ตอนที่ 5 เข้าเมืองหลวง
ไท่จื่ออยู่ในห้องพระอักษรตรวจฎีกาที่ต้าหวางให้ขันทีส่งมาให้พระองค์ตรวจทาน เพื่อให้พระองค์ศึกษาแนวทาง และช่วยพระองค์บริหารบ้านเมือง อีกทั้งอนาคตพระองค์ยังขึ้นเป็นต้าหวางพระองค์ต่อไป
“ไท่จื่อเฟยขอเข้าเฝ้าพระเจ้าค่ะ” องครักษ์หน้าห้องทรงงานเข้ามาทูลบอกพระองค์ (ไท่จื่อเฟย คือ ชายารัชทายาท)
“บอกไปว่าข้าไม่ว่าง” ไท่จื่อตรัสเรียบเฉย ขณะที่พระองค์ทอดพระเนตรฎีกาอยู่ ไท่จื่อเฟยเสด็จเข้ามาพร้อมนางกำนัลสองคนในมือของนางกำนัลทั้งสองคนถือถาด คนหนึ่งถือถาดขนม ส่วนอีกคนถือถาดใส่กุณโฑน้ำชา พร้อมกับถ้วยน้ำชาหนึ่งใบ
“ให้หม่อมฉันปรนนิบัติเถอะเพคะ” ไท่จื่อเฟยตรัสด้วยพระสุรเสียงอ่อนหวาน พระหัตถ์เรียวหยิบถ้วยน้ำชาวางตรงที่ว่าง เทน้ำชาลงในถ้วย
“เจ้าออกไปก่อน ข้าต้องตรวจฎีกาอีกมาก” ไท่จื่อตรัสโดยไม่ทอดพระเนตรพระนางแต่อย่างใด ไท่จื่อเฟยทรงทอดพระเนตรไม่สนพระทัยพระนางแม้แต่น้อย พระนางถวายความเคารพ แล้วเสด็จออกไปทันที
ตั้งแต่พระนางได้อภิเษกกับไท่จื่อมารวมสองปี ในฐานะไท่จื่อเฟยของพระองค์พระองค์ไม่เคยแตะพระวรกายพระนางแม้แต่น้อย ในวันอภิเษกสมรสนั้น พระองค์ก็ไม่อยู่ประทับร่วมห้องกับพระนาง ทำให้นางอดสูถึงที่สุด ไท่จื่อเฟยทรงทำทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้เฟยในตงกงมีพระครรภ์กับพระองค์ ถ้าเฟยคนใดมีพระครรภ์แล้วไซ้ พระนางก็จะมีวิธีให้เฟยเหล่านั้นแท้ง โดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ถ้าผู้ใดปริปากพูดว่าพระนางเป็นผู้กระทำ ผู้คนเหล่านั้นจะตายโดยไม่ทราบสาเหตุเช่นกัน
ลานประลองหน้าหวังไท่กง ชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ทั้งสามกำลังใช้กระบี่ ต้านรับกันและกันอย่างดุเดือดเนิ่นนาน จนในที่สุดไท่จื่อชนะหวางเย่ทั้งสองพระองค์อย่างงดงาม
“เกอเกอ ท่านชนะอีกแล้ว” เกาอวี้หวางเย่ตรัสชื่นชมไท่จื่ออย่างมาก
“ขนาดข้าสองคนยังแพ้เลย” เกาเสียงหวางเย่ตรัสและแย้มพระสรวล
“พวกเจ้าออมแรงให้ข้าต่างหากเล่า” ไท่จื่อตรัสเช่นนี้ และแย้มพระสรวล ทรงเก็บกระบี่ลงในฝัก
“ข้าขอลาก่อน ข้าเองมีงานต้องทำ” เกาเสียงหวางเย่ตรัสเรียบเฉย ถวายบังคมและเสด็จจากไป
“วันนี้ไปนั่งดื่มเหล้ากับข้าหน่อยไหม” ไท่จื่อตรัสถามและแย้มพระสรวลทอดพระเนตรเกาอวี้หวางเย่
“ดีเลย”
เมื่อเสด็จกลับมาจากวังหลวง ไท่จื่อเสวยน้ำจัณฑ์ด้วยความสำราญพระทัยมากขึ้น กว่าหลายวันที่ผ่านมาได้ตรัสกับเกาอวี้หวางเย่ ทำให้คลายพระอิริยาบถยิ่งนัก
“เกอเกอพูดเป็นเล่น เจ็บขนาดนี้ยังพูดเป็นเรื่องตลกไปได้” หวางเย่ตรัสและพระสรวล ในเรื่องที่ไท่จื่อไปเจอสาวงามที่พระองค์หมายปองเป็นนักหนา หวางเย่สดับมาบ้างแล้ว แต่ไม่ได้มีพระดำริว่า ไท่จื่อจะหลงใหลกูเหนียงผู้นี้มากมายถึงเพียงนี้ ทำให้พระองค์อยากจะทอดพระเนตรใบหน้าของนางสักครั้ง (กูเหนียง แปลว่า แม่นาง)
“นางเป็นหญิงที่งดงามดุจสาวแรกรุ่น งดงามกว่านางใดที่ข้าเคยพบพาน” ไท่จื่อตรัสด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล อีกทั้งยังนึกถึงใบหน้าของนางที่ตรึงพระทัยของพระองค์อย่างยิ่ง
“ข้าได้ยินมาว่า เฟยของเกอเกอทุกนางที่ตั้งพระครรภ์ ล้วนแต่แท้งหมดสิ้น” หวางเย่ตรัสเป็นกังวลยิ่งนัก อีกทั้งพระองค์ทรงกังวลพระทัย ที่เกอเกอมีพระดำริจะเอากูเหนียงชาวบ้านมาอยู่ในวัง ไท่จื่อเฟยคงเอานางตายแน่
“ทุกวันนี้ข้ายังสงสัยนางเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีหลักฐาน” ไท่จื่อตรัสด้วยสุรเสียงเป็นกังวลและเคร่งเครียดยิ่งนัก
“แต่ข้าอยากได้ซินเซียงมาเป็นเฟยของข้า นางเคยช่วยชีวิตข้า ทำให้ข้ารอดถึงทุกวันนี้ นางมีบุญคุณกับข้าอย่างมาก” ไท่จื่อตรัสจริงจัง
ซินโจก้าวเดินเข้ามาในห้องโถงกว้างของซินเซียง นางไม่รอช้าที่จะวางผ้าที่ปักวางลงบนตั่งยาว สาวใช้สามคนที่อยู่กับนางจึงถอยออกไป
“ไปเรียกซื่อหยางมาที่นี่” ซินโจเอ่ยบอกพ่อบ้านเฉียงที่อยู่ข้างๆ เขา
“มีอะไรหรือเจ้าคะ” ซินเซียงเอ่ยถามเขา ขณะที่หญิงสาวผู้หนึ่งก้าวเดินเข้ามา นางไม่รอช้าที่คำนับซินเซียง
“ต่อไปนี้ซื่อหยางจะเป็นสาวใช้ของเจ้า” ซินโจเอ่ยบอกเช่นนี้
“ข้าชื่อซื่อหยาง ขอรับใช้คุณหนูซินเซียง ซื่อหยางตลอดไปชีวิตเจ้าค่ะ” ซื่อหยางเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณน่ะเจ้าค่ะ” ซินเซียงหันไปขอบคุณ
“จริงสิข้าเกือบลืม เมื่อเช้าข้าได้ประชุมเช้า ต้าหวางอยากจะจัดคัดเลือกเฟยให้ไท่จื่อ ตั้งแต่ไท่จื่อได้รับตำแหน่งพระองค์ยังไม่ได้คัดเลือกเฟยให้กับไท่จื่อ ข้าอยากจะถามเจ้าว่าเจ้าอยากเข้าวังเป็นเฟยของเทียนหมิงไท่จื่อหรือไม่” ซินโจเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่นางกับสะดุดคำว่าเทียนหมิง
“ไท่จื่อ ชื่ออะไรนะเจ้าคะ” ซินเซียงเอ่ยถามด้วยความตกใจ นางจำได้ว่าชายหนุ่มที่นางเคยรักษาจนหายจากการโดนยิง เขามีนามว่าเทียนหมิง
“เกาเทียนหมิงไท่จื่อ” ซินโจเอ่ยบอกเช่นนี้ นางกลับเงียบไปเนิ่นนานราวกับคิดสิ่งใดอย่างหนัก
“ถ้าเจ้าไม่อยากเข้าวังไปเป็นเฟยหรือนางใน ก็อยู่กับข้าที่นี่นั่นแหละ” ซินโจเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม
ซินโจเขาไม่อยากบังคับให้นางไปเฟยหรือนางในแต่อย่างใด แค่อยากถามนางเผื่อว่านางอยากเข้าวัง
เมื่อวันก่อนเขาได้เชิญซินแซชื่อดังที่เดินทางไกลมาดูดวงชะตานางที่เรือนของเขา และมองนางจากเรือน ซินแซได้ทอดสายตามองนางจากหน้า ที่อยู่ในสวนหน้าบ้าน ซินแซจึงพูดขึ้นมาว่า
‘กูเหนียงผู้นี้นางมีบารมีสูงส่ง กูเหนียงนั้นจะเป็นใหญ่เหนือกูเหนียงทุกตัวคน และไม่มีใครมาต่อกรกับนางได้ ใครคิดจะต่อกรผู้นั้นจะแพ้ภัยตัวเองไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้’
“โป๋โป่แต่ถ้าข้าไม่ปฏิเสธล่ะ ข้าต้องทำเช่นไรบ้าง” ซินเซียงเอ่ยถามขึ้นมาทันที (โป๋โป่ แปลว่า ลุง)
ข้าอยากเจอเขา และไม่รู้ว่าเป็นเทียนหมิงคนเดียวกันที่นางช่วยชีวิตไว้หรือไม่
“ซินเซียง ตลอดเวลาหนึ่งเดือนนี้ เจ้าต้องเตรียมตัว ต้องอ่านออก เขียนได้ หัดฝึกเดิน อีกมากมายที่เจ้าต้องทำ ข้าจะให้นางกำนัลของอดีตหวางโฮ่ว ที่เป็นเม่ยเมยของฟูเหรินของข้า ข้าจะให้เขามาสอนเจ้า” ซินโจเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม
“แล้วแต่ท่านจะบัญชาเจ้าค่ะ”
