
บทย่อ
7 ปีแห่งการรอคอย กับคำว่าทั้งรักทั้งแค้นของเขาและเธอ “ขอบคุณสำหรับสิ่งที่คุณชดใช้ให้ ถึงมันจะเทียบกับเจ็ดปีที่ผมเสียไปไม่ได้ แต่ผมก็พอใจมากที่เป็นแบบนั้น ผมทำตามที่ผมตั้งใจไว้ได้ ผมบอกว่าจะทำทุกอย่างเพื่อพาคุณขึ้นเตียงและจะทิ้งคุณอย่างไม่ไยดี คุณเองก็ให้ความร่วมมือกับผมเป็นอย่างดี ตอนนี้ถึงเวลาที่ผมจะต้องทิ้งคุณจริงๆ แล้วพลับพลึง” ธันว์ยังคงพูดต่อ วิรงรองนั่งฟังไม่ได้โต้ตอบอะไร “ต่อไปนี้คุณจะต้องรู้สึกแบบเดียวกับผม คุณจะต้องเจ็บปวดเพราะหัวใจที่แหลกสลาย คุณจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คุณจะหนีผมไปไหนอีกไม่ได้เพราะเราจะเป็นญาติกัน คุณจะต้องเห็นผมอยู่กับผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง ถึงเวลาที่คุณต้องทรมานแล้วพลับพลึง”
บทนำ
บทนำ
ธันว์
นี่เป็นจดหมายฉบับแรกและมันคงจะเป็นฉบับสุดท้ายที่ฉันเขียนถึงคุณ การตัดสินใจของฉันมันอาจทำให้คุณเจ็บปวด แต่มันคือสิ่งดีที่สุดสำหรับเราทั้งคู่
บางครั้งชีวิตคนเราก็ไม่สมหวังไปเสียทุกอย่าง เมื่อถึงทางแยกของชีวิตเราย่อมเลือกทางที่ดีที่สุดเสมอ โปรดเคารพในการตัดสินใจนี้ ลืมฉันเสียเถอะค่ะ ลืมว่ามีผู้หญิงชื่อวิรงรองอยู่บนโลก ลืมพลับพลึงของคุณเสียตั้งแต่บัดนี้ โปรดอย่าติดตาม โปรดอย่าถามเหตุผลว่าทำไม
ฉันขอให้คุณประสบความสำเร็จในชีวิตทุกอย่างตามที่หวังไว้ เชื่อว่าคุณทำมันได้อย่างแน่นอน
หลังจากที่คุณอ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว ฉันขอให้ความสัมพันธ์ของเราสองคนจบลง พร้อมกับตัวหนังสือตัวสุดท้ายของจดหมาย ขอให้คุณปล่อยให้มันหายไปกับสายลมนะคะ
ลาก่อน
วิรงรอง (พลับพลึง)
ดวงตาคมสีนิลมองตัวอักษรทุกตัวบนกระดาษ แม้สภาพจะเก่าไปตามกาลเวลาก็ตามแต่ก็ยังคงอ่านทุกวัน เจ็ดปีแล้วที่ไม่ได้เห็นหน้าคนเขียน ที่ต้องอยู่อย่างไร้หัวใจและเจ็บปวดเป็นที่สุด เจ็ดปีที่ถูกทิ้งไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแม้แต่น้อย
“พลับพลึง ผู้หญิงใจร้าย” เขาอยากจะขยำจดหมายทิ้งแต่ก็ทำไม่ได้ แม้ข้อความเหล่านั้นคือสิ่งย้ำเตือนความอยุติธรรมในชีวิตมาถึงเจ็ดปีเต็มก็ตาม
สิบปีก่อนหน้านี้
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมเข้มหยุดเดิน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินตามมาข้างหลัง เขารู้สึกว่ากำลังถูกติดตามจึงลองเปลี่ยนจังหวะการเดินให้เร็วขึ้น และก็พบว่าเสียงฝีเท้าด้านหลังนั้นเปลี่ยนตามด้วยเช่นกัน
มีอะไรบางอย่างผิดปกติและมันไม่น่าจะใช่เรื่องดี คนที่กำลังเดินตามอาจจะเป็นลูกน้องของคู่แข่งทางธุรกิจ แต่จะว่าไปเขาก็ไม่เคยหากินทับเส้นใคร หรือไม่ก็อาจเป็นพวกอันธพาลที่เพิ่งไปก่อความวุ่นวายในไนต์คลับเมื่อคืนนี้
“บ้าเอ๊ย ใครตามมาวะ” ชายหนุ่มลูกครึ่งหน้าคมสบถเบาๆ ด้วยความขัดใจ อยากจะหันไปดูให้เห็นกับตาว่าใคร แต่เพื่อความปลอดภัยควรจะต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อไม่ให้พวกมันเข้ามาถึงตัว
แต่ก่อนที่จะเลี้ยวตรงสุดปลายทาง ชายร่างใหญ่สองคนที่อยู่ด้านหลังก็ปราดเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าชายหนุ่มหมุนตัวกลับด้วยความว่องไวตามสัญชาตญาณเตรียมตัวสู้เต็มที่
แล้วเขาก็ปล่อยหมัดเข้าไปที่หน้าของชายคนหนึ่ง จากนั้นก็ก้มตัวลงต่ำเพื่อหลบหมัดของอีกคน ธันว์ทำท่าจะพุ่งเข้าไปหาคนที่กำลังจะเข้ามา แต่จู่ๆ ก็มีของแข็งฟาดอย่างแรงลงมาที่หลัง ทำให้เขาทรุดตัวลงด้วยความเจ็บปวดอย่างรวดเร็ว
“จัดการเร็ว” เสียงใครคนหนึ่งตะโกน
ศีรษะของธันว์ถูกกระชากไปข้างหลังอย่างแรง เขาพยายามดิ้นเพื่อเอาตัวรอด เหวี่ยงหมัดออกไปโดนใบหน้าของใครบางคน แล้วคนที่กระชากศีรษะของเขาก็เปลี่ยนมาล็อกแขนไว้แทนเพื่อกันการต่อสู้ขัดขืน
มีดสั้นปลายแหลมถูกยกขึ้นมากรีดลงที่ข้างหูด้านซ้าย ธันว์ร้องด้วยความเจ็บปวด เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาทันที ตอนนี้หูทั้งสองข้างของเขาอื้ออึงไปหมด ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ได้แต่หวังว่าจะมีปาฏิหาริย์กับเขาในตอนนี้
วิรงรองเก็บหนังสือเข้ากระเป๋าหนังสะพายข้าง หลังจากเดินอ่านมันมาตลอดทาง หญิงสาวเดินผ่านหน้าร้านอาหารเล็กๆ ซึ่งมันเป็นร้านประจำของเธอ หยุดมองเพียงชั่วครู่และเดินตรงไปยังเส้นทางที่ใช้กลับที่พัก
แต่เมื่อเดินผ่านตรอกเล็กที่อยู่ข้างบาร์เหล้าก็ต้องหยุดเมื่อได้ยินเสียงผิดปกติ ฟังดูเหมือนมีคนกำลังร้องอย่างเจ็บปวด แต่ข้างในตรอกมืดจนเกินไป ทำให้ยากที่จะมองเห็นชัดเจน
ความอยากรู้อยากเห็นทำให้วิรงรองตัดสินใจเสี่ยงเดินเข้าไปในตรอกนั้นอย่างระมัดระวัง เสียงสบถด่าหยาบคายดังขึ้นหลายๆ ครั้งทำให้รู้สึกขัดใจอย่างที่สุด ตั้งแต่เกิดมาจนโตป่านนี้เธอยังไม่เคยได้ยินคำด่าอะไรที่ช่างน่ารังเกียจแบบนี้มาก่อน
วิรงรองเห็นว่ามีคนกำลังต่อสู้กัน มีคนถูกรุมทำร้ายอย่างป่าเถื่อน ร่างที่นอนกองกับพื้นอยู่ในสภาพที่น่าสงสาร มือบางล้วงเข้าไปในกระเป๋าพร้อมทั้งกำของบางอย่างที่นอกเหนือจากหนังสือแน่น หัวใจเริ่มเต้นแรงใบหน้าหวานเริ่มมีเหงื่อออกเพราะตื่นเต้นและกลัวในเวลาเดียวกัน
แสงสะท้อนของปลายมีดและเสียงร้องอย่างเจ็บปวดทำให้เธอตัดสินใจอย่างไม่ลังเล หญิงสาวล้วงปืนพกขนาดเล็กในกระเป๋าของตัวเองออกมา ปืนกระบอกนี้เป็นสิ่งที่บิดาและน้องชายบังคับให้พกไว้กับตัว ผู้หญิงคนเดียวมาเรียนและใช้ชีวิตในเมืองมหานครตามลำพัง ทุกคนลงความเห็นว่าจำเป็นต้องหาอุปกรณ์เพื่อใช้ในการป้องกันตัว
พ่อเป็นคนแนะนำและพาไปเลือกซื้อปืนด้วยตัวเอง เมื่อเธอตัดสินใจเข้ามาเรียนต่อในปารีส แทนที่จะเรียนต่อที่เมืองนีส (Nice) หรือพรอว็องซ์เมืองทางตอนใต้ของฝรั่งเศสที่วุ่นวายน้อยกว่า
นอกจากนี้เพื่อความไม่ประมาทแล้วยังให้เธอฝึกยิงปืนโดยบอกเหตุผลว่า ผู้หญิงคนเดียวอยู่ในเมืองใหญ่อันตรายต้องมีเขี้ยวเล็บติดตัวบ้าง
“หยุดเดี๋ยวนี้!” วิรงรองตะโกนเสียงดังลั่น
เสียงของเธอทำให้พวกมันคนหนึ่งหันมามองเพียงชั่วครู่เท่านั้น ก่อนที่จะเมินหน้าหนีอย่างไม่สนใจ
หญิงสาวรวบรวมสติเล็งกระบอกปืนไปยังพวกมันคนหนึ่ง ไม่คิดว่าจะฆ่าใครแต่คิดว่าเสียงปืนคงทำให้พวกมันกลัวและเลิกทำร้ายคนที่กำลังบาดเจ็บได้ วินาทีนั้นวิรงรองตัดสินใจลั่นกระสุนออกไปพร้อมกับหลับตาเพราะไม่กล้าดู
วิรงรองลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ได้ยินเสียงร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวดของผู้ชายร่างยักษ์คนหนึ่ง ให้ตายสิ เธอยิงโดนและน่าจะเป็นที่แขน หญิงสาวตัดสินใจยิงปืนอีกครั้งเมื่อเห็นว่ามีคนกำลังพุ่งเข้ามาหา เธอจำเป็นต้องลั่นไกเพื่อป้องกันตัว และมันได้ผลเมื่อผู้ชายที่กำลังตรงมาหาทรุดตัวลง
“ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะยิงอีกครั้ง และครั้งนี้รับรองว่ามันตรงจุดสำคัญแน่นอน” หญิงสาวขู่อย่างกล้าๆ กลัวๆ
พวกมันมองหน้าอย่างชั่งใจ และเมื่อเห็นว่าวิรงรองกำลังขยับปืนและเล็งตรงมาอีกครั้งก็ตัดสินใจหนี พวกมันสองคนวิ่งหายไปอย่างลึกลับในความมืดราวกับว่าไม่มีตัวตน
วิรงรองถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นรีบตั้งสติเดินไปหาคนที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือดที่เปื้อนเสื้อผ้าซึ่งสวมใส่อยู่ กลัวว่าเขาอาจจะเสียชีวิตไปแล้ว หญิงสาวขยับแว่นของตัวเองเล็กน้อยจึงได้เห็นว่ายังคงมีลมหายใจอยู่
“คุณ คุณคะ คุณ” วิรงรองร้องเรียกแต่แล้วก็ต้องกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆ คนที่นอนจมกองเลือดลุกพรวดขึ้นมาคว้าคอเสื้อเธอไว้แน่น แต่ยังไม่ทันได้ส่งเสียงเขาก็ใช้มือข้างหนึ่งปิดปากไว้พร้อมเอ่ยว่า
“อย่าร้อง ผมไม่ทำร้ายคุณ” ชายหนุ่มพูดอย่างคนหมดแรง
วิรงรองยอมรับว่าตกใจแต่เมื่อเห็นสภาพของเขาแล้ว คิดได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่สามารถทำอะไรเธอได้แน่ จึงวางใจแล้วค่อยๆ รอฟังว่าอีกฝ่ายจะว่าอย่างไร
“ช่วยพยุงผมหน่อย” คนเจ็บพูดสั้นๆ วิรงรองชั่งใจเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจบอกว่า
“ฉันจะไปตามคนมาช่วยคุณนะคะ” หญิงสาวทำท่าจะลุกหนี แต่ทว่าไปไหนไม่ได้เมื่อถูกอีกฝ่ายจับไว้แน่น
“ไม่ใช่ที่นี่ อย่าโง่ได้ไหม มันมืดแล้วที่นี่มีมิจฉาชีพหลายรูปแบบ ดีไม่ดีจะถูกดักปล้นเอาตอนกลางคืน ตอนนี้ในตรอกมืดๆ แบบนี้อันตรายมาก ไหนจะคนไร้บ้าน และพวกโจรกระจอก”
“ปล่อยฉันก่อนได้ไหม ฉันจะหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋า เลือดคุณออกมามากเลย” วิรงรองเข้าใจที่เขาพูดแล้ว แต่ว่าตอนนี้ต้องเช็ดเลือดที่ไหลไม่หยุดก่อนต่างหาก
“คุณเป็นคนยิงปืนใช่ไหม” ธันว์เอ่ยถาม
หญิงสาวพยักหน้าเล็กน้อย มือล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายเพื่อควานหาผ้าเช็ดหน้าออกมาและพยายามที่จะเช็ดเลือดที่ใบหน้าของเขา แต่มันไม่ง่ายนักเมื่อคนเจ็บพยายามส่ายหน้าหนี
“อยู่นิ่งๆ ได้ไหมคะ” หญิงสาวพูดออกมาอย่างขัดใจ
“โอ๊ย! เจ็บนะ” เสียงของคนเจ็บร้องดังลั่น
“มันไม่เจ็บมากหรอกน่า ถ้าคุณอยู่นิ่งๆ” หญิงสาวเริ่มหงุดหงิด
ให้ตายสิ ผู้ชายคนนี้กำลังทำให้เธอโมโห
“เอาละ ทีนี้จับผ้านี้ไว้ทีนะคะ ฉันจะไปตามคนมาช่วย” หญิงสาวขยับแว่นตาเล็กน้อย เลนส์ข้างหนึ่งพร่ามัวเพราะรอยเลือดของเขา
“ไม่! ผมดีขึ้นแล้ว ตอนนี้คุณช่วยพาผมไปที่‘คลับเลอ ปารีส’ทีนะ มันไม่ไกลจากตรงนี้ เดินไปแค่นิดเดียวเท่านั้น” เขาพูดอย่างรวดเร็ว
“แต่คุณตัวใหญ่และฉันไม่แข็งแรงขนาดที่จะแบกคุณได้” วิรงรองมองสภาพแล้วทั้งคู่ไม่น่าจะไปถึงที่หมายได้
“คุณทำได้ ได้โปรด...เอาผมไปส่งที่คลับเลอ ปารีส รีบไปเถอะ” ธันว์วิงวอนอีกครั้ง
วิรงรองสงสัยว่าทำไมต้องไปที่นั่นแต่ก็ไม่ได้ถาม หญิงสาวค่อยๆ สอดแขนเข้าไปในเสื้อคลุมของเขา เพื่อให้แขนของตัวเองโอบเอวของชายหนุ่มไว้ ใบหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เพราะไม่เคยทำอะไรแบบนี้กับผู้ชายที่ไหนมาก่อนยกเว้นพ่อ
หญิงสาวเซเล็กน้อยเมื่อเขายึดเธอในการพยุงตัวให้ลุกขึ้น เมื่อยืนขึ้นวิรงรองสูงเพียงไหล่เท่านั้น ธันว์วางแขนพาดไปที่ไหล่เล็กอีกมือกุมผ้าเช็ดหน้าไว้ซับเลือด
“นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่” วิรงรองบ่นออกมาเป็นภาษาไทยเบาๆ คนฟังเลิกคิ้วสูงขึ้นเมื่อได้ยินในสิ่งที่พูด
“คุณพอจะเดินไหวใช่ไหม” หญิงสาวหันมาถามเป็นภาษาฝรั่งเศสอีกครั้ง
“คุณเป็นคนไทยเหรอ” ธันว์ย้อนถามด้วยความประหลาดใจ
“คุณพูดไทยได้” วิรงรองเองก็แปลกใจไม่แพ้กัน
“พ่อผมเป็นคนไทย ส่วนแม่เป็นลูกครึ่งอเมริกันกับไทย” เขาบอก หญิงสาวพยักหน้าว่าเข้าใจแล้วพาเดินไปตามทางอย่างไม่สะดวกนัก
วิรงรองละมือจากเขาเพื่อถอดแว่นออก เนื่องจากมันทำให้มองทางไม่ถนัด จากนั้นก็หันมามองคนเจ็บว่ายังปลอดภัยเดินไหวหรือเปล่า
ทันทีที่เห็นดวงตาคู่หวานของคนที่กำลังประคองตนเองอยู่ ดวงตาของเธอไม่ได้ใหญ่โตเท่าไข่ห่านอย่างที่มีคนชอบเปรียบเทียบกัน แต่มันเปล่งประกายวาววับ แถมหวานราวกับหยดหยาดน้ำผึ้ง และมันยากที่ธันว์จะสามารถละสายตาไปจากดวงตาคู่นี้ได้ เขาถูกเธอสะกดเอาเสียแล้ว
เขาเคยเห็นดวงตาสวยลักษณะเดียวกันแบบนี้มาก่อน เธอคือผู้หญิงที่ใจดีที่สุด และรักเขาสุดหัวใจ คุณย่า...ดูเหมือนว่าตอนนี้เขากำลังถูกจับตรึงไว้อย่างแน่นหนาด้วยดวงตาของเธอ จนไม่สามารถขยับตัวหรือพูดอะไรออกมาได้เลยในตอนนี้
“คุณเป็นใคร ชื่ออะไร” ธันว์ชวนคุยระหว่างที่เดิน
“ฉันชื่อ วิรงรองค่ะ วิรงรอง อินทรเทพ” หญิงสาวตอบสั้นๆ
“คุณมาช่วยผมทำไม”
“ฉันผ่านมาพอดี เห็นคุณโดนทำร้ายก็เลยไม่มีทางเลือก” หญิงสาวบอกตรงๆ
“คุณมีทางเลือก คุณสามารถเดินหนีไปก็ได้ คนที่นี่เขาไม่สนเรื่องของคนอื่นอยู่แล้ว”
“แค่คิดฉันก็ทำไม่ได้แล้ว มันไร้น้ำใจเกินไป ฉันไม่ได้ถูกสอนมาให้เป็นคนไร้น้ำใจค่ะ”
“คนที่นี่เขาก็ทำกันออกจะเยอะ ได้แต่เมินแล้วก็ไม่เข้ามายุ่ง”
“แต่ไม่ใช่ฉันแน่นอน เพราะพ่อแม่ของฉันท่านไม่เคยสอนให้ทำตัวแบบที่คุณว่า”
“พาผมไปทางด้านหลัง อย่าพาเข้าด้านหน้า แขกในร้านจะแตกตื่น” ธันว์ชี้ทางที่ต้องการให้เธอพาไป ตอนนี้เขาเริ่มหมดแรงลงเรื่อยๆ แล้ว
“ฉันคิดว่า คุณควรไปโรงพยาบาล” หญิงสาวบอกอย่างจริงจัง
“ช่างมันเถอะ คุณพาผมไปส่งก็พอแล้ว เดี๋ยวจะมีคนจัดการต่อเอง ผมยังไหว” ธันว์กัดฟันพูดแม้จะรู้สึกเจ็บก็ต้องอดทนไว้
“แต่ท่าทางของคุณไม่ได้เป็นแบบนั้น คุณจะหมดแรง คุณไหวไหม” วิรงรองสังเกตว่าเขากำลังจะไม่ไหวแล้ว
“ไหว พาผมไปที่ไนต์คลับ อย่างน้อยถ้าจะต้องไปโรงพยาบาลคนของผมคงจัดการได้ดีกว่าคุณ”
“ฉันจะส่งคุณที่หน้าทางเข้านะคะ แต่จะไม่เข้าไปด้านในกับคุณ”
“ทำไม” เขาถามด้วยความสงสัย
“ฉันจะไม่เข้าไปในสถานที่อโคจรค่ะ ถ้าจะให้เดาด้านในต้องมีทั้งการพนัน เหล้า บุหรี่ โสเภณี แถมคนที่มาใช้บริการก็ไม่ใช่คนดีอะไร เป็นพวกอันธพาลทั้งนั้น” หญิงสาวบอกตามตรง ธันว์ยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินอย่างนั้น
“เป็นแม่ชีเหรอ คุณกล้ามากที่กล้าพูดแบบนี้ ผมเป็นเจ้าของไนต์คลับนะ”
“อะไรนะคะ!!!”
“ผม ธันว์ วิสุทธิ์สุนทร เจ้าของไนต์คลับสถานที่ที่คุณว่าเป็นสถานที่อโคจร แต่จะว่าไปมันก็จริงอย่างที่คุณพูด ไนต์คลับของผมเป็นแบบนั้น ถึงจะเรียกมันว่าไนต์คลับให้ดูโก้หรู แต่จริงๆ แล้วมันก็แค่บาร์เหล้าและบ่อนการพนันสำหรับคนระดับล่าง” เขาแนะนำตัว น้ำเสียงเริ่มอ่อนลง
“ไหนๆ คุณช่วยพาผมมาถึงที่นี่แล้ว พาผมเข้าไปด้านในคงไม่ลำบากจนเกินไปนัก ที่พักของผมมันไม่ได้ผ่านตรงจุดที่แม่ชีอย่างคุณกลัว” ชายหนุ่มประชดเบาๆ ผู้หญิงคนนี้พูดราวกับว่าที่ทำงานของเขาเป็นสถานที่ที่ไม่น่าเข้าใกล้ ไหนจะท่าทางที่ดูคล้ายๆ แม่ชีของเธอก็ขัดหูขัดตาชอบกล
“คุณคือเจ้าของที่นี่หรือคะ”
“ตัวจริงเสียงจริง”
“ฉันขอโทษที่พูดไม่ดีออกไป แต่ฉันยังคงยืนยันว่าตัวเองไม่ควรเข้าไปด้านใน” หญิงสาวยังคงยืนยันความคิดของตัวเอง สำหรับเธอสถานที่ท่องเที่ยวยามราตรีก็เหมือนกับแหล่งรวมพวกอารมณ์เปลี่ยวๆ ทั้งนั้น
“ผมว่าคุณเลิกพูดแล้วพาผมไปส่งที่ที่ผมต้องการจะดีกว่า ในเมื่อช่วยแล้วคุณควรจะช่วยให้ถึงที่สุด ไม่ควรปล่อยผมทิ้งไว้กลางทาง”
“ฉันช่วยคุณไว้นะคะ แทนที่คุณจะขอบใจ แต่กลับพูดจาไม่มีหางเสียงกับฉันเลย” วิรงรองต่อว่าด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
“ผมเป็นแบบนี้แหละ เอาเถอะน่า อย่าบ่นเลย พาผมไปที่ไนต์คลับที ตอนนี้คุณไม่มีทางเลือกมากนักหรอก”
