CHAPTER 4 ยังเชื่อมันเสมอ
เวลาผ่านไปเดียร์คลอดลูกชายคนแรกของเธอและภูริแล้วตั้งชื่อลูกว่าน้องภูผา ร่างเล็กของเขาทำให้ทุกวันของหญิงสาวเต็มไปด้วยความวุ่นวายและความสุขในเวลาเดียวกัน
เธอตั้งหน้าตั้งตาเลี้ยงลูกทำอาหาร คอยดูแลทุกความเป็นอยู่ของครอบครัวอย่างเคร่งครัด เธอปรับเวลาของตัวเองทุกนาทีเพื่อให้แน่ใจว่าภูริและลูกจะมีชีวิตประจำวันที่ราบรื่นและสมบูรณ์ที่สุด
หลังจากแต่งงานภูริขออนุญาตปู่และพ่อของเขาว่าอยากจะอยู่คอนโดเพื่อความสะดวกในการไปเรียนและทำงานต่อ ผู้ใหญ่เห็นว่ามีเหตุผลดี จึงตกลงและซื้อคอนโดขนาดใหญ่ให้เขาอยู่หนึ่งห้อง ห้องที่กว้างขวางและเป็นสัดส่วนช่วยให้ภูริมีสมาธิในการเรียนต่อ
เดียร์เองต้องออกจากโรงเรียน เธอยอมทิ้งการเรียนเพื่อทุ่มเทเวลาให้กับลูกชายและการดูแลภูริ ทุกวันเธอจัดเตรียมอาหารและสภาพแวดล้อมให้น้องภูผาเติบโตอย่างปลอดภัย แข็งแรง และได้รับความรักเต็มที่
ตั้งแต่ลูกชายเริ่มคลานได้ น้องภูผาก็เริ่มแสดงอาการอยากรู้อยากเห็นและสนใจสิ่งรอบตัวมากขึ้น เด็กน้อยเริ่มหัวเราะเล่นของเล่น และเริ่มเรียกเรียงคำง่ายๆ ได้บ้าง พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้เดียร์ทั้งเหนื่อยทั้งดีใจในเวลาเดียวกัน เธอสังเกตเห็นว่าเด็กน้อยเริ่มมีพัฒนาการและเริ่มเปลี่ยนไปทุกวัน
“ทำไมไข้ไม่ลดเลยนะ” เธอทำหน้าเครียดเพราะตั้งแต่ช่วงบ่ายลูกชายไข้ไม่ลดลงเลย เธอได้แต่เฝ้ารอว่าเมื่อไรเขาจะกลับมา เธอทั้งกลัวทั้งเป็นห่วง
น้องภูผาเริ่มร้อนแรงและตัวร้อนจัด เดียร์กุมหน้าผากลูกชายอย่างวิตกกังวล น้ำตาแทบจะไหลเมื่อเห็นลูกตัวเล็กๆ แสดงอาการไม่สบาย
‘หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’
ครั้งแล้วครั้งเล่าเดียร์หยิบโทรศัพท์กดเรียกภูริ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้วที่โทรไปก็ไร้วี่แวว เสียงรอสายดังไปทั่วห้องว่างเปล่า ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นเป็นเท่าตัว
“พี่ภูรีบกลับบ้านนะ น้องภูผาป่วยไข้ขึ้น” เธอฝากข้อความไว้หวังว่าเขาเห็นจะได้รีบกลับบ้าน พลางเช็ดเหงื่อบนหน้าลูกชาย
เมื่อเห็นว่านาทีแล้วนาทีเล่าผ่านไปโดยไม่มีการตอบกลับ เธอรู้สึกว่ารออีกต่อไปไม่ได้แล้ว เธอจึงตัดสินใจทำด้วยตัวเอง
“ไม่เป็นไรลูกนะ เดี๋ยวแม่พาไปหาหมอเองแม่อยู่กับหนูนะ” อุ้มลูกชายไว้แนบอก เด็กน้อยสะอื้นเล็กน้อย น้ำตาเอ่อคลอ แต่เดียร์กอดแน่นและพูดเบาๆ ให้กำลังใจ
เธอรีบพาลูกออกจากคอนโด เดินไปขึ้นแท็กซี่ด้วยความเร่งรีบ ใจเต้นแรงทุกครั้งที่คิดถึงอาการของน้องภูผา เด็กน้อยเริ่มงอแง แต่หญิงสาวก็พยายามพูดปลอบเบาๆ และลูบหลังเขาอย่างอ่อนโยน
“เดียร์ทำไมไม่เปิดไฟ” ภูริเดินเข้ามาในคอนโดที่แสนว่างเปล่า ทุกอย่างเงียบสงบเหมือนไม่มีใครอยู่ ทุกครั้งที่เขากลับจากมหาลัยมักจะเจอเดียร์กับลูกนั่งรอเขาเสมอ
“น้องภูผาปะป๊ากลับมาแล้ว ไปไหนกันหมด” เขายกโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา เพิ่งจะสองทุ่มเองแล้วสองแม่ลูกหายไปไหน
เขาทิ้งตัวนั่งลงที่โชฟาพ่นลมหายใจออกมา รู้สึกมึนศีรษะเพราะเพิ่งดื่มกับเพื่อนมา เขาปิดเปลือกตาลงช้าๆ ก่อนจะผล็อยหลับไป
ช่วงเวลานี้ภูริเริ่มมีชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขาได้พบเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ และได้สัมผัสประสบการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนทั้งงานกลุ่ม การเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ และเรื่องราวสนุกสนานที่ทำให้เขาหลงลืมเวลา
ผลลัพธ์คือเขากลับบ้านช้ากว่าปกติ และแทบไม่เคยทักทายเดียร์หรือพูดคุยอย่างจริงจังเหมือนเมื่อก่อน เดียร์เองพยายามติดต่อเขาอยู่เสมอส่งข้อความโทรหา แต่ทุกครั้งก็ได้รับคำตอบเดิมๆ
‘เรียนอยู่ครับ ไม่ว่าง’
‘ทำงานกลุ่มอยู่ เดี๋ยวค่อยคุยกัน’
แม้ว่าเธอพยายามเข้าใจเหตุผล และพยายามให้เวลาเขาได้ปรับตัว แต่หัวใจเล็กๆ ของเธอก็อดรู้สึกน้อยใจไม่ได้บางคืนเธอนั่งกอดน้องภูผาอยู่บนโซฟา มือเล็กๆ ของลูกพาดลงบนแขนเธอ เดียร์ถอนหายใจเบาๆ พลางคิดในใจว่า
“พี่ภูคงยุ่งจริงๆ แต่ทำไมมันยังเจ็บใจแบบนี้นะ”
ความพยายามที่จะเข้าใจผสมปนไปกับความเหงา เดียร์เริ่มตระหนักว่าแม้เธอจะรักภูริและเข้าใจเขา แต่หัวใจของคนเป็นแม่และเมียก็ยังต้องการความใกล้ชิด ความอบอุ่น และความเอาใจใส่
ทุกครั้งที่เห็นภูริหัวเราะกับเพื่อนๆ หรือโพสต์กิจกรรมสนุกสนาน เดียร์ก็อดที่จะถอนหายใจและคิดถึงวันที่เขายังให้ความสำคัญกับเธอและลูกมากกว่านี้ไม่ได้
หญิงสาวพาลูกชายตัวน้อยกลับมาถึงคอนโด ความเหน็ดเหนื่อยจากการพาเขาไปหาหมอยังไม่ทันคลาย ก็พบกับภาพที่ทำให้เธอชะงักภูริกำลังนอนหลับอยู่บนโซฟา ผมยุ่งๆ เสื้อผ้าดูไม่เรียบร้อย กลิ่นเหล้าอ่อนๆ ลอยมาปะทะจมูก
หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะก้มลงอุ้มลูกชายที่เริ่มง่วงนอนขึ้นมาแนบอก เด็กน้อยพยายามขยับตัว แต่เธอก็ปลอบเบาๆ
“แม่พาไปนอนนะ”
เธอเดินตรงไปยังห้องนอน เตรียมผ้าปูที่นอนและกล่อมน้องภูผาให้นอนหลับ ขณะเธอกำลังจัดเตียงให้เรียบร้อย เสียงภูริแผ่วๆ ดังขึ้น
“เดียร์พาลูกไปไหนมา!” เขาเสยผมลวกๆ เดินมาหาเธอพร้อมกับทำหน้าหงุดหงิด แต่แทนที่จะตอบเขากลับเงียบใส่อย่างไม่มีเหตุผล
“พี่ถามไม่ได้ยินเหรอ”
“ลูกหลับอยู่มีอะไรไปคุยข้างนอก” เธอหันมาดุเขากลัวว่าลูกจะตื่นมางอแง
“ตอบได้ยังไปไหนมา! งอนอะไรทำไมไม่พูดวะ” เขาเริ่มหงุดหงิดเหมือนคุยอยู่คนเดียว บวกกับดื่มเหล้าไปด้วยทำให้เขาเริ่มขาดสติ
“พี่ไปไหนมาเรียนเสร็จทำไมไม่กลับบ้านมาช่วยเลี้ยงลูก” เธอไม่ตอบคำถามเขา แต่กลับถามเขาคืนด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“เลี้ยงลูก? เดียร์ไม่รู้เหรอว่าเรียนก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว อยู่บ้านไม่ได้ทำอะไรแค่เลี้ยงลูกไม่เห็นเหนื่อยตรงไหนเลย”
“พูดอะไรตัวเองไม่เคยเลี้ยงลูก 24 ชั่วโมงจะมารู้อะไร”
“เหนื่อยมากก็กลับไปอยู่บ้าน! งานก็ไม่ได้ทำจะบ่นอะไรนักหนา” เขาเริ่มพูดจาไม่ดี โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไง
“พี่ภู! เรียนก็เหนื่อยแต่มีเวลาไปกินเหล้าไปเที่ยวกลับบ้านดึก แถมยังทำตัวติดกับผู้หญิงคนนั้นอีก ถามจริงเถอะพี่เหนื่อยหรือเริ่มจะเปลี่ยนใจ”
ตั้งแต่เธอคลอดลูกเขาเริ่มเปลี่ยนไปอะไรที่บอกว่าดีก็ไม่ดีไปทุกอย่าง ไม่เคยเป็นความสบายใจให้เธอได้เลย ตอนนั้นเขากลับบ้านดึกแค่ไหนก็ต้องทักมาบอก แต่ทุกวันนี้ต่อให้กลับบ้านเช้าเธอโทรไปก็ไม่ยอมรับสาย
“กะจะไม่ให้พี่มีเพื่อนเลยหรือไงอยากมีลูกเองก็เลี้ยงเองไปดิ”
“ใครกันแน่ที่อยากมีลูก”
“พี่ก็ไม่ได้อยากมีไง แต่มันพลาดเธอเริ่มพูดจาไร้สาระอีกแล้วนะ ประสาทมากก็อยู่คนเดียวไปเลย” เขาตะคอกเสียงดังจนน้องภูผาสะดุ้งร้องไห้ เธอรีบวิ่งเข้าไปปลอบ
เขามองภาพนั้นด้วยความเฉยชาจริงอย่างที่พอเขาพูด อนาคตเขาไปได้อีกไกลแต่ต้องมาติดบ่วง เพราะคำว่าลูกเขาตัดสินใจออกมาจากคอนโด ตอนนี้อยู่ด้วยกันก็มีแต่ทะเลาะกันเปล่าๆ
หญิงสาวนั่งอยู่ข้างเตียงอุ้มลูกชายตัวเล็กที่กำลังงอแงเพราะพิษไข้ มือเล็กๆ ของน้องภูผาตีลงบนตัวเธอ เธอกล่อมเบาๆ พลางลูบหลังเขาอย่างอ่อนโยน
แต่สายตาของเดียร์กลับเหลือบไปมองประตูที่ปิดสนิท เพราะภูริออกไปข้างนอกแล้วอีกครั้ง เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่น้ำตาไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว
“เคยฝันไว้ว่าเราจะอยู่กันอย่างมีความสุขกันทั้งครอบครัว” เธอพร่ำเพ้อกับตัวเอง พลางคิดถึงภาพวันแรกที่ได้พบภูริ ภาพวันที่ทั้งคู่สัญญาจะรักกันและดูแลกัน
แต่พอผ่านไปไม่ถึงสองปี ความฝันนั้นเริ่มเลือนรางภูริเริ่มเปลี่ยนไป ความอบอุ่นที่เคยมีเริ่มห่างไกลเดียร์รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนั้นทุกวัน แต่เธอก็ยังพยายามเข้มแข็ง เพราะมีลูกชายที่ต้องดูแลอยู่ข้างๆ
“แม่จะอยู่กับหนูนะลูก ไม่ว่าพ่อจะเปลี่ยนไปแค่ไหน แม่ก็จะอยู่กับหนูเสมอ” น้ำตาไหลริน เธอซบหน้าลูกชายตัวน้อยพลางกระซิบเบาๆ
ในหัวใจของเธอแม้ว่าฝันเก่าอาจสลายไป แต่ความรักและความรับผิดชอบต่อครอบครัวยังคงเป็นสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน
“แง่ๆๆ” น้องภูผาที่เหมือนจะรับรู้ว่าตอนนี้แม่คงเหนื่อย จึงหยุดร้องและมองหน้าแม่ตาแป๋วพร้อมกับยิ้มบางๆ สองมือกำสาบเสื้อแม่ไว้แน่นเหมือนว่าให้กำลังใจแม่
