บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 7 หิว NC25+

ซินเซียงลืมตาขึ้นช้าๆ ทอดมองออกไปนอกพระตำหนักได้ยินเสียงเวรยามลั่นฆ้องทุกวันเพื่อบอกโมงยามเช่นทุกวัน นางจะตื่นเพลานี้เสมอ เป็นยามเหม่า นางทอดสายตามองพระพักตร์ที่งดงามหาบุรุษใดเปรียบเทียบเคียงได้ นางใช้มือเรียวไล้พระนาสิกโด่งงาม มาที่พระโอษฐ์หนาเป็นกระจับสวยแผ่วเบา นางทอดสายตามองไท่จื่อที่ลืมพระเนตรมองพระนาง และพระองค์แย้มพระสรวลกว้าง ใช้พระหัตถ์โอบตัวนางแนบชิด ประทับพระโอษฐ์ที่หน้าผากของนางแผ่วเบา (ยามเหม่า คือ 05.00 - 06.59)

“หม่อมฉันทำให้พระองค์ตื่นบรรทมหรือเพคะ” ซินเซียงทูลถามไท่จื่อ

“ข้าตื่นเพลานี้ทุกคืน ว่าแต่ตื่นแล้วเรามาทำอะไรกันดี” ไท่จื่อแย้มพระสรวลกว้าง

“หิวไหมเพคะ” นางทูลถามด้วยรอยยิ้ม

“หิวนิดหน่อย” ไท่จื่อตรัสเช่นนี้ นางลุกขึ้นจากตั่งบรรทมไปยังหลังพระวิสูตร ไท่จื่อใช้พระกับประยันพระวรกายทอดพระเนตรมองนางที่พาเรือนร่างเปลือยขาวนวลเนียนที่พระองค์ได้สัมผัส ซินเซียงนางมีกลิ่นเหงื่อที่หอมรัญจวนอยากที่สตรีนางใดที่มีกลิ่นกายเช่นนาง อีกทั้งยังมีกลิ่นของเครื่องหอมติดบนเรือนร่างของนางนั้นยิ่งหอมยิ่งนัก (พระกับประยัน แปลว่า ข้อศอก)

นางหายไปชั่วครู่มาพร้อมกับพวงองุ่นขนาดเล็กมีประมาณสิบกว่าลูก เดินมายังตั่งบรรทม นางป้อนลูกองุ่นเข้าที่พระโอษฐ์ของไท่จื่อ พระองค์กัดลูกองุ่นโดยทันที นางก็กินลูกองุ่นด้วยเช่นกัน

“หวานไหมเพคะ” นางถามไท่จื่อที่ทรงเคียวหมดแล้ว

“อร่อยมาก แต่อร่อยสู้ตัวเจ้าไม่ได้หรอก” ไท่จื่อตรัสเช่นนี้ แล้วจับนางนอนลงใต้พระวรกายของพระองค์ โดยไม่ให้นางได้ตั้งตัว

“ไท่จื่อ” นางเรียกพระองค์แผ่วเบาด้วยความเขินอาย ไท่จื่อทรงเด็ดเม็ดองุ่นจากมือของนาง นำมาใส่พระโอษฐ์ ประทับพระโอษฐ์ลงบนริมฝีปากบางทันที นางตอบรับองุ่นที่ไท่จื่อทรงเคี้ยว พระองค์สอดพระชิวหาไปในปากของนางอย่างดูดดื่มและเร่าร้อนยิ่งนัก มือเรียวของนางคล้องที่พระศอ มือเรียวอีกข้างลูบไล้พระอุระที่แข็งแกร่งด้วยความหลงใหล มือเรียวทั้งไล่ไปจับพระองค์ที่เป็นแท่งยาวและใหญ่อยู่กลางลำตัวอีกทั้งยังแข็งสู้มือของนางด้วยเช่นกัน

“อืม...ซินเซียง...”

ไท่จื่อตรัสแผ่วเบา เพราะนางสร้างอารมณ์ร่วมกับพระองค์ นางผลักพระวรกายของพระองค์ประทับนอนเบื้องล่างทันที และนางขึ้นมานั่งบนระหว่างแท่งยาวใหญ่ใช้ความเป็นขยับบนพระองค์ จนมีน้ำปริ่มบนความเป็นหญิงที่ไหลเจิ่งนองด้วยเช่นกัน

“อือ...อื้ม...”

ซินเซียงร้องครางกระเส่าแผ่วเบา แล้วจับแท่งเข้าไปในกายของนางทั้งหมด นางส่ายหน้าไปมาด้วยความหวาดเสียวและเจ็บในเวลาเดียวกัน ไท่จื่อใช้พระหัตถ์กอบกุมอกอวบอิ่มคู่งามทั้งสองข้างเบาๆ

“โอ...โอ...โอ...โอ้...โอ๊ะ...โอ๊ะ...อืม...”

นางก้มลงจูบที่พระโอษฐ์หนาอย่างดูดดื่ม ไท่จื่อทรงจับสะโพกทั้งสองข้างกระแทกลงบนแท่งหนักหน่วงและเร่าร้อนยิ่งนัก จนกระทั่งไท่จื่อไม่อาจทนได้อีกต่อไป พลิกตัวนางลงมาอยู่เบื้องล่างของพระองค์ และกระแทกลงความเป็นหญิงอย่างหนักหน่วง

“โอ๊ะ...โอ๊ะ...โอ้...ไท่จื่อ...อืม...”

ซินเซียงร้องครางกระเส่าแผ่วเบาแทบไม่ได้ยินเพราะสติของนางนั้นได้หลุดลอยไปเสียแล้วด้วยความเสียวกระสันที่พระองค์เป็นผู้มอบให้ นางสะดุ้งทุกครั้งที่ไท่จื่อกระแทกลงมาจนสุด มือเรียวของนางไขว่คว้าเหมือนต้องการที่จับ ไท่จื่อสอดผสานมือทั้งสองข้างของนางแต่ยังคงกระแทกใส่นางไม่ยั้งแรง ขณะที่นางยังคงกรีดร้องอย่างสุดเสียง

“โอ...โอ...โอ...โอ้...อ๊า...อา...”

ไท่จื่อปลดปล่อยเข้าไปในตัวนางหมดสิ้น พระโอษฐ์หนาประทับลงที่ริมฝีปากบางอย่างดูดดื่มเนิ่นนาน แล้วถอนออกระคนเสียดาย ไท่จื่อใช้พระพักตร์ลูบใบหน้าของนางแผ่วเบาที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อด้วยความหลงใหล นางใช้มือเรียวจับพระหัตถ์หนามาจูบราวกับเทิดทูนบูชาดุจเทพเจ้า

“ซินเซียงข้ารักเจ้า เจ้าคือผู้หญิงคนแรกที่ข้ารัก ไม่ใช่ฐานะเฟยของข้า แต่ข้ารักเจ้าเพราะเจ้าเป็นเจ้า เป็นซินเซียงผู้โอบอ้อมอารี ไม่คิดหวาดกลัว อีกทั้งเจ้ายังช่วยชีวิตข้า ทำให้ข้ามาพบเจอเจ้าในวันนี้” ไท่จื่อตรัสด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยนยิ่งนัก ไท่จื่อประทับพระโอษฐ์ที่หน้าผากของนางแผ่วเบา

“ไท่จื่อ หม่อมฉันคิดว่าการช่วยคนเป็นสิ่งที่ดี เหนียงชินเป็นผู้สอนหม่อมฉันว่า ถ้าเห็นคนใกล้ตายควรจะช่วยเขาเอาไว้ อย่าทิ้งให้เขาตายอย่างเดียวดาย อีกทั้งวันนั้นพระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ หม่อมฉันจะไม่ช่วยเหลือพระองค์ได้อย่างไรเพคะ” นางทูลบอกด้วยรอยยิ้ม

“ซินเซียงข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้า ไม่ว่าเจ้าอยากได้สิ่งใดข้าจะหามาให้เจ้าให้ได้ ยกเว้นเดือนและตะวันที่ข้าคงได้เจ้าไม่ได้” ไท่จื่อแย้มพระสรวลทันที

“เพียงแค่หม่อมฉันได้ใกล้ชิดพระองค์เช่นนี้ และไม่คิดจะทิ้งขว้างหม่อมฉันขอเพียงเท่านี้เพคะ” ซินเซียงทูลบอกด้วยรอยยิ้ม

“ข้าสัญญาจะรักและดูแลเจ้าเป็นอย่างดี จะกว่าชีวิตของข้าจะหาไหม้” ไท่จื่อตรัสจริงจัง

“หม่อมฉันเชื่อแล้วเพคะ” ซินเซียงทูลบอก และดันพระองค์ลงมาประทับนอนข้างๆ นาง นางเลื่อนตัวขึ้นมาโอบกอดไท่จื่ออย่างเอาใจ ไท่จื่อแย้มพระสรวล และใช้พระหัตถ์หนาลูบลงที่หลังของนางแผ่วเบา และใช้พระดัชนีกรีดตรงร่องสันหลังเบาๆ

“ไท่จื่อนอนเถอะเพคะ อีกไม่นานก็เช้าแล้วเพคะ” นางทูลบอกด้วยรอยยิ้ม และลงมานอนข้างๆ พระองค์ ไท่จื่อใช้พระกรหนาโอบรัดร่างบางมาสวมกอดไว้ทันที และปิดพระเนตรลงดำดิ่งสู่นิทราทันที

ฤดูเหมันต์ที่หนาวจับใจ ภายในตำหนักมีแท่นผิงไฟให้คลายหนาวได้บ้าง ซินเซียงลืมตาตื่นในยามเช้า หันไปมองด้านข้าง กลับไม่เห็นไท่จื่อประทับอยู่ นางลุกขึ้นช้าๆ จากเตียงก้าวเดินมาเปิดม่านออก แต่ก็ไม่ลืมที่จะเอาผ้าห่มคลุมตัวตนเอง เห็นนางกำนัลกับขันทีสองคน เขาทั้งสองจึงแนะนำตัวทันที

“ซินเฟย กระหม่อมซ่งเมิ่งพระเจ้าค่ะ” ซ่งเมิ่งทูลบอก และถวายบังคม (เฟย แปลว่า พระสนม)

“หม่อมฉันซีเหนียงเพคะ” ซีเหนียงทูลบอก และถวายบังคมเช่นกัน

“เราสองคนจะตามเสด็จซินเฟยทุกที่ จนกว่าชีวิตของข้าจะเป็นธุลี” ซ่งเมิ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“เรียกข้าว่าซินเจี่ยเจียจะดีกว่านะ” ซินเซียงถ้าเรียกแบบนี้มันไม่ชินเสียเลย (เจี่ยเจีย แปลว่า พี่สาว)

“พระเจ้าค่ะ/เพคะ”

ทั้งสองทราบซึ่งในการเป็นกันเองของเฟยพระองค์ใหม่ ไม่เหมือนผู้อื่นที่วางอำนาจกดขี่ โดยเฉพาะไท่จื่อเฟย

“ต้าหวางเสด็จแล้ว”

เฉินหลินเอ่ยบอกกับเหล่าขุนนาง ขณะที่พระวิสูตรเปิดออก ขุนนางถวายบังคมต้าหวางทันที ต้าหวางผายพระหัตถ์ให้ทุกคนตามสบาย ไท่จื่อทรงประทับยืนข้างพระที่นั่ง ด้านซ้ายพระหัตถ์ของต้าหวาง

“วันนี้มีเรื่องอะไร” ต้าหวางตรัสถาม

“ทูลต้าหวาง เมืองหางโจวน้ำท่วมหนักประชาชนไม่มีที่อยู่พระเจ้าค่ะ กระหม่อมคิดว่าสมควรเปิดยุ้งฉาง ขอทรงอนุญาตด้วยพระเจ้าค่ะ” ขุนนางผู้หนึ่งทูลบอก

“ไท่จื่อ เจ้าว่าเช่นไร” ต้าหวางตรัสถามไท่จื่อที่ทอดพระเนตรขุนนางผู้นั้น แล้วพระองค์ก็หันมาหาต้าหวางทันที

“ทูลต้าหวาง เราควรบริจาคยารักษาโรค อาหาร และที่อยู่ให้กับราษฎร ต้องคำนึงสามสิ่งนี้เป็นลำดับแรก” ไท่จื่อทูลตอบต้าหวาง

“พวกเจ้ามีความคิดเห็นว่าเป็นเช่นไร” ต้าหวางตรัสถามเหล่าขุนนางไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด อีกทั้งเห็นดีด้วย ต้าหวางตรัสกับพระราชเลขาที่กำลังจดบันทึก

“ข้าอนุมัติ”

“ขอต้าหวางทรงมีพระชนมายุหมื่นปี หมื่นๆ ปี ขอให้ไท่จื่อพระชนมายุพันปี พันๆ ปี”

ต้าหวางประชุมขุนนางเสร็จสิ้น เหล่าขุนนางทยอยออกไป ขณะที่ต้าหวางกำลังลุกขึ้นจากพระแท่น ต้าหวางกลับหมดพระสติเสียก่อน ไท่จื่อประทับยืนอยู่ใกล้ที่สุด จึงเข้ามาประคองอย่างตื่นตกพระทัย

“ฟู่จวิน!!!!”

เกาเสียงหวางเย่กับเกาอวี้หวางเย่ ประทับยืนรอในท้องพระโรงพร้อมกับเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่มีอาการตื่นตระหนกยิ่งนัก เหตุใดต้าหวางทรงมีพระอาการปรกติมาโดยตลอด เหตุใดจึงทรงป่วยกระทันหันเช่นนี้

“หมอเฉิน ฟู่จวินเป็นอะไร” ไท่จื่อตรัสถาม หมอหลวงเฉินมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างมาก และคุกเข่ากับพื้นตำหนัก

“ทูลไท่จื่อต้าหวางพระอาการเช่นนี้ แสดงว่าพระองค์เสวยหญ้าเซี่ยวอู่เป็นเวลานาน จึงทำให้โลหิตไม่สามารถไปเลี้ยงพระเศียรได้ เมื่อเสวยเป็นเพลานานจึงทำให้ทรงหมดสติ ถึงขั้นสิ้นพระชนม์พระเจ้าค่ะ” หมอหลวงเฉียงกราบทูล

“พระองค์เสวยนานเท่าไหร่” ไท่จื่อตรัสถามด้วยความสงสัย

“ไม่สามารถรู้ได้ว่าเสวยได้นานเท่าไหร่” หมอเฉียงทูลบอก

“ต้องรักษาอย่างไง”

“ไม่มีทางรักษาหาย ต้องประคองอาการพระเจ้าค่ะ กระหม่อมไร้ความสามารถขอให้ประหารกระหม่อมเถอะพระเจ้าค่ะ” หมอหลวงเฉียงบังคมถึงสามครั้ง

“เทียนหมิง เขาทำดีที่สุดแล้ว เจ้ามานั่งนี่สิ” ต้าหวางมีพระกระแสรับสั่ง ไท่จื่อเสด็จมาประทับด้านข้างของต้าหวาง เมื่อไท่จื่อทรงประทับนั่ง ต้าหวางทรงโบกพระหัตถ์เบาๆ ไล่พวกข้าหลวงออกไป ข้าหลวงจึงเดินออกไปทันที

“ฟู่จวินทรงเป็นเช่นไรบ้างพระเจ้าค่ะ” ไท่จื่อตรัสถามด้วยสีพระพักตร์เป็นกังวล

“ข้าก็ไม่ใช่อายุน้อยๆ แล้วน่ะ อยู่ได้ถึงเท่านี้ก็ดีเท่าไหนแล้ว” ต้าหวางตรัสเช่นนี้ และแย้มพระสรวล

“รักษาพระวรกายด้วย พักผ่อนเถอะพระเจ้าค่ะ” ไท่จื่อตรัสแผ่วเบา ทรงนำพระเขนยหนุนพระเศียรต้าหวาง ให้พระองค์ประทับนอนลง ทรงทอดพระเนตรจนแน่พระทัยว่าต้าหวางทรงหลับสนิทแล้ว จึงย่างพระบาทออกจากห้องพระบรรทม (พระเขนย แปลว่า หมอน)

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel