขอบใจก็เท่านั้น” หญิงสาวบอกพร้อมรอยยิ้ม
สามคนพ่อแม่ลูกมองหญิงสาวที่แต่งตัวสไตล์โบฮีเมียนเดินมาหาด้วยความแปลกใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ สูงยังไม่ถึงไหล่ของธันว์คนนี้จะเป็นคนเดียวกับที่แมกซิมบอก ท่าทางของเธอดูเรียบร้อยเสียจนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าจะสามารถยิงปืนได้
“สวัสดีค่ะ โต๊ะนี้ใช่ของครอบครัววิสุทธิ์สุนทรใช่ไหมคะ” วิรงรองเอ่ย ตฤณลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้ม
“ผมตฤณครับ และนี่พ่อกับแม่ของผม คุณอนวัชและคุณอรอินทร์” ตฤณแนะนำตัวเป็นภาษาไทยอย่างชัดเจน วิรงรองยิ้มตอบพร้อมทั้งยกมือไหว้ทุกคน
“ดิฉัน วิรงรอง อินทรเทพค่ะ” หญิงสาวแนะนำตัวกลับไปเช่นกัน
“ทำไมทุกคนมองฉันแบบนั้นคะ” วิรงรองนั่งลงแล้วถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นสายตาทุกคน
“ผมแค่แปลกใจและคิดไม่ถึงว่า ผู้หญิงท่าทางเรียบร้อยอย่างคุณจะยิงปืนเป็นด้วย” ตฤณเอ่ยตามตรง
“ใช่จ้ะ ท่าทางหนูเรียบร้อยไม่น่าจะทำอะไรเสี่ยงแบบนี้” อรอินทร์พูดอย่างชื่นชม ใครจะคิดว่าผู้หญิงตัวแค่นี้จะเป็นคนช่วยลูกชายตัวใหญ่ของเธอเอาไว้ได้
“หนูก็ไม่คิดว่าตัวเองจะได้ใช้ปืนหรอกค่ะ เรียนไว้เพื่อใช้ในยามฉุกเฉินเท่านั้น” วิรงรองบอกตามตรง
“มันก็ต้องแบบนี้แหละ เป็นผู้หญิงมันต้องมีเขี้ยวเล็บบ้าง ขอบคุณหนูมากนะที่ช่วยเจ้านั่นไว้ ความจริงหนูน่าจะปล่อยให้มันโดนซ้อมให้หนักกว่านี้ก่อนค่อยเข้าไปช่วย” อนวัชประชดลูกชายในที
“อย่าสนใจสิ่งที่สามีฉันพูดเลยนะหนูวิรงรอง สองพ่อลูกก็แบบนี้แหละ เสือกับสิงห์ เอาเป็นว่า...ขอบใจหนูมากนะที่ช่วยลูกชายของฉัน รู้ไหมฉันดีใจมากที่รู้ว่าหนูเป็นคนช่วยธันว์”
“หนูก็แค่ทำในสิ่งที่คิดว่าถูกค่ะ คงไม่มีใครทนเห็นคนถูกรุมทำร้ายต่อหน้าได้โดยที่ไม่ยอมช่วย” วิรงรองเอ่ยอย่างสุภาพ
“แล้วหนูอยู่ที่นี่คนเดียวหรือ” อนวัชถามขึ้นมาบ้าง
“ค่ะ” วิรงรองพยักหน้า
“คุณพ่อคุณแม่ของหนูล่ะจ๊ะ” อรอินทร์ถามด้วยท่าทางสนใจ หญิงสาวนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า
“คุณพ่อคุณแม่อยู่ที่ไทยค่ะ”
“พ่อแม่หนูทำงานอะไรเหรอ” อนวัชถามอย่างตื่นเต้น
“คุณพ่อกับคุณแม่มีโรงแรมที่ไทย ส่วนน้องชายเรียนต่อปริญญาโทอยู่ที่อเมริกา” วิรงรองนั่งคุยกับครอบครัววิสุทธิ์สุนทรสักพัก ก่อนที่พวกเขาจะมาส่งเธอที่หน้าบ้านหลังจากนั้น
ตฤณทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาด้วยท่าทางผ่อนคลาย การรับประทานอาหารค่ำในวันนี้เป็นไปอย่างเรียบร้อยและดูเหมือนว่าทุกคนจะชื่นชอบวิรงรองเป็นอย่างมาก เธอทั้งอ่อนหวานและเรียบร้อย
“ผมว่าเธอดูน่ารักนะครับ” ตฤณเอ่ย อนวัชและอรอินทร์มองหน้าลูกชายคนโตพร้อมทั้งพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับสิ่งที่พูดเมื่อสักครู่
“ใช่ แม่ถูกชะตากับแม่หนูวิรงรองตั้งแต่เห็นเดินเข้ามาแล้ว ท่าทางเรียบร้อยและอ่อนหวาน หน้าตาก็น่าเอ็นดูไม่เหมือนพวกสาวๆ สมัยนี้บางคนแก่แดดจนแม่ลมจับ” อรอินทร์ชื่นชมถึงแม้จะเพิ่งพบกับวิรงรองเพียงแค่ครั้งแรก แต่ความรู้สึกลึกๆ เชื่อมั่นว่าหญิงสาวเป็นคนดี
“เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ น่าสนใจนะ” อนวัชเอ่ย
“พ่ออยากได้เป็นสะใภ้ไหมครับ น่าจะเหมาะกับน้อง” ตฤณเอ่ยแซวบิดาหน้าเป็น คนฟังนิ่งไปสักพักก็เบ้ปาก
“น้องชายแกไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้ผู้หญิงดีๆ แบบนั้นมาเป็นคู่หรอก เธอทั้งเรียบร้อยทั้งอ่อนหวานมารยาทก็ดีหน้าตาก็น่าเอ็นดู แต่น้องชายแกไม่มีอะไรดีสักอย่าง ถึงหน้าตามันจะดีมากแต่เท่าที่รู้มันบ้าผู้หญิง! เปลี่ยนคู่นอนแทบไม่ซ้ำหน้า ทำงานกลางคืน นิสัยก็กระด้าง ปากก็เสีย ผู้หญิงดีๆ ที่ไหนเขาจะไปเอามัน แถมการงานก็ไม่มั่นคง ไอ้ไนต์คลับกระจอกๆ ของมันจะล้มจะเหลวเมื่อไหร่ก็ไม่รู้” อนวัชพูดออกมาอย่างโมโหเมื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้
ความจริงเขาเตรียมทุกอย่างไว้ให้ลูกชายคนเล็กแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงานหรือพื้นฐานการใช้ชีวิต แต่ธันว์ไม่ทำตามเลยสักอย่าง อยากให้เรียนด้านบริหารแต่ดันเลือกเรียนศิลปะ
เขาอยากจะให้ช่วยดูแลกิจการทางบ้าน หมอนั่นกลับเลือกที่จะสร้างทุกอย่างด้วยตัวเอง พร้อมทั้งให้เหตุผลว่ากิจการของทางบ้านตฤณสามารถดูแลได้เป็นอย่างดีแล้ว
ที่ร้ายแรงที่สุดก็เมื่ออนวัชประกาศตัดขาดลูกชายคนเล็กเพราะโมโหและเจ็บใจที่ธันว์อวดดีแต่ก็ไม่ได้จริงจัง เขาตัดขาดแค่เรื่องค่าใช้จ่ายแต่ก็แอบสืบข่าวอยู่ตลอด
“ให้มันได้แบบนี้สิ”
อรอินทร์มองสามีอย่างระอา ทุกครั้งที่พูดถึงลูกชายคนเล็ก สามีของเธอก็มักจะเป็นแบบนี้ ขี้หงุดหงิด ปากร้าย จะว่าไปมันก็กลายเป็นเรื่องปกติของครอบครัวไปแล้ว เพราะไม่ใช่แค่อนวัชที่เป็นแบบนี้ธันว์เองก็เป็น เธอกับตฤณต้องคอยห้ามศึกระหว่างสองพ่อลูกเสมอ
“เอาเถอะครับ ผมแค่พูดเล่นพ่อไม่น่าจะคิดมาก คุณวิไม่ใช่แนวของธันว์หรอก น้องไม่ชอบผู้หญิงเรียบร้อย ส่วนเรื่องงานธันว์เปลี่ยนไปมากขยันและตั้งใจทำงานมากขึ้น ส่วนหนึ่งผมว่าน่าจะมาจากพ่อด้วย คำพูดของพ่อผลักดันเขา ขนาดทางบ้านไม่ได้ช่วยอะไรยังสามารถเปิดร้านเล็กๆ ใจกลางปารีสได้นี่ถือว่าเก่งนะครับ น้อยคนที่จะทำแบบนั้นได้ ทำเลที่ตั้งหาได้เก่งมาก แถมซื้อมาได้ในราคาที่ไม่แพง”
“ฉันว่าไม่ได้เลยนะ ปกป้องเข้าไปเถอะ ขอบอกไว้เลยนะ ฉันประกาศตัดขาดมันไปแล้ว ดังนั้นจะไม่ช่วยอะไรทั้งนั้นโดยเฉพาะเรื่องเงิน ถ้ามันไม่อยากรับช่วงต่อธุรกิจที่ฉันวางไว้ให้ มันก็ต้องสร้างทุกอย่างขึ้นมาเอง ที่ฉันยอมมานี่เพราะมาเป็นเพื่อนแม่แกหรอกนะ” อนวัชประกาศกร้าว
“ขนาดคุณไม่ให้เงินลูกยังหาทางสร้างตัวได้ ถึงนี่จะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นก็ตาม ต่อให้คุณพูดยังไงก็เถอะ จริงๆ แล้วก็เป็นห่วงลูกมากเหมือนกันนั่นแหละ” อรอินทร์ดักทางสามีถูก
“ผมเป็นพ่อมันนะคุณ สิ่งที่ผมเตรียมไว้ให้มันไม่เห็นค่า แล้วแบบนี้จะไม่ให้โกรธได้ไง” อนวัชบ่นต่อ
“ผมว่าน้องเหมือนพ่อนะครับ” ตฤณเปรยเบาๆ
“แกอย่ามาพูดบ้าๆ มันจะไปเหมือนฉันได้อย่างไร” บิดาหันมามองหน้าคนรู้ทัน
“ความมุ่งมั่นเหมือนพ่อไงครับ ลองตั้งใจจะทำอะไรแล้วจะพุ่งเข้าไปทำทันที ถึงนี่จะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเล็กๆ แต่เท่าที่รู้มาไนต์คลับทำกำไรมากพอสมควรเลย ผมว่าต่อไปมันจะไม่ใช่เล็กๆ แบบนี้หรอก ธันว์ต้องทำมันได้ดีกว่านี้แน่นอน” ตฤณเชื่อมั่นในฝีมือ ถึงธันว์จะเคยเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ แต่ตั้งแต่ที่ตัดสินใจออกจากบ้าน น้องชายของเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
“รอให้ถึงวันนั้นก่อนก็แล้วกัน ฉันจะคอยดูว่ามันจะทำได้แค่ไหน” อนวัชสรุปในที่สุด
