CHAPTER 3 ยอมเสียสละ
เสียงนาฬิกาแขวนบนผนังดังเป็นจังหวะราวกับเร่งเร้าให้บรรยากาศในห้องรับแขกเงียบสงัดยิ่งขึ้น ประมุขของบ้านนั่งหน้าเคร่งขรึม ทุกสายตาจับจ้องมายังชายหนุ่มเจ้าของบ้านที่ยืนนิ่งอยู่กลางห้อง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและลังเล
“มีอะไรภูริถึงได้รีบร้อน” น้ำเสียงเข้มของผู้เป็นพ่อเอ่ยถาม ทำให้หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น
“ผมมีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกกับทุกคน”
“พูดมาสิปู่รอฟังอยู่” พิชิตซึ่งเป็นของภูริจ้องหน้าหลานชายคนเดียว คนที่ผ่านร้อนผ่านมาหนาวมาก่อนรู้ว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่
ภูริดันสูดหายใจเข้าลึกพยายามรวบรวมความกล้า เสียงสั่นพร่าเล็ดลอดออกมา เขากำมือแน่นจนสั่นก่อนจะหลุบตามองต่ำ
“ผมทำเดียร์ท้อง”
ทันทีที่คำพูดหลุดออกมา ความเงียบกลับกลายเป็นเสียงฮือฮา ทุกคนเบิกตากว้างราวกับไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“อะไรนะภูริเดียร์นี่ใช่เด็กในบ้านเรามั้ย” ผู้เป็นพ่ออุทานด้วยความตกใจ ดวงตาเต็มไปด้วยทั้งความสับสนและผิดหวัง
“ใช่ครับ ความจริงแล้วผมกับเดียร์เราแอบคบหากันมาเกือบสองปีแล้วครับ” แต่ภูริดันยังไม่หยุด เขากัดฟันเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
บรรยากาศในห้องถึงกับเย็นยะเยือกลงทันตา ทุกคนเงียบกริบราวกับไม่มีใครกล้าขยับ เสียงหายใจของแต่ละคนดังชัดเจนขึ้นอย่างประหลาด ความตกใจและความอึ้งงันปะปนไปทั่วใบหน้า
“แกรู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา ลูกสาวป้าดาอายุยังไม่พ้น 18 เลยแกจะถูกข้อหาพรากผู้เยาว์เอานะไอ้ภู แกเองอายุเท่าไหร่มีปัญญาเลี้ยงลูกเองแล้วเหรอ” แววตาของผู้พชรคมกริบ ทั้งตกใจบวกกับสิ่งที่รับรู้มาหากอีกฝ่ายเอาเรื่อง ลูกชายเขาคงไปนอนอยู่ในคุก
“แล้วป๊าจะให้ผมไปนอนคุกเหรอครับ ป๊าไม่ถามหน่อยเหรอว่าผมจะรับผิดชอบยังไง” เขาดันมองสบตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและสิ้นทางถอย
“แล้วแกจะรับผิดชอบยังไงไหนพูดมาสิ”
“เด็กในท้องก็เป็นหลานของป๊านะ ป๊าจะยอมให้เขาจับผมเข้าคุกลูกกำพร้าพ่อพอดี” เขาเถียงตามสไตล์เด็กดื้อรั้นไม่ยอมใครง่ายๆ
“ไอ้ภู! แล้วทำไมไม่รู้จักป้องกัน”
“เลิกเถียงกันได้แล้ว! ไปตามเด็กมา” ประมุขของบ้านนั่งหน้าเครียด แบบนี้อนาคตของเด็กทั้งสองคนอาจจะพังลงในพริบตา รับผิดชอบตัวเองยังไม่ดีพอแล้วไหนจะลูกที่กำลังจะเกิดมาอีก
เดียร์นั่งตัวเล็กอยู่บนพื้นข้างเก้าอี้ ดวงตาแดงก่ำ น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย ข้างๆ กันคือผู้เป็นแม่ที่ยังไม่เข้าใจว่าลูกสาวถูกเรียกมาที่นี่เพื่อเรื่องอะไร
ก่อนที่จะเอ่ยปากถาม เสียงเข้มของพชรผู้เป็นพ่อของภูริดันก็ดังขึ้นแทบจะฟาดกลางวงสนทนา
“ไอ้ภูมันทำหนูเดียร์ท้อง”
คำพูดนั้นราวกับสายฟ้าฟาดกลางใจ ทุกคนในห้องเงียบกริบ ก่อนที่ป้าดาจะเบิกตากว้าง หันขวับมามองลูกสาวทันที
“อะไรนะ!?” น้ำเสียงสั่นเครือของเธอเปล่งออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกมานอกอก มือไม้เย็นเฉียบ
“เดียร์มันจริงเหรอลูก แม่ถามว่ามันจริงหรือเปล่า!” ดาทองหันไปคว้าต้นแขนลูกสาวที่นั่งก้มหน้าน้ำตาร่วงพราก
“แม่หนูขอโทษค่ะ” เดียร์ไม่กล้าเงยหน้ามองแม่ ได้แต่สะอื้นไห้ เสียงขาดห้วงตอบกลับมาเบาแผ่วแทบไม่เป็นคำพูด
ดาทองถึงกับชะงักร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน น้ำตาคลอเบ้าอย่างห้ามไม่อยู่ เธอหันไปมองภูริดันที่นั่งนิ่งหน้าซีด สายตาเต็มไปด้วยทั้งความโกรธความเสียใจ และความผิดหวังปะปนกัน
“นายน้อยทำจริงๆ เหรอคะ” เสียงตวาดดังสะท้อนก้องไปทั่วห้อง
“คุกเข่าลงไปกราบขอโทษซะ” พชรสั่งเสียงเข้ม
“ผมขอโทษครับ ผมผิดไปแล้วป้าดาอย่าเอาผมเข้าคุกเลยนะครับ แล้วเดียร์กับลูกจะอยู่ยังไง” ภูริค่อยๆ นั่งคุกเข่าต่อหน้าแม่ของเดียร์พร้อมกับพนมมือไหว้ผู้ใหญ่
“เรื่องมันเกิดขึ้นแล้วป้าดาจะเอายังไงว่ามาเลย” พชรเอ่ยเสียงเรียบ เขาไม่อยากให้อนาคตของลูกชายพังไปเหมือนกัน
“ทั้งสองคนยังเด็กอนาคตยังไปได้อีกไกล อีกอย่างภูริต้องขึ้นมาดูงานแทนผมจะให้ใครรู้เรื่องนี้ไม่ได้”
“คุณท่านจะบอกให้เดียร์ไปเอาลูกออกเหรอคะ” ดาทองสวนกลับขึ้นมา พร้อมมองพชรอย่างผิดหวังที่คิดแบบนั้น
เดียร์นั่งตัวสั่นเทามืออีกข้างกุมท้องตัวเองไว้ ไม่กล้าแม้จะมองสบตาเขา ความรู้สึกสับสนไปหมดทุกอย่าง ถึงแม้จะยังเด็กแต่การทำลายอีกหนึ่งชีวิตเธอยอมไม่ได้เช่นกัน
“ป๊าทำไมพูดแบบนี้ละ” ภูริไม่คิดว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ เขามองคนตัวเล็กที่นั่งตัวสั่นเทาอยู่ไม่ห่าง
“ก็จริงถ้าในอนาคตไปกันไม่รอดแล้วเด็กล่ะ ผู้ใหญ่คนอื่นจะมองหน้าแกยังไง”
“ผู้ใหญ่นี่ใครเหรอครับ ไม่ใช่เพราะป๊าหน้าบางแคร์คนอื่นมากกว่าลูกตัวเองเหรอ”
“ไอ้ภู! ฉันเป็นพ่อแกนะ”
“เลิกเถียงกันได้แล้ว! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วยังไงเด็กในท้องก็เป็นทายาทคนหนึ่ง”
ด้วยความที่ปู่ของภูริเป็นคนไม่ชอบเห็นความไม่ยุติธรรมหรือการถูกเอาเปรียบ ทั้งเขายังไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรถ้าภูริและเดียร์จะรักกัน ส่วนอนาคตก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคต สุดท้ายหากไปกันไม่รอดก็สุดแล้วแต่กรรมใครกรรมมัน
“ฉันจะจัดงานแต่งให้เองส่วนเรื่องสินสอดก็เรียกมาได้ จะอยู่กันรอดหรือไม่รอดก็เป็นเรื่องของคนสองคน” พิชิตเอ่ยเสียงเรียบ การพูดคุยกันวันนี้ถือว่าเป็นการสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้
พิธีแต่งงานของภูริและเดียร์ผ่านพ้นไปอย่างเรียบง่ายตามความเห็นชอบของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ญาติพี่น้องมากันพร้อมหน้า เสียงหัวเราะและคำอวยพรคลอเคล้าไปกับบรรยากาศอบอุ่น แต่ภายใต้ความยินดีนั้นยังคงมีแววตาเศร้าซ่อนอยู่ของผู้เป็นแม่
ดาทองยืนมองลูกสาวในชุดเจ้าสาวอย่างซึ้งใจความรู้สึกทั้งภูมิใจและเจ็บปวดตีตลบกันในอก แม้จะไม่ได้เรียกร้องค่าสินสอดใดๆ แต่ปู่ของภูริกลับยืนกรานหนักแน่น
“แต่งทั้งทีก็ต้องมีสินสอดเก็บเอาไว้ให้ตั้งตัว ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่จะให้ผู้หญิงเดินเข้าบ้านเราเปล่าๆ” ท่านเอ่ยพลางวางซองเงินก้อนโตลงตรงหน้า
ดาทองมองเงินก้อนนั้นด้วยความลังเลใจ สุดท้ายก็ยอมรับเอาไว้ด้วยเหตุผลที่ไม่ใช่ความโลภ แต่เป็นเพราะเห็นแก่ลูกสาวที่กำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่
ไม่กี่วันต่อมาหลังงานแต่งสิ้นสุดลง ดาทองตัดสินใจเก็บกระเป๋าและเดินทางกลับต่างจังหวัด บ้านเก่าที่มีเพียงพ่อชรารอคอยการดูแลยังคงอยู่ที่นั่น เธอเลือกจะกลับไปอยู่ถาวร เพราะเชื่อว่าลูกสาวที่วันนี้มีครอบครัวมั่นคงแล้ว คงไม่จำเป็นต้องกังวลหรือห่วงหาเธอมากเหมือนก่อน
บนรถทัวร์ที่กำลังแล่นออกจากกรุงเทพฯ น้ำตาของผู้เป็นแม่ไหลเงียบๆ เธอพยายามบอกตัวเองว่า นี่คือความสุขของลูก ลูกสาวได้อยู่อย่างสุขสบายไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องลำบากเหมือนเธออีกต่อไป
ระหว่างทางกลับบ้านเดียร์ยังคงสะอื้นเบาๆ น้ำตาไหลเป็นระยะ แม้เธอจะพยายามกลั้นแต่ก็ไม่อาจซ่อนความรู้สึกได้
ภูริหันมามองด้วยแววตาอ่อนโยน มือใหญ่ยกขึ้นเช็ดน้ำตาที่แก้มเธออย่างเบามือ ก่อนจะเอ่ยสัญญาเสียงทุ้มหนักแน่น
“เดียร์ตั้งแต่นี้ไป พี่จะไม่ปล่อยให้เดียร์รู้สึกเหงาอีกแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพี่จะอยู่ข้างๆ เสมอ”
“เดียร์เป็นห่วงแม่”
“ไม่ต้องห่วงหรอก” เขายื่นมือมาเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ
“พี่สัญญาว่าจะรักเดียร์กับลูกให้มากที่สุด ให้สมกับที่เดียร์ยอมอยู่เคียงข้างพี่ เดียร์จะไม่มีวันถูกทอดทิ้ง” เขากุมมือเธอแน่นขึ้น
ดวงตาของหญิงสาวสั่นไหวเมื่อสบกับสายตาเต็มไปด้วยความรักและความมั่นคงของเขา ความอบอุ่นจากคำพูดนั้นค่อยๆ ลบเลือนความเจ็บปวดในใจเธอยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเชื่อมั่น
“เดียร์เชื่อพี่ภู”
“ดีมากเด็กดี” ภูริดึงเธอเข้ามากอดแนบอกแน่น
เดียร์ซบอยู่ในอ้อมกอดเขาอย่างสบายใจความหวั่นไหวค่อยๆ คลายลง กลายเป็นความมั่นใจว่าต่อจากนี้ เธอและลูกจะมีครอบครัวที่อบอุ่นจริงๆ
“เรื่องเรียนคลอดลูกแล้วค่อยกลับไปเรียนต่อก็ได้”
“เดียร์อยากเลี้ยงลูกเอง เดียร์ยอมเหนื่อยคนเดียวอยากให้พี่ภูไปมีอนาคต เดียร์กับลูกจะคอยมองอยู่ตรงนี้เสมอ” ชีวิตเขาต้องได้ไปต่อส่วนเธอกับลูกจะไม่กวนใจของเขา ภูริควรมีสังคมของเขาไม่ใช่มาจมปลักกับเธอ
“เรียนคลาสพิเศษก็ได้นี่ไม่เห็นต้องทิ้งอนาคตตัวเองเลย” เขาอยากให้เดียร์เรียนให้จบวันข้างหน้าหากเกิดอะไรขึ้น หญิงสาวจะได้ไม่ต้องลำบาก
“รอคลอดลูกก่อนเดียร์จะคิดอีกที” ชีวิตนี้คงรักใครไม่ได้อีกนอกจากเขาคนเดียว เลยคิดจะฝากฝังชีวิตไว้กับเขาเพียงคนเดียว รักกันขนาดนี้เขาไม่กล้าทิ้งเธอไปหรอกเธอเชื่อแบบนั้น
