ตอนที่ 6 นางเท่านั้นที่รู้ NC21+
หนึ่งเดือนต่อมา ซินเซียงเข้ามาอยู่ที่ตงกงของภายในเรือนเหมยเฟยไท่จื่อเฟย เพราะว่านางถูกคัดเลือกเป็นหนึ่งในห้าคน ห้าคนนี้จะเป็นหนึ่งในนั้นจะได้ถูกคัดเลือกเป็นเฟย ส่วนคนที่เหลือจะได้เป็นนางกำนัลของตงกง
“ตอนนี้คัดเลือก 5 คนสุดท้าย แล้วพระเจ้าค่ะ” ขันทีทูลไท่จื่อเฟย ขณะที่ไท่จื่อเฟยเสด็จจากตั่ง เสด็จมาทอดพระเนตรดูพวกนางทั้งห้าคน พระนางเสด็จมาหยุดตรงที่ซินเซียงยืนอยู่ตรงปลายแถว ขณะที่ซินเซียงป้ายดินที่หน้าเล็กน้อย เพื่อไม่ให้พระนางคัดนางออกจากนางทั้งห้า
“กงกงไปเชิญไท่จื่อมาเลือกพวกนาง” ไท่จื่อเฟยตรัสเรียบเฉย
“พระเจ้าค่ะ” กงกงน้อมรับพระบัญชา หันกลับไปหมายจะเชิญไท่จื่อที่ห้องพระอักษร แต่ทว่าไท่จื่อเสด็จเข้ามาในตำหนักเสียก่อน เหล่าข้าหลวงถวายบังคม ไท่จื่อเสด็จมาประทับบนตั่ง ไท่จื่อเฟยประทับยืนถวายบังคมจึงประทับนั่งอีกตั่งหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง
ไท่จื่อทรงทอดพระเนตรกูเหนียงทั้งห้านาง ทรงมาสะดุดพระเนตรกูเหนียงปลายแถวสุด ไท่จื่อเสด็จเข้าไปหานางใกล้ๆ เพื่อดูนางให้แน่ชัด ใช้พระหัตถ์ช้อนคางนางขึ้นมาทอดพระเนตรใบหน้านาง ทำให้พระองค์ตกพระทัยและแย้มพระสรวลในเวลาเดียวกัน แต่พระองค์อยากให้แน่พระทัยว่าใช้นางหรือไม่
“เจ้าชื่ออะไร” ไท่จื่อตรัสถามด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยน ซินเซียงจึงมองพระพักตร์ด้วยความเป็นห่วง นางรู้ว่าเป็นพระองค์ นางได้เคยสัมผัสพระวรกายทุกซอกทุกมุมของพระวรกาย อีกทั้งพระหัตถ์นุ่มที่จับปลายคางของนางเคยจับ
“หม่อมฉันตระกูลซิน นามว่าซินเซียง เป็นหลานสาวของซินโจต้าซื่อคง” นางทูลบอกด้วยรอยยิ้ม ไท่จื่อแย้มพระสรวลเล็กน้อย แล้วหันไปมองขันทีที่ยืนข้างๆ พระองค์
“คืนนี้นำซินเซียงไปห้องของข้า” ไท่จื่อตรัสด้วยพระสุรเสียงเรียบเฉย แต่กลับทอดพระเนตรซินเซียงไม่วางสายพระเนตร
“ข้าดีใจกับเจ้าด้วย” ไท่จื่อเฟยตรัสเช่นนี้แย้มพระสรวล
“ขอบพระทัยเพคะ” ซินเซียงถวายบังคมไท่จื่อ และไท่จื่อเฟย แล้วก้าวเดินตามขันทีไป ไท่จื่อกลับจับปลายผ้าของนางไว้ นางจึงหันมามองพระองค์ ไท่จื่อแย้มพระสรวลและปล่อยปลายผ้าลง นางจึงเดินออกไปจากตรงนี้
นางกำนัลพาตัวซินเซียงเข้ามาในตำหนักที่ประทับของไท่จื่อ ตามพระกระแสรับสั่งของไท่จื่อ นางกำลังสองคนปลดเสื้อผ้าสีชมพูลายดอกเหมย รวมไปถึงเครื่องหัวที่นางสวมใส่ออกจนหมดสิ้น นางจึงพาร่างกายเปลือยเปล่าของตนเอง ก้าวลงไปในสระน้ำแล้วจึงนั่งลงบนไหล่อ่างใต้น้ำที่ใสสะอาด เหล่านางกำนัลโปรยกลีบดอกกุหลาบสีแดง นางกำนัลอีกสองคนเทน้ำหอมกลิ่นไม้จันทน์หอม
ซินเซียงย้อนนึกถึงเรื่องราว และสิ่งที่นางเห็นใกล้ศพของเหนียงชินคือ กำไลลายดอกเหม่ย มีเฉพาะพวกนางกำนัลเท่านั้น นางจึงคิดว่าคนที่ทำร้ายเหนียงชินของนาง ต้องเป็นนางกำนัลในตำหนักใด ตำหนักหนึ่งในวังเป็นแน่แท้
ขณะที่นางคิดถึงเรื่องนี้นางต้องตกใจ เพราะพระกรหนาโอบกอดนางจากด้านหลัง และจูบลงที่กกหูของนางแผ่วเบา ทำให้นางหลับตาลงเคลิบเคลิ้มในสิ่งที่พระองค์กระทำ
“ซินเซียง” ไท่ฟู่ตรัสด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยน นางค่อยๆ หันกลับมาทั้งตัว ทอดสายตามองไท่จื่อถวายบังคมพระองค์
“ไท่จื่อ” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หลบสายพระเนตรของพระองค์ที่อ่อนโยนและเปล่งประกายราวกับแสงตะวัน ไท่จื่อใช้พระหัตถ์มาเชยคางของนางขึ้นมา
“ซินเซียง ข้าคิดถึงเจ้าทุกลมหายใจ ข้าให้คนไปตามหาเจ้า แต่ก็ไม่เจอเจ้า เจ้าไปอยู่ที่มา” ไท่จื่อตรัสอ่อนโยน ใช้พระหัตถ์หนาลูบใบหน้าของนางด้วยความคะนึงหาอย่างยิ่ง
“หม่อมฉันออกจากบ้านมาอยู่จวนต้าซื่อคง หลังจากเหนียงชินของหม่อมฉันสิ้นไปเพคะ” ซินเซียนทูลบอกด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า พระองค์ได้สดับเช่นนั้น ทรงดึงนางเข้ามาสวมกอด ใช้พระหัตถ์ลูบหลังปลอบประโลมนาง
เสียคนที่รักที่สุดในชีวิตไป นางจะเจ็บปวดแค่ไหน นางเท่านั้นที่รู้
“ซินเซียง ต่อไปนี้เจ้าก็มีข้าเป็นคนดูแลเจ้า มีอะไรก็เล่าให้ข้าฟังนะ อย่าเก็บไว้คนเดียว คิดว่าข้าเป็นส่วนหนึ่งของเจ้า เจ้าคือคนที่มีบุญคุณกับข้า” ไท่จื่อตรัสปลอบประโลมนาง
“ไท่จื่อ หม่อมฉันเป็นเพียงแค่เฟยของพระองค์ หม่อมฉันมิอาจให้พระองค์ มามีหนี้บุญคุณกับหม่อมฉันหรอกเพคะ” นางทูลบอก และทอดมองพระพักตร์ของพระองค์ ขณะที่พระหัตถ์หนาลูบลงบนผมแผ่วเบา
“ซินเซียง ข้ารักเจ้าตั้งแต่แรกเห็น ข้าไม่เคยรักใครมาก่อนจนกระทั่งเจอเจ้า” ไท่จื่อตรัสจริงจัง และทอดพระเนตรมองนางที่กำลังมองพระองค์
“สัญญาได้ไหมว่าจะไม่ทำให้หม่อมฉันเสียใจ”
“ข้าทำได้ซินเซียง”
ไท่จื่อทรงช้อนเรียวขาและแผ่นหลังของนาง นางใช้มือทั้งสองข้างโอบพระศอไว้เช่นกัน ทรงอุ้มนางไปยังพระแท่นกว้าง ไท่จื่อทอดพระเนตรนางดุจต้องมนต์สะกดให้ลุ่มหลง เรือนร่างของนางทำให้พระองค์คลั่งไคล้ยิ่งนัก จนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
“งดงามยิ่งนัก” ไท่จื่อตรัสแผ่วเบาราวกับว่าคนละเมอเช่นนั้น
“ถนอมหม่อมฉันบ้างนะเพคะ” นางทูลบอกด้วยน้ำเสียงเขินอายยิ่งนัก
“ข้าจะทำคืนแรกของเจ้าประทับใจที่สุด” ไท่จื่อตรัสอ่อนโยน ประทับพระโอษฐ์ที่ริมฝีปากของนาง สอดผสานเข้าไปในโพรงปากของนาง พระหัตถ์ทั้งสองข้างลงมารูปไล้ปทุมถันคู่งามของนาง ซินเซียงครางออกมากระเส่าแผ่วเบา ไท่จื่อทรงทอดพระเนตรลงมาด้านล่างร่างตัวนาง ทรงทอดพระเนตรน้ำขุ่นๆ ออกมา ทรงใช้พระหัตถ์จับเรียวขานางออก แล้วเลื่อนพระวรกายลงจูบที่ปทุมถันแผ่วเบาขบปลายยอด ร่างกายของนางบิดเป็นเกลียวด้วยความหวาดเสียว ไท่จื่อไล่พระชิวหามาที่หน้าท้องแบนราบ มาที่ร่องงามไร้สิ่งบดบัง พระองค์สอดพระชิวหาเข้าไปชิมสายธารที่เจิ่งนอง พระองค์ดูดดื่มหิวกระหายราวกับขาดน้ำมาแรมเดือน แล้วไม่ช้าพระองค์เงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรนางที่หอบกระเส่าที่พระองค์ได้กระทำต่อนาง
“เราจะเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ซินเซียง” ไท่จื่อตรัสอ่อนโยน ทรงหยิบพระเขนยที่หนุนหลัง มาหนุนบั้นท้ายของนาง สอดเข้าไปในตัวนางทันทีจนมิดลำตัว (พระเขนย แปลว่า หมอน)
“อืม...อื้ม...ไท่จื่อ...”
นางร้องด้วยน้ำเสียงกระเส่า แต่เป็นน้ำเสียงกระเส่าที่เจ็บปวด ทำให้นางไม่อาจกั้นน้ำตาของนางไหลออกมาได้ ไท่จื่อทรงใช้ริมพระโอษฐ์ซับน้ำตาของนางที่ไหลออกมาด้วยความเจ็บปวด นางก็รัดพระองค์แน่นและเล็บนั้นจิกลงบนพระขนอนจนจมเล็บทำให้พระโลหิตไหลออกมาตามเล็บของนางด้วยเช่นกัน ไท่จื่อเม้มพระโอษฐ์ด้วยความเจ็บเช่นกัน แต่ก็คงยังตรัสปลอบประโลม
“ผ่อนคลายน่ะ เจ้าจะหายเจ็บ”
ไท่จื่อเริ่มขยับพระวรกายช้าๆ ทำให้นางเริ่มคลายเล็บออก พระองค์เริ่มเร็วและหนักหน่วงขึ้นจากอาการดิบที่เข้าแทรกพระองค์ จนนางร้องครางดังลั่น แต่นางกลับได้รับความสุขหฤหรรษ์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จนกระทั่งทรงปลดปล่อยเข้ามาในตัวนางจนหมดจด และทรงลงมาประทับด้านข้างของนาง ทรงตะแคงข้างทอดพระเนตรนาง จับมือเรียวมาประทับพระโอษฐ์
“ข้ารักเจ้าซินเซียง” ไท่จื่อตรัสอ่อนหวานยิ่งนัก ซินเซียงตะแคงข้างหันมาหาพระองค์ที่แย้มพระสรวลให้นางเช่นกัน
“ไท่จื่อ ตรัสกับสตรีทุกนางหรือเปล่าเพคะ” ซินเซียงทูลถามแผ่วเบาและออดอ้อนยิ่งนัก ไท่จื่อประทับพระโอษฐ์ที่หน้าผากของนางเบาๆ ด้วยความรักที่เต็มเปี่ยมที่มีต่อนาง
“ข้าบอกเจ้าเป็นคนแรก” ไท่จื่อตรัสด้วยพระสุรเสียงจริงจัง
“เพคะ หม่อมฉันเชื่อพระองค์”
