ตอนที่ 1
ตอนที่ 1
วิรงรองพาคนที่กำลังประคองมาหยุดตรงประตูบานเล็กทางด้านหลังของไนต์คลับจนได้ ถึงแม้จะไม่ได้อยากเข้าไปด้านในมากนัก แต่ตอนนี้ไม่มีทางเลือกเพราะอย่างไรเสียก็ได้ช่วยไปแล้วก็คงต้องช่วยให้ถึงที่สุด
“คุณไหวไหมคะ” วิรงรองถามเมื่อเห็นว่าคนตัวใหญ่มีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก เขาจับตัวเธอแน่นขึ้นและทิ้งน้ำหนักมามากกว่าตอนที่เดินมาตามทาง
“พอไหว” ชายหนุ่มบอกพร้อมทั้งส่งบางอย่างให้
“กุญแจไขประตู คุณช่วยผมที” เขาเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา เริ่มจะหมดแรงลงเรื่อยๆ วิรงรองทำตามที่บอกอย่างรวดเร็วค่อยๆ พาคนเจ็บเดินเข้าไปด้านในอย่างไม่รอช้า
ถึงแม้จะเป็นด้านหลังแต่เธอก็ได้ยินเสียงเพลง เสียงโวยวายของพวกคนเมา และเสียงหัวเราะของบรรดาแขกที่เข้ามาใช้บริการ รวมทั้งกลิ่นเหล้าและกลิ่นบุหรี่ด้วย
หญิงสาวพาเขาเดินขึ้นบันไดมาถึงชั้นสองก็พบกับประตูไม้บานไม่ใหญ่นัก ธันว์ผลักประตูออกทำให้เห็นว่าด้านในมีผู้ชายชาวยุโรปตัวใหญ่อยู่ด้วย ผู้ชายคนนั้นเดินตรงมาทันที
“ธันว์” ชายคนนั้นร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อกวาดสายตามองสภาพลูกพี่ที่ตอนนี้ใบหน้าชุ่มโชกไปด้วยเลือด
“ตามแมกซิมมา” ธันว์ออกคำสั่งก่อนที่จะหันมามองใบหน้าของคนที่ประคองเขาอยู่นิ่ง ท่าทางของเธอดูตกใจ ลังเล และกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ต้องกลัวหรอกคุณแม่ชี คุณไม่ได้เข้าไปใกล้สถานที่ที่แขกของผมอยู่อย่างแน่นอน ที่นี่เป็นด้านหลัง มีเพียงแค่เด็กเสิร์ฟหรือไม่ก็พวกเพื่อนร่วมงานของผมสองสามคนเท่านั้น” ชายหนุ่มบอกอย่างรู้ทันเมื่อเห็นท่าทางที่ดูเป็นกังวลของหญิงสาว พร้อมทั้งทิ้งน้ำหนักมาทางเธอมากขึ้น
“เดี๋ยวลูกน้องของคุณคงจะมาพาคุณขึ้นไป” หญิงสาวพูดออกมาเบาๆ
“คุณจะให้ผมยืนรอแบบนี้เหรอ ไม่มีทาง คุณต้องช่วยพาผมขึ้นไปส่ง” วิรงรองเบิกตากว้างอย่างตกใจ แต่ก็ช่วยประคองเขาโดยดี
“นี่คุณขอร้องให้คนช่วยด้วยน้ำเสียงห้วนแบบนี้หรือคะ เสียงแบบนี้มันเหมือนเป็นการออกคำสั่งมากกว่าขอร้อง” หญิงสาวถามเสียงเรียบ หลังจากที่นิ่งมาชั่วอึดใจแต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบ
“ว่าแต่แมกซิมนี่เป็นใครหรือคะ” หญิงสาวถามต่อเมื่อเห็นว่าเขาเงียบ
“เป็นลูกของเพื่อนสนิทคุณย่า เป็นเลขาฯ เป็นพ่อบ้าน และเป็นคนที่ผมไว้ใจ” เขาตอบอย่างเสียมิได้ เริ่มรู้สึกรำคาญที่ถามมากจนเกินไป ตอนนี้ธันว์รู้สึกเหมือนว่าอวัยวะบางส่วนกำลังถูกของแข็งทิ่มแทง
“แมกซิมช่วยผมทำทุกอย่างที่นี่ ไว้ใจเขาได้” ธันว์ร้องสบถออกมาอย่างหยาบคายเมื่อสะดุดเข้ากับขั้นบันได วิรงรองโอบเอวของเขาแน่นขึ้น
“อย่าใจร้อนหรือรีบนะคะ ถ้าคุณเกิดล้มลงไปฉันจะประคองคุณไม่ไหว จะดึงไว้ไม่อยู่แล้วคุณก็จะตกบันได” วิรงรองบอกอย่างใจเย็น
“เราจะตกไปทั้งคู่ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องดีเลย เพราะมันจะกระทบแผลของคุณ”
“คุณแข็งแรงพอที่จะดึงผมไว้หรอกน่า ขึ้นบันไดไปอีกหน่อยจะถึงห้องชุดที่พักของผม” ชายหนุ่มเถียงเบาๆ พร้อมก้าวขึ้นบันไดแต่มือนั้นเกาะไหล่เธอแน่นขึ้น ร่างสูงเริ่มเซเล็กน้อยและทำให้คนที่กำลังประคองเซตามไปด้วย
“พยายามทรงตัวหน่อยนะคะ อีกนิดเดียวเราก็จะถึงที่หมายแล้ว” วิรงรองพยายามพูดกระตุ้นเบาๆ เพราะกลัวว่าจะทรงตัวไม่ได้และล้มลงพร้อมทั้งตกบันไดไปในทีเดียว
วิรงรองหายใจด้วยความเหนื่อยเมื่อมาหยุดตรงหน้าประตูห้องพัก หญิงสาวเข้ามาในห้องเล็กๆ มีเครื่องเรือนอยู่ไม่กี่อย่าง รู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้าอย่างเขินอาย เธอไม่เคยเข้ามาในห้องนอนของผู้ชายเลยสักครั้ง
แต่ความเขินอายก็หมดไปเมื่อต้องพาร่างสะบักสะบอมไปที่เตียง แล้วอยู่ๆ เขาก็ล้มลงไปบนเตียงโดยไม่ยอมปล่อยมือ หญิงสาวดิ้นรนรู้สึกโมโหแต่เมื่อเห็นสภาพที่อ่อนแรงของคนตัวใหญ่ก็ทำให้นิ่งไปอย่างกังวล ความเป็นห่วงเริ่มเข้ามาแทนที่
“คุณ! คุณ!” วิรงรองเรียกเบาๆ แต่คนตัวใหญ่นั้นนิ่งไปไม่ยอมขยับเขยื้อนร่างกาย ไร้ซึ่งเสียงตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น
หญิงสาวจับเขานอนหงายและพยายามซับเลือดที่แผล บาดแผลเป็นทางยาวโชคดีที่มันไม่ใช่แผลที่ลึก แต่มันก็เรียกเลือดได้ไม่น้อย วิรงรองเหลือบตาไปเห็นชามแก้วใบใหญ่ตรงบริเวณอ่างล้างหน้าที่อยู่ในห้องน้ำ
หญิงสาวรีบลงจากเตียงไปนำน้ำใส่ในอ่างแก้วหาผ้าผืนเล็กๆ เมื่อได้ของที่ต้องการแล้วก็จัดการนำไปตั้งไว้ที่โต๊ะหัวเตียง จากนั้นบรรจงเช็ดหน้าให้อย่างเบามือ
ธันว์ครางออกมาเล็กน้อยเมื่อถูกสัมผัสที่ใบหน้า ขนตาที่เป็นแพหนาเปิดขึ้น วิรงรองนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อได้สบตาเข้ม ซึ่งเป็นดวงตาที่เหมือนยามเช้าของรุ่งอรุณอย่างที่ไม่เคยเห็น เริ่มมีความรู้สึกประหลาดเกิดขึ้นกับก้อนเนื้อที่อกด้านซ้ายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มันเต้นแรงขึ้นเมื่อได้สบตากับเขา
ธันว์มองดวงตาคู่หวานของหญิงสาวที่กำลังสบตาอยู่เช่นกัน ดวงตาของเธอดึงดูดความสนใจของเขาตั้งแต่แรก มือหนาค่อยๆ เอื้อมไปปัดปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าของเธอช้าๆ
“บอกชื่อของคุณมาอีกครั้งได้ไหม” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเต็มที
“วิรงรองค่ะ วิรงรองที่แปลว่าดอกพลับพลึง” หญิงสาวพูดได้แค่นั้น เพราะทันทีที่พูดจบก็มีผู้ชายสามคนเดินเข้ามาในห้อง คนหนึ่งคือคนตัวใหญ่ที่เธอเพิ่งจะพบเมื่อสักครู่ตอนที่พาเขาเข้ามาในนี้ อีกคนเป็นชายวัยกลางคนท่าทางใจดี และคนสุดท้ายเป็นชายหนุ่มใส่แว่นที่ดุสุภาพที่สุด
“ผมพาคุณหมอโจมาด้วยครับ เพราะโรบินบอกว่าคุณได้รับบาดเจ็บ” ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นมาอย่างร้อนรนพร้อมทั้งหลีกทางให้คุณหมอหนุ่มเข้ามาดูอาการของเจ้านายชัดๆ
“ขอเหล้าแรงๆ สักแก้วได้ไหม ผมอยากดื่มมันสักหน่อย” ธันว์หันมาสั่งเสียงเครียด
“หน้าของคุณ นี่คุณไปมีเรื่องกับใครมาหรือครับ” แมกซิมถามอย่างตกใจเมื่อเห็นแผลที่ใบหน้าของคนเจ็บชัดเจน พร้อมทั้งมองวิรงรองไปมาอย่างตั้งข้อสังเกต
“ผมหวังว่าผู้หญิงคนนี้คงจะคุ้มค่ากับสิ่งที่เกิดกับคุณนะ” แมกซิมพูดเบาๆ พร้อมทั้งมองหญิงสาวที่แต่งตัวเหมือนพวกโบฮีเมียน ซึ่งยืนนิ่งอยู่ไม่ห่างกันนัก
“ผมไม่ได้ไปต่อสู้เพิ่อแย่งเธอ ตอนที่ผมกำลังพลาดท่าให้กับไอ้พวกอันธพาลตรงตรอกเล็กๆ นั่น อยู่ดีๆ ก็มีแม่ชีคนนี้นึกเฮี้ยนชักปืนมายิงไอ้คนที่กำลังทำร้ายผมอยู่” คำอธิบายนี้ทำให้สายตาแมกซิมมองวิรงรองเปลี่ยนไป เขาตรงเข้ามาหาเธอพร้อมทั้งโค้งอย่างสุภาพ
“ผมต้องขอโทษที่เมื่อสักครู่พูดจาไม่ดีออกไป และต้องขอขอบคุณที่คุณช่วยชีวิตเจ้านายของผมไว้ คุณช่างเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญจริงๆ” แมกซิมขอโทษพร้อมทั้งเอ่ยชมจากใจจริง วิรงรองยิ้มรับเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะตอบ
“ฉันไม่ได้กล้าหาญหรอกค่ะ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนคิดอะไรไม่ทัน” หญิงสาวบอกออกมาตามตรง
“เราต้องขอบคุณเป็นอย่างมากครับ”
“ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉันขอตัวนะคะ” วิรงรองพูดเบาๆ ตอนนี้น่าจะหมดหน้าที่พลเมืองดีแล้ว
“อย่าเพิ่งไปเลยครับคุณ..?” แมกซิมไม่รู้จะเรียกชื่อเธอว่าอะไร
“วิรงรองค่ะ วิรงรอง อินทรเทพ” เธอบอกชื่อนามสกุลให้เขารับรู้ตามมารยาทด้วยท่าทางที่อ่อนน้อม
“คุณเป็นคนไทยหรือครับ ว่าแต่มาทำอะไรที่ปารีสนี่” แมกซิมถามอย่างตื่นเต้น
“ค่ะ ดิฉันมาเรียนต่อปริญญาตรีด้านการอาหารที่นี่” คำตอบของเธอเรียกความสนใจทั้งของแมกซิมและคุณหมอโจที่กำลังเย็บแผลให้กับคนเจ็บได้เป็นอย่างดี
“คุณมาเรียนต่อที่นี่หรือครับ ให้ตายสิ! ถ้าคุณไม่บอกผมคงคิดว่าคุณกำลังเรียนไฮสคูลอยู่ด้วยซ้ำ หน้าคุณดูอ่อนกว่าวัยมาก” คุณหมอหนุ่มหันมาพูดอย่างตื่นเต้น
“ขอโทษที่ขัดจังหวะนะแมกซิมและคุณสุภาพสตรีที่หน้าเด็ก” เสียงของธันว์ดังขึ้นมา
“ผมนอนเลือดไหลปางตายอยู่ตรงนี้ จะมามัวชมว่าหน้าเด็กหน้าแก่หาสวรรค์วิมานอะไร พวกคุณควรสนใจอาการของผมมากกว่าไหม” ชายหนุ่มพูดอย่างขัดใจ เพราะว่าตอนนี้ทุกคนหันมาสนใจวิรงรองมากกว่าตน
“ขอโทษครับ” คุณหมอหันมาพูดกับคนเจ็บอย่างรู้สึกผิด
“ขอโทษนะคะ ฉันว่าได้เวลาที่จะต้องกลับแล้วจริงๆ” วิรงรองบอกอย่างจริงจัง
“ได้โปรดเถอะครับคุณผู้หญิง อย่างน้อยก็ให้ทางเราได้ตอบแทนคุณบ้าง ดื่มชาหรือกินอะไรก่อนค่อยไป” แมกซิมพูดออกมาอย่างคนมีน้ำใจ วิรงรองยิ้มให้ชายวัยกลางคนตรงหน้าอย่างเป็นมิตร
“ผมอยากจะรบกวนถาม เรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วย” แมกซิมเสียงเครียด วิรงรองนิ่งคิดก่อนที่จะพยักหน้ารับ
แมกซิมนั่งหน้าเครียดเมื่อได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมด คิดไม่ออกว่าเจ้านายหนุ่มเคยมีเรื่องกับใครบ้าง และใครที่น่าจะเป็นคนที่ทำร้าย ธันว์มีเรื่องขัดใจกับนักพนันหลายคนที่มาใช้บริการที่ไนต์คลับ รวมถึงมีปัญหาเรื่องผู้หญิงของบรรดานักพนันที่มาติดพันเขาอยู่ด้วย
หลังจากเล่าเรื่องราวต่างๆ จากสิ่งที่พบเห็นให้แมกซิมฟังจบ วิรงรองก็ค่อยๆ เดินมาที่หน้าต่างบานยาวช้าๆ จากนั้นก็มองทิวทัศน์ของปารีสยามค่ำคืนนิ่ง ตอนนี้รู้สึกอึดอัดราวกับว่าตัวเองกำลังถูกล้อมด้วยบรรดาสัตว์ป่า เธอไม่ชอบบรรยากาศที่ดูมืดๆ ทึมๆ แบบนี้เลย
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับคุณวิรงรอง ถ้าไม่ได้คุณไม่รู้ว่าเรื่องราวจะเลวร้ายมากแค่ไหน เขาเป็นคนหนึ่งที่กำลังสร้างตัว แล้วก็เป็นคนที่มุ่งมั่นมาก น่าเสียดายถ้าเป็นอะไรไป”
หญิงสาวหันมายิ้ม แต่เสียงที่ดังออกมาจากทางห้องนอนทำให้วิรงรองละสายตาจากแมกซิม ธันว์ร้องเสียงดังอย่างเจ็บปวดพร้อมทั้งสบถคำหยาบออกมาหลายต่อหลายคำ เป็นคำที่เธอไม่คิดว่าจะได้ยินด้วยซ้ำ แมกซิมหันมายิ้มแก้เก้อ เมื่อเจ้านายยังคงพ่นคำหยาบออกมาไม่หยุด
“ปกติแล้วเขาจะไม่พูดแบบนี้หรอกครับ เขาสุภาพมากกว่านี้นิดหน่อย คงเจ็บจากการทำแผล” แมกซิมแก้ต่างให้เท่าที่จะทำได้
“เข้าไปดูหน่อยไหมคะ” ความอยากรู้ทำให้เธอตัดสินใจเดินมาหยุดที่หน้าประตูห้อง และภาพที่เห็นคือคนเจ็บกำลังโวยวายเมื่อไม่มีใครทำตามความต้องการ
“โธ่โว้ย! หมอ มือเบาหน่อยได้ไหม เย็บสดนะแล้วผมต้องการเหล้าแรงๆ ได้ยินไหม” คนเจ็บโวยวายอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่คุณหมอหนุ่มเองก็พยายามเย็บแผลอย่างใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้
“อดทนอีกนิดนะ ลูกพี่” โรบินลูกน้องที่กำลังทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคุณหมอบอก
“ถ้าคุณอดทนสักนิด ทุกอย่างจะจบลงในไม่ช้านี้ และเมื่อทุกอย่างจบลงคุณอยากจะดื่มอะไร คนของคุณคงจะจัดให้ทันที” คุณหมอโจพูด
“ผมไม่สนหรอกว่าหน้าตาของผมจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ผมต้องการดื่ม ได้ยินไหม” ธันว์ย้ำอีกครั้งอย่างหงุดหงิด
“คุณหมอโจตั้งใจทำหน้าที่ในการรักษาคุณอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว คุณควรจะอยู่นิ่งๆ อย่าโวยวายจะดีกว่านะครับ” แมกซิมเตือน
“ช่างเถอะ ผมไม่ถือสาหรอก เขากำลังเจ็บปวด อีกอย่างเขาก็ปากแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” คุณหมอโจพูดแบบไม่ใส่ใจทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปเงียบๆ
วิรงรองยืนมองคนเจ็บที่กำลังโวยวายนิ่ง รู้สึกระอาในความเจ้าอารมณ์ของเขา นี่ถ้าเป็นเธอมีหวังโต้กลับแน่ๆ ไม่มีทางนิ่งแบบที่คุณหมอโจทำเด็ดขาด
“คุณคะ” วิรงรองเรียกคนเจ็บอย่างอดไม่ได้
“มีอะไร” เสียงหวานทำให้คนที่กำลังโวยวายนิ่งไป
“ฉันรู้ว่าคุณเจ็บและอยากจะเอาชนะทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ คุณอาจจะไม่สนใจว่าหน้าตาจะเป็นอย่างไร แต่อีกหน่อยคุณจะเสียดาย ตัวใหญ่ขนาดนี้ไม่มีความอดทนเลยสักนิด ไม่เห็นจะต้องร้องโวยวายให้คนอื่นสมเพชเลย จะบอกให้นะเด็กบางคนยังอดทนกว่าคุณซะอีก” วิรงรองพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่น้ำเสียงหนักแน่น
ธันว์ไม่เจ็บแผลเท่าเจ็บใจที่ถูกแม่ชีคนสวยตำหนิต่อหน้าทุกคน เขารอให้หมอทำแผลเรียบร้อยโดยไม่โวยวายอะไรออกมา โดยมีวิรงรองยืนมองอยู่ด้วย สักพักพ่อเจ้าประคุณจึงกลับมาแผลงฤทธิ์ต่อไปว่า
“พอใจหรือยัง” เขาพูดลอยๆ แต่สายตาจับจองที่วิรงรองคนเดียว แล้วเอ่ยอีกคำว่า
“ถ้าพอใจแล้วก็เชิญออกจากห้องไปซะ ผมอยากพักผ่อน”
วิรงรองหันหลังเดินออกไปรอที่หน้าห้องทันที สักครู่ใหญ่คนอื่นจึงเดินตามออกมาด้วยรอยยิ้ม ซึ่งนั่นหมายถึงว่าคนเจ็บคงจะอารมณ์ดีแล้วเช่นกัน
“หลับไปแล้วครับ ผมมั่นใจว่าใบหน้าจะไม่มีรอยแผลเป็นหากดูแลดีๆ และผมว่าเราน่าจะอาศัยช่วงนี้พาไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ผมให้เด็กที่ร้านเรียกรถพยาบาลแล้ว” คุณหมอหนุ่มบอก
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ” เมื่อรู้ว่าเขาปลอดภัยดีวิรงรองก็ขอตัวกลับ
“ผมขอไปส่งคุณนะครับ” แมกซิมเอ่ย
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันกลับเองได้ ที่พักของดิฉันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก” วิรงรองยิ้มเล็กน้อยปฏิเสธอย่างเกรงใจ
“ได้โปรดเถอะครับ คุณช่วยเจ้านายของผมไว้ ได้โปรดให้เราตอบแทนคุณบ้าง” แมกซิมและโรบินพูดออกมาพร้อมๆ กัน
“ไม่ต้องตอบแทนหรอกค่ะ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่” หญิงสาวบอกตามตรง
“อย่าปฏิเสธเลยนะครับ เดี๋ยวผมจะไปส่งคุณก่อนแล้วจะตามไปโรงพยาบาลทีหลัง ส่วนโรบินจะพาเจ้านายไปกับคุณหมอโจ” แมกซิมไม่ยอมแพ้ วิรงรองจำต้องยอมรับไปโดยปริยาย
แมกซิมมองบ้านสามชั้นตรงหน้าอย่างแปลกใจ การที่วิรงรองมีบ้านที่นี่ก็เท่ากับว่าฐานะครอบครัวของเธอนั้นไม่ธรรมดาเลย
“บ้านของคุณเองหรือครับ” แมกซิมอดถามไม่ได้
“บ้านคุณพ่อคุณแม่ค่ะ ไม่ใช่บ้านฉันหรอก” วิรงรองพูดพลางยิ้ม
“ขอโทษนะครับ คำถามของผมอาจจะละลาบละล้วงไปหน่อย แต่ว่ามันอดไม่ได้จริงๆ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“หมดหน้าที่ของผมแล้ว ขอบคุณอีกครั้งนะครับที่ช่วยเจ้านายของผมไว้ และขอโทษที่ทำให้คุณต้องมาเดือดร้อนไปด้วย”
“ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้วนี่คะ” วิรงรองตอบพร้อมรอยยิ้ม แมกซิมมองใบหน้าหวานรู้สึกประทับใจหญิงสาวตรงหน้าเป็นอย่างมาก
