ตอนที่2 ตกหลุมรัก
“ให้พี่ช่วยถือไหมครับน้องพริม” เสียงของรุ่นพี่ปีสองเอ่ยขึ้นอย่างกระเซ้าเมื่อเห็นรุ่นน้องสาวปีหนึ่งเดินถือหนังสือปึกใหญ่มากับเพื่อน หนังสือที่อาจารย์ใช้ให้ถือไปเก็บที่ห้องพักครูให้นั่นเอง
“.....” พริมาทำได้เพียงก้มหัวเบาๆ เป็นการปฏิเสธพร้อมกับรีบก้าวไปหยุดหน้าลิฟท์อย่างรู้สึกกลัวการแซวกระเซ้าของชายหญิงแบบนี้ แบบที่เธอคิดว่ามันเป็นการกระทำที่อุกอาจทางคำพูดและอารมณ์เกินไป
ติ๊ง! ประตูลิฟท์ที่เธอยืนรอเปิดออกทำให้พริมาที่ยืนรออย่างใจจดใจจ่อกำลังจะรีบก้าวเข้าไป แต่แล้วก็ต้องชะงักและรีบถอยกรูดออกมาอย่างหวาดกลัวก้มหน้าหงุดทันทีกับรุ่นพี่ปีสี่ที่กำลังเดินออกจากลิฟท์ รุ่นพี่ที่เธอเผลอสบตากับเขาไปเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น
“พี่ไม่กินเนื้อรุ่นน้องเป็นอาหารนะครับ” เสียงกระเซ้าของชวดลดังขึ้นบอกรุ่นน้องสาวสวยอย่างหยอกล้อกับท่าทางของเธอ
“.....” พริมาที่เห็นรองเท้าของรุ่นพี่อยู่ตรงหน้าก็ยังคงก้มหน้าอย่างไม่กล้าสบตาเผลอเม้มปากเบาๆ พร้อมกับหัวใจที่เต้นโครมครามขึ้นมาแทบทะลุ
“ขอทางด้วยค่ะ พวกหนูหนักมาก” นิสาที่เห็นเพื่อนจะขาดใจตายอยู่แล้วก็รีบเอ่ยกับรุ่นพี่ชวดลขึ้นแล้วกอดหนังสือไว้ด้วยมือข้างหนึ่งยื่นมืออีกข้างมาดึงมือเพื่อนของเธอเข้าไปในลิฟท์แล้วรีบกดชั้นพร้อมกับกดปิดรัวๆ
แต่พอตัวเองได้เข้ามาอยู่ในลิฟท์แล้วความกล้าของเธอพึ่งจะมี ความกล้าที่เธอกำลังเงยหน้าขึ้นไปมองแผ่นหลังกว้างของรุ่นพี่คนหนึ่งที่กำลังเดินออกไปกับเพื่อนของเขา ร่างสูงที่ไม่รู้ทำไมเธอเจอกี่ครั้งหัวใจเธอก็เต้นแรงแทบทะลุออกมาพร้อมกับต้องรีบหลบหน้าอย่างหวาดกลัว
“แกก็บอกชอบพี่เขาเลย” เมื่อประตูลิฟท์ปิดลงและอยู่กันสองคนในลิฟท์นิสาก็สนับสนุนเพื่อนตัวเองทันที เพื่อนที่จนขึ้นมหาลัยแต่กลับไม่เคยมีความรักแบบหนุ่มสาวเลยสักครั้ง
“จะบ้าเหรอ ฉันไม่กล้าหรอก” พริมารีบพูดขึ้นทันที แค่พูดก็เต็มไปด้วยความกลัวแล้ว แค่เห็นเงาของเขาเธอก็แทบวิ่งหนีแล้ว แต่จะให้เธอไปบอกว่าชอบพี่เขาอย่างนั้นเหรอ
ใช่ เธอไม่คิดเหมือนกันว่าเธอจะรู้สึกชอบหรือเรียกว่าตกหลุมรักผู้ชายได้ตั้งแต่แรกเห็น ผู้ชายที่ทำให้หัวใจเธอเต้นแรงอย่างไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนเวลามีคนเข้ามาพยายามจีบหรือทำความรู้จักกับเธอตั้งแต่มัธยม และเธอก็ไม่เคยคิดเปิดใจอยากคบกับใครเลย ไม่รู้ว่าเพราะยังไม่เจอคนที่ทำให้อยากรักหรืออะไร
แต่กับเขา แค่ครั้งแรกที่ได้สบตา ครั้งแรกที่ได้เผชิญหน้า ความรู้สึกและหัวใจที่ไม่เคยเป็นและไม่เคยเรียนรู้มันกลับมีคำตอบอย่างชัดเจนว่าเธอกำลังชอบคนๆ หนึ่ง ชอบมากๆ จนเรียกได้ว่าตกหลุมรักไปเลยว่าก็ได้
“มันคือประสบการณ์อย่างหนึ่งของชีวิตเรานะแก การได้แอบชอบ การได้ลองรัก การมีแฟนในวัยเรียน ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวหรือผิดตรงไหนเลย” นิสาพูดขึ้นอย่างที่คิด เพราะสำหรับเธอแล้วเธอผ่านการชอบคนนั้นคนนี้มาเยอะมาก ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่สามารถเกิดขึ้นกับทุกเพศทุกวัยอยู่แล้ว
“ต่อให้ฉันจะกล้าพูดแต่ฉันก็ไม่กล้าบอกหรอก ฉันกลัวว่าบอกไปแล้วพี่เขาจะไม่ชอบฉัน” เธอนับถือคนที่มีความกล้าที่จะพูดความรู้สึกของตัวเองจริงๆ นะ สิ่งที่เธอไม่มีอยู่ในตัวเลย
แต่นั่นเพราะเธอกลัวความผิดหวังที่จะได้รับ กลัวว่าความกล้าที่จะพูดออกไปจะได้ผลลัพธ์ที่ต่างจากความคิดและความรู้สึก แล้วนั่นก็จะทำให้เสียใจและผิดหวัง
“ถ้าแกไม่บอกแกก็ทำได้แค่แอบชอบนะ แต่ถ้าแกบอกแกอาจจะได้คบกับพี่เขาก็ได้” นิสาพูดไม่หยุดแม้ประตูลิฟท์จะเปิดออกแล้ว
“พี่เขาหล่อขนาดนั้นแต่ยังไม่มีแฟนแกคิดว่าเพราะอะไร แล้วรุ่นพี่สวยๆ ตั้งเยอะแต่พี่เขายังไม่คบใครเลย แกคิดว่าพี่เขาจะคบฉันเหรอ” หน้าตาดีจนเป็นดารานายแบบได้ขนาดนั้นแต่เพื่อนเธอกลับไปสืบมาได้ว่ายังไม่มีแฟนซึ่งมันยิ่งทำให้เธอไม่กล้ามีหวังเลยสักนิดว่าเขาจะตอบรับความรู้สึกของเธอ เพราะรุ่นพี่หลายๆ คนในคณะก็สวยๆ กันทั้งนั้น
“แกน่าจะรู้ตัวนะว่าแกเป็นคนสวยมาก ทำไมแกไม่มีความมั่นใจในตัวเองแบบนี้ล่ะคุณหนูพริม” นิสาได้แต่ทอดถอนใจให้เพื่อนที่สวยขนาดนี้แต่กลับขาดความมั่นใจในตัวเองไปได้
“ช่างเถอะ ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว บางทีการได้แอบรักแอบชอบอาจจะเป็นความสุขหนึ่งก็ได้” สุดท้ายพริมาก็เลือกจะตัดบทสนทนาเรื่องนี้อีกเช่นเคย เรื่องที่เพื่อนมักเชียร์ให้เธอสารภาพความรู้สึกตัวเองทั้งที่รู้ดีว่าเธอไม่กล้า
“แอบชอบอาจจะมีความสุขอย่างหนึ่งก็จริง แต่ถ้าวันหนึ่งเขาดันไปมีแฟนแล้วแกจะยังแอบชอบเขาอยู่ไหม แล้วแกจะไม่เสียดายจริงๆ เหรอ” นิสาถามเพื่อนขึ้นถึงอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย
“ก็คงเสียใจ แต่ก็คงต้องถอดใจ” ถ้าเกิดเขามีแฟนและเธอรู้ถึงตอนนั้นเธอก็คงเสียใจไม่น้อย แต่ก็คงถอดใจไม่ไปชอบแฟนคนอื่นอีก
แต่ทำไมแค่คิดก็ใจเสียแล้วนะ
“นั่นแหละคือเหตุผลที่แกต้องลองเสี่ยงสักครั้ง เสี่ยงเพื่อให้ได้คำตอบชัดเจนไปเลย!” ความหึกเหิมนี้เป็นเรื่องปกติของนิสาอยู่แล้ว นิสัยที่มีความต่างกันทางความกล้าแต่กลับเป็นเพื่อนสนิทกันได้ตั้งแต่มัธยมต้น แต่นั่นก็เพราะนิสัยด้านอื่นๆ เข้ากันได้อย่างดีนั่นเอง
“ไม่เอาด้วยหรอก” แต่สุดท้ายพริมาก็ปฏิเสธแล้วเดินหนีเพื่อนไปอย่างไม่ต้องการพูดเรื่องนี้ต่ออีก
แต่น่าเสียดายที่เธอลืมนิสัยอย่างหนึ่งของเพื่อนสนิทตัวเองไป นิสัยที่ใจกล้าบ้าบิ่นและสนับสนุนเพื่อนอย่างดี เพราะแบบนั้น...
