ตอนที่ 4 ดื้อดึง
ทิวไม้ร่มรื่นท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรบนเทือกเขาสูง ด้านล่างนั้นเป็นแม่น้ำที่ไหลเอื่อยๆ เข้าไปยังเมืองหลวง ส่วนด้านหลังเป็นหุบเขา เหมาะเป็นที่พักผ่อนหย่อยใจ ซินเซียงจึงเลือกที่นี่เป็นที่ฝังศพของเหนียงชิน ผู้เป็นที่รัก
บัดนี้นางเศร้าโศกเสียใจเป็นอันมากกับการจากไปของเหนียงชิน นางจึงเอาสถานที่แห่งนี้ ฝังศพของเหนียงชินโดยนางและหลี่เสียงช่วยกันขุด และนำนางฝังไว้ ปักป้ายหลุมศพวางดอกกุ้ยฮัว ที่เหนียงชินชื่นชอบเป็นอย่างมาก
“เหนียงชินข้าจะแก้แค้นให้ท่านเอง ข้าจะทำให้มันตายทั้งเป็น” ซินเซียงเอ่ยบอกทั้งน้ำตา ลุกขึ้นยืนมองหลุมศพด้วยจิตใจอันเคียดแค้น ทันใดนั้นนางก็นึกถึงคำพูดของเหนียงชินว่า
ซินเซียงข้าจะบอกเจ้าไว้ว่า ข้ามีของสำคัญอยู่ในตู้นี้ ถ้าฉุกเฉินค่อยเปิดออกมาดู
“ของสำคัญของเหนียงชิน” ซินเซียงเอ่ยแผ่วเบา แล้วจึงรีบไปที่บ้านโดยทันที เมื่อนางเข้ามายังในบ้าน นางก้าวเดินไปที่ลิ้นชักใกล้เตียงนอน พอเปิดลิ้นชักออกมา นางเห็นจดหมายฉบับหนึ่งซองสีขาวในนั้นมีใจความว่า
‘ซินเซียง เมื่อเจ้าได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ข้าอาจตายไปแล้ว อย่าอยู่ที่นี้เจ้าจงไปเมืองหลวงไปอยู่กับ ซินโจต้าซื่อคง ท่านเป็นเกอเกอของข้า เจ้ามอบกำไรหยกประดับด้วยพลอยสีเขียวลายพยัคฆ์ที่อยู่ในลิ้นชักขั้นที่สอง เจ้าจงให้เขาดู แล้วเขาจะรู้ว่าเจ้าเป็นใคร เหนียงชินรักเจ้านะ ซินเซียง’
ซินเซียงนั่งร่ำไห้เนิ่นนาน จนกระทั่งตั้งสติได้นางจึงเลิกร้อง นางบอกกับตนเองว่า ข้าต้องไปเมืองหลวง เพื่อตามหาคนร้ายให้เจอ
นางเปิดลิ้นชักที่สองออกมา เอากำไลหยกใส่ที่ข้อมือ หันทอดมองที่แหวนวงนั้นที่ชายหนุ่มนามว่า เทียนหมิงมอบให้ แล้วจึงกล่าว
“ข้าต้องไปเมืองหลวง และเรื่องนี้ท่านอาจช่วยข้าได้” ซินเซียงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ตลอดเวลาที่ผ่านมาหนึ่งเดือน เทียนหมิงไท่จื่อเฝ้ารอที่จะเจอนางผู้นั้นอีกครั้ง พระองค์ทรงถูกพระทัยนางตั้งแต่แรกพบถ้าวันนั้น พระองค์มีพระกระแสรับสั่งให้คนกลับไปหานางอีกครั้ง ทหารเหล่านั้นทูลบอกว่านางย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว พระองค์เองจนปัญญาที่จะพบเจอนางแล้ว
“เอาเหล้ามาให้ข้า” ไท่จื่อตรัสกับนางกำนัลด้วยพระสุรเสียงเรียบเฉย
“เพคะ”
นางกำนัลน้อมรับพระราชบัญชา นางกำนัลอีกคนนำจอกเหล้าถวายพระองค์โดยทันที ไท่จื่อทรงรับและเสวยจนหมดจอก
“เจ้าออกไปได้”
ซินเซียงขี่ม้าเข้ามายังเมืองหลวง อีกทั้งนางขี่ม้ามาแต่ผู้เดียว แทบจะไม่ได้หยุด ตอนนี้นางต้องหาหลิวซินโจให้เจอเสียก่อน นางจึงถามคนในตลาดเมืองหลวงเขาชี้ไปทางบ้านหลังใหญ่ นางจึงขี่ม้าไปยังบ้านหลังนั้นทันที
ซินเซียงมายังหน้าจวนหลังใหญ่ ข้างหน้าจวนด้านบนเขียนว่าจวนสกุลซิน บ่าวรับใช้เดินออกมาแล้วมองใบหน้าของนางที่มีผ้าสีดำปิดบังตั้งหัวจรดลำตัวไปจนถึงปลายเท้าไว้จึงถามนาง
“เจ้ามาพบใคร” บ่าวรับใช้เอ่ยถามนาง นางจึงใช้มือสองข้างเลื่อนผ้าที่ปิดใบหน้าลง
“ข้าต้องการพบใต้เท้าซิน” ซินเซียงเอ่ยบอก แล้วจึงถอดกำไล และจดหมายส่งให้บ่าวรับใช้ บ่าวรับใช้ผู้นี้รับเอาไว้ทันที
“รอเดี๋ยว” บ่าวรับใช้บอกเช่นนี้ แล้วเขาก็เดินก้าวเข้าไปยังในจวน
นางรอไม่นานนัก ชายวัยกลางคนใส่ชุดลำลองด้วยผ้าไหมชั้นสูงสีขาวสะอาดตา ก้าวเดินออกมาอย่างสุขุมสมกับเป็นขุนนางอันดับหนึ่งแห่งราชสำนักแคว้นเกา
“ซินเซียง เจ้าเป็นลูกสาวของซินเหนียงใช่หรือไม่” ชายผู้นี้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างมาก ทำให้ซินเซียงอบอุ่นหัวใจยิ่งนัก
“ข้าซินเซียง เป็นลูกของเหนียงชิน นางว่า ซินเหนียง” นางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“ข้ามีนามว่าซินโจ เป็นโป๋โป่ของเจ้าซินเซียงหลานข้า เจ้าคงลำบากไม่น้อย เหนียงชินของเจ้านางไม่ได้มาด้วยหรือ” ซินโจเอ่ยถามหลานสาวที่ไม่เจอกันถึงสิบปี นางมีใบหน้า ผิวพรรณและเรือนร่างที่งดงามยิ่งนัก งามกว่าบุตรสาวขุนนางหรือนางในวังหลวงบางคนเสียอีก เขาคิดต่ออีกว่าไม่แปลกใจเลยที่เม่ยเมยพานางออกไปอยู่นอกเมืองหลวง เพื่อไม่ได้เป็นนางในในวัง แต่ถ้าอยู่นอกวังก็อันตรายเกินไปอีก (โป๋โป่ แปลว่า ลุง / เม่ยเมย แปลว่า น้องสาว)
“ข้ามาคนเดียวเจ้าค่ะ เหนียงชินของข้านางตายไปแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา และเศร้าใจอย่างมาก เมื่อพูดถึงเรื่องการจากไปของเหนียงชิน ทำให้ซินโจใจวูบไหวด้วยความเศร้าใจ
ซินเหนียงนางแต่งงานกับพ่อค้าผู้ร่ำรวย ท่ามกลางเสียงคัดค้านของหลิวเหม่ยอวี้ เหนียงชินของนางและเขา ที่ไม่อยากให้นางออกไปจากเมืองหลวงตามเตี่ยของซินเซียงไป แต่เพราะความดื้อดึงของนางที่รักเขามาก นางจึงต่อต้านครอบครัวและอดอาหารสามวัน จนเหนียงชินใจอ่อนยอมยกซินเหนียงให้กับเตี่ยของซินเซียงไป
“เหนียงชินของเจ้าดื้อดึงไม่ยอมอยู่เมืองหลวง”
“ข้าก็มาหาท่านแทนเหนียงชินแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มกว้าง ทำให้ซินโจใจชื้นขึ้นมาบ้าง และลูบหัวของนางเบาๆ
“เจ้านี่น่ะ พ่อบ้านเฉียง จัดห้องให้นาง ห้องรับรองใหญ่ยกให้นาง จัดเสื้อผ้าให้นางด้วย” ซินโจเอ่ยบอกและเผยรอยยิ้ม
“ขอรับ” เฉียงเว่ยเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” ซินเซียงเอ่ยบอกด้วยความซาบซึ้ง และคุกเข่าลง ทำให้ซินโจแปลกใจอย่างมาก
“ทำอะไรซินเซียง” ซินโจเอ่ยบอกและประคองนางขึ้นมา แต่นางกับขืนตัวเอง
“ข้าขอบคุณท่านที่ให้ข้าได้อยู่ได้อาศัยในบ้านของท่าน” ซินเซียงเอ่ยบอก และคำนับลงที่พื้น ชินโจจึงประคองนางขึ้นมา
“เจ้าเป็นหลานของข้า และข้าไม่ได้ดูแลเหนียงชินของเจ้า ข้าเลยอายดูแลเจ้าให้ดี ต่อไปนี้จงอยู่อย่างมีความสุขนะ ซินเซียง” ซินโจเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” ซินเซียงเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม
“มีสิ่งใดขาดเหลือ เจ้าจงบอกสาวใช้ภายในบ้านของข้า” ซินโจเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าค่ะ”
“ไปพักผ่อนเถอะ”
“เชิญทางนี้ขอรับคุณหนู” พ่อบ้านเฉียงเอ่ยบอก ผายมือให้นางเดินนำ และพานางเดินออกจากห้องของซินโจทันที
หลังจากที่นางกินข้าวกับซินโจเสร็จสิ้นเรียบร้อย นางเดินมายังเรือนพักขนาดใหญ่ ยืนตรงริมหน้าต่างทอดสายตามองไปยังวังหลวงที่สว่างไสวเพราะแสงเทียนแสงคบไฟที่จุดตามตำหนัก นางตำหนักก็มืดร้างเพราะไม่มีผู้คนอู่ อีกทั้งพระราชวังหวงนั้นอยู่ไม่ไกลจากจวนของตระกูลซินมากนัก
“นี่พึ่งเริ่มต้นนะ” ซินเซียงเอ่ยบอกกับตัวเอง ด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น ยกมือด้านซ้ายที่มีกำไลหยกขึ้นมาดู ข้างเดียวกันที่นางใส่แหวนหยกแกะสลักลายพยัคฆ์เขียนแซ่ ‘เกา’ ไว้ในหลังแหวน
“ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ข้าจะเจอท่านได้ที่ไหนกัน”
ฉุนอิ๋งกง เป็นตำหนักของเกาเสียงหวางเย่ที่อยู่นอกพระราชวังหลวง บุรุษที่อยู่ในวังหลวงได้มีเพียงต้าหวาง ไท่จื่อและขันทีเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นหวางเย่หรือเหล่าขุนนางต้องอยู่นอกวังหลวงด้วยกันทั้งสิ้น
ทันใดนั้นเสียงของแจกันตกแตกดังสนั่นทั่วตำหนัก จนบ่าวไพร่หวาดกลัวยิ่งนัก อีกทั้งบ่าวที่อยู่ในห้องโถง ไม่กล้าที่จะสบพระเนตรของพระองค์
“ทำไมเทียนหมิงมันไม่ตาย พวกเจ้ามันไม่ได้เรื่องเลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ” เกาเสียงหวางเย่ทรงพิโรธยิ่งนัก
“หวางเย่พระทัยเย็นพระเจ้าค่ะ วันนี้องค์ไท่จื่ออาจจะดวงแข็ง แต่วันหน้าก็ไม่แน่” หนิงซื่อคนสนิทของพระองค์ทูลบอก
“เมื่อไหร่มันจะตาย ข้าต้องการเป็นไท่จื่อเข้าใจไหม” หวางเย่ตรัสด้วยพระสุรเสียงดุดัน และกำพระหัตถ์แน่นทุบลงบนโต๊ะทันที
