บท
ตั้งค่า

8. แอบมีใจให้

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เสียงกระทะกระทบกับทัพพีดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับคำก่นด่าของมนุษย์ตัวน้อยในป่าหิมพานต์ ทั้งเจ็บใจและเหนื่อยล้ากับเรื่องราวที่ตนเองถูกทำร้าย…?

“ไอ้ท่านอคินธิษณ์ ไอ้นาคนิสัยไม่ดี นี่ นี่ เจ็บใจๆ” มือเล็กซัดทัพพีลงกระทะด้วยแรงอารมณ์ที่มี เมื่อคืนเขานอนปวดเนื้อปวดตัวไปหมด เช้าวันนี้ก็ยังต้องรีบไปทำงานอีก ครั้นจะไม่ไปก็เสียดายค่าจ้าง และไม่อยากถูกค่อนแคะว่าหนักไม่เอา เบาไม่สู้

“น้องพี่ทำสิ่งใดหรือ เหตุใดจึงเสียงดังไปถึงหน้าเรือนเช่นนี้”

“ข้าทำผัดเปรี้ยวหวานขอรับ เอ่อ เป็นอาหารที่ข้าชอบทานตอนที่อยู่โลกมนุษย์ขอรับ” เมื่อนึกได้ว่าพี่ชายคงไม่รู้จัก จึงเอ่ยอธิบายออกไป

“อ่อ แต่พี่ได้ยินเหมือนเสียงบ่น”

“ขอรับ! ข้าบ่นเจ้านายไร้จิตเมตตา ใช้งานข้าจนปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว ซ้ำร้ายยังบอกว่าต้องทำงานครบห้าวันจึงจะจ่ายค่าจ้าง ฮึ่ย!!!” สีหน้างอของน้องชายสร้างรอยยิ้มเอ็นดูให้ปัญฐกะ มากกว่าที่จะรู้สึกสงสาร เพราะเขารู้ดีว่าสหายของเขามิใช่คนใจไม้ไส้ระกำ อย่างมากก็คงจะแกล้ง หยอกเล่นตามประสา

“เจ้าอย่าได้โกรธท่านอคินธิษณ์เลย เขามีนิสัยชอบหยอกล้ออยู่เป็นนิจ”

“มีนิสัยขี้แกล้ง ยิ่งต้องโกรธขอรับ”

“ที่เขาแกล้ง เพราะต้องการเรียกร้องความสนใจเท่านั้น เขาเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กๆ ด้วยเพราะมารดาเสียไป บิดาเองก็มีครอบครัวใหม่ จึงได้ทำตัวเป็นเด็กเกเร ชอบแกล้งผู้อื่น เพราะอยากให้ท่านพญานาคราชหันมาสนใจตนบ้างก็เท่านั้น แต่แท้จริงแล้วเขาก็จิตใจดี”

ดังนั้นอคินธิษณ์จึงมีเพียงปัญฐกะที่เป็นสหาย คนอื่นต่างก็พยายามหนีห่าง ซ้ำร้ายยังไปเล่นกับท่านกฤษฎิเชษฐ์เสียหมด

“…ขะ ข้าก็มิได้โกรธถึงเพียงนั้นขอรับ” ฟังเท่านี้กษมาก็เข้าใจ ความเกรี้ยวโกรธเมื่อครู่เริ่มจางหายไป แทนที่ด้วยความสงสาร

แต่ก็แค่นิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้สงสารมาก

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เจ้าเร่งมือเข้าเถิด จะได้ไปทำงานพร้อมกับพี่”

“ขอรับ”

ร่างเล็กหอบข้าวของพะรุงพะรัง เดินตามพี่ชายเข้ามาในเรือนของอคินธิษณ์ เป็นภาพที่ไม่ว่าบริวารตนใดก็ต้องหันมอง ขนาดเจ้าของเรือนเองยังเอ่ยทัก

“ปัญฐกะ เจ้าพาพวกหาบของขายมาด้วยหรือ” มุมปากหยักยกสูงขึ้น ดวงตาเปล่งประกายอย่างขบขัน ที่เห็นปากเล็กขมุบขมิบราวกับกำลังก่นบ่นเขา

“หึๆ วันนี้ท่านจะออกไปดูการประลองหรือไม่”

“ข้าไป แต่จะไปช่วงเย็น เพราะจะได้ช่วยดูความเรียบร้อยด้วย”

“เช่นนั้นข้าจะอยู่ช่วยกษมา ระหว่างรอไปงานประลองกับท่าน” งานประลองที่ว่า เป็นเพียงการแข่งขันต่อสู้เพื่อความสนุกสนานเท่านั้น แต่อย่างที่รู้ๆ กัน มากคนก็มากความ ที่ใดมีฝูงชน ย่อมมีความเสี่ยงจะเกิดเรื่องได้ทั้งนั้น

ในฐานะที่ลานประลองนั้น จัดอยู่ในอาณาเขตที่เผ่าพันธุ์นาคดูแล พวกเขาจึงต้องไปดูแลด้วย และก็ถือเป็นหน้าที่รับผิดชอบของอคินธิษณ์โดยตรง เพราะผู้เป็นบิดามอบหมายให้

“อืม…ช่วงนี้เจ้าไม่ค่อยได้เจอนิลกาลใช่หรือไม่ ไปหาเขาสิ ถือเสียว่าวันนี้เป็นวันพักผ่อน”

“ตะ แต่กษมา”

“น้องชายเจ้าก็เคยมาที่เรือนข้าแล้ว เขาเข้าได้กับนาคทุกตน เจ้ามิต้องเป็นห่วงไปดอก”

“…” ปัญฐกะมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของสหาย พลางคิดว่าเขามิได้กังวลว่ากษมาจะเข้ากับผู้อื่นมิได้ ผู้เดียวที่กษมาจะบึ้งตึงใส่ คงมีเพียงนาคหนุ่มเจ้าของเรือนเท่านั้น

“จริงขอรับ พี่ปัญฐกะไปหาพี่นิลกาลเถิดขอรับ” กษมาจำใจต้องเออออไปกับอคินธิษณ์ เพราะเขาเองก็อยากให้พี่ชายมีเวลาดูแลคนรักบ้าง

“เช่นนั้นข้าฝากด้วย” อคินธิษณ์พยักหน้าตอบรับสหาย รอจนปัญฐกะเดินออกไป จึงได้หันมามองเด็กหนุ่มที่หอบหิ้วข้าวของเต็มไม้เต็มมือ

“ว่าแต่เจ้าเอาอันใดมามากมาย”

“ข้าทำผลไม้ดองเอาไว้ เลยเอามาแบ่งทุกคน” ว่าแล้วก็สะบัดหน้าเล็กน้อย มือเล็กยื่นผลไม้ดองที่เตรียมมา ให้เจ้าของเรือนด้วยใบหน้างอ

“หึ เป็นอันใด เจ้าเป็นบริวาร สมควรปั้นปึ่งใส่ข้าเช่นนี้หรือ”

“อึก นะ นี่ผลไม้ดองที่ข้าทำเอง นำมาแบ่งให้ท่าน” กษมากลืนน้ำลายอึกใหญ่ ที่จริงก็ไม่สมควรที่เขาจะโกรธนายจ้าง จนแสดงท่าทีไม่เหมาะออกมา เด็กหนุ่มจึงเปลี่ยนน้ำเสียงและสีหน้าของตนทันที

“ขอบใจ อยากได้สิ่งใดตอบแทนเล่า” มือหนารับห่อใบตองมา พร้อมกับเอ่ยถาม

“ไม่มีขอรับ ข้าทำไว้มากเกินไป ทานไม่หมด จึงเอามาแบ่ง”

“งั้นหรือ” อคินธิษณ์มองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าแปลกใจ ภายในอกรู้สึกคันยุบยิบ จนต้องกระแอมไอออกมา พลางทุบอกของตนเองเบาๆ

เขาไม่เคยได้รับของจากผู้ใดมาก่อน ส่วนมากก็มีแต่คนที่นำของมาติดสินบน เพื่อแลกกับความต้องการบางอย่าง แต่กษมากลับไม่ได้เอ่ยขอ ทั้งพอให้เขาแล้ว ก็หันไปแบ่งให้ตะขบต่อ สมแล้วที่เป็นน้องชายปัญฐกะ

“ตะขบ เจ้าก็เอาไปทานด้วย รสดีมากเลยนะ”

“จริงหรือขอรับ”

“จริงสิ ส่วนที่เหลือนี่ ข้าจะนำไปให้พวกบริวารด้านนอก”

“ให้ตะขบเอาไป ส่วนเจ้ามาลองทานให้ข้าดู เผื่อว่าเจ้าใส่พิษลงไป” กษมาที่กำลังจะออกจากห้องโถง เป็นอันต้องหยุด แล้วยื่นห่อผลไม้เหล่านั้นให้ตะขบไป

“ท่านเป็นถึงนาคาผู้สูงศักดิ์ ตรวจสอบพิษมิได้หรืออย่างไร”

“ปากมากเสียจริง มาทานให้ข้าดูประเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นข้าจะถือว่าเจ้าตั้งใจทำร้ายข้า แล้วจะให้ทหารมาลากตัวไปขังคุก”

“ฮึ่ย! ข้าไม่ได้ใส่พิษ” ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็แกะห่อ แล้วหยิบผลไม้ที่ดองไว้มาทานให้อีกฝ่ายดู ทั้งยังทานเพลินจนผลไม้ในห่อหายไปหลายชิ้น

“พอๆ ข้าให้ชิมทดสอบพิษ มิได้ให้เจ้าทาน เปลี่ยนมานวดให้ข้า”

“เจ้าค่ะนายท่าน” กษมาแสร้งตอบรับเสียงอ่อนเสียงหวาน เลียนแบบนาคีสาว ก่อนจะอ้อมไปนั่งด้านหลังคนตัวโต ที่ตะแคงข้างพิงหมอน

ยังดีที่ท่านอคินธิษณ์มิได้อยู่ในร่างของนาค มิเช่นนั้นต่อให้เขาขึ้นกระทืบบนลำตัว อีกฝ่ายก็คงยังไม่รู้สึก

“อื้อ ดี กดลงมาแรงๆ” เจ้าของเรือนพึมพำออกมาอย่างพอใจ ตาก็อ่านม้วนตำรา พลางหยิบผลไม้ดองขึ้นมาทานเล่นไปด้วย สุขกายสบายใจจนกษมานึกอิจฉา

พอนวดไปนวดมา แทนที่คนโดนนวดจะผ่อนคลายจนเคลิ้มหลับ กลับเป็นคนนวดที่บัดนี้นั่งสัปหงกไปมา

อคินธิษณ์หันกลับไปดูก็อดหัวเราะไม่ได้ นั่งหลับไม่พอ เจ้าเด็กนี่ยังอ้าปากหวอ นาคาหนุ่มกำลังจะหันกลับมาสนใจตำรา อยู่ๆ ก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

จุ๊บ!

คนตัวเล็กเอนตัวลงมา จนใบหน้าของทั้งสองแนบชิดกัน ริมฝีปากเล็กประทับลงมุมปากหยัก แต่เพียงชั่วครู่กษมาก็ได้สติแล้วรีบผละออกจากนาคหนุ่มทันที

“ขะ ขออภัยขอรับ”

“นะ นี่เจ้าฉวยโอกาสลวนลามข้าหรือ”

“มิใช่นะขอรับ” กษมาปฏิเสธ พลางรีบลุกขึ้น ถอยห่างจากอีกฝ่ายด้วยความร้อนรน

“โอ๊ย!” / “เฮ้ย” ขาเรียวเกี่ยวพันกัน จนพลาดพลั้งสะดุดล้มลงไป คร่อมทับตัวของอคินธิษณ์ที่นอนอยู่ ไม่เพียงเท่านั้น ปมของโจงกระเบนที่กษมาผูกด้วยความเร่งรีบเมื่อเช้า ยังคลายออก หลุดลงมากองหมิ่นเหม่อยู่ที่สะโพกขาว

“เกิดสิ่งใดขึ้นขอรับ มีคนร้ายหรือ” เหล่านาคีนาคาที่ได้ยินเสียงร้องของผู้เป็นนาย รีบผละประตูเข้ามากันพร้อมหน้าทั้งชายหญิง เตรียมจะต่อสู้เสียเต็มกำลัง

ทว่าภาพที่เห็นตรงหน้า คงมิได้เป็นการลอบทำร้ายกระมัง นายของพวกเขานอนหงาย เอนกายพิงหมอน มือทั้งสองจับเอวคอดของกษมาที่นั่งทับอยู่บนตัว ทั้งเครื่องแต่งกายของคนด้านบนยังหลุดลุ่ย

พรึบ! อคินธิษณ์พลิกกายให้กษมานอนลงราบกับแท่นหิน ก่อนที่เขาจะตะแคงข้างบดบังร่างขาวเอาไว้

“มิมีอันใด เกิดอุบัติเหตุขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น พวกเจ้าออกไปเถิด”

“ขอรับ” / “เจ้าค่ะ”

ไม่นานเสียงปิดประตูก็ดังขึ้น แต่เจ้าตัวยุ่งยังคงมุดหน้าลงกับอกของเขา พร้อมกับส่งเสียงอู้อี้ในลำคอ ราวกับเขินอาย อคินธิษณ์เห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น

มิใช่ว่าเรื่องที่เขาคาดเดาไว้ เป็นจริงดอกหนา

หากลองนึกย้อนกลับไป ตั้งแต่วันที่กษมาไปพบเขากับกินรีกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกัน จะเอ่ยว่าบังเอิญก็เป็นไปได้ แต่หากคิดในทางกลับกัน ถ้าหากวันนั้นกษมาเห็นเขาแล้วตามมา ตั้งใจจะไปขัดขวางไม่ให้เขาได้ใกล้ชิดกับสตรีอื่น คิดเช่นนี้ก็เป็นไปได้มิใช่หรือ

แล้วคนไม่ได้รัก ไม่ได้ชอบกัน จะยอมครวญครางเสียงหวานให้อีกฝ่ายสำเร็จความใคร่หรือ ไหนจะเรื่องเมื่อวานที่กษมาขัดตัวให้เขาโดยไม่อิดออด ชมว่าเขาหล่อเหลา มาวันนี้ก็ให้ของฝากกับเขาเป็นคนแรก เมื่อครู่ก็แสร้งหลับเพื่ออยากจุมพิตเขา ทั้งยังล้มทับเขาอีก

เท่านี้ก็ชัดเจนแล้วกระมัง

คิดได้ดังนั้น อคินธิษณ์ก็อดภูมิใจในตนเองมิได้ ริมฝีปากผุดยิ้มกว้างขึ้นมาจนหุบไม่ลง เสน่ห์ของเขาช่างร้ายกาจเสียจริง แต่ถึงอย่างนั้นกษมาก็เป็นน้องของปัญฐกะ เขาคงสนองความต้องการให้มิได้

“กษมา ลุกขึ้นมาเถิด พวกเขาไปกันหมดแล้ว”

“ขะ ขอรับ” กษมาลุกขึ้นนั่ง พลางรวบผ้ามาผูกเป็นโจงกระเบนใหม่ ให้แน่นกว่าเดิม ระหว่างนั้นปากเล็กก็เบะออก เพราะขายหน้ากับเรื่องที่เกิดขึ้น ป่านนี้ทุกคนคงคิดว่า เขาเป็นบริวารรับใช้บนเตียงไปแล้วแน่ๆ

ฮื่อ~ ไหนจะเรื่องโจงกระเบนหลุดอีก ตายๆ ทุกคนจะเห็นตูดดำๆ ของเขาไหมนะ

“มิต้องเขินอายไปดอก ไม่ว่าผู้ใดก็ทำเช่นนี้”

“…ขอรับ?”

“เหล่านาคีที่ต้องการถวายตัว ต่างก็แก้ผ้าเข้ามาหาข้ากันทั้งนั้น เจ้ามิต้องอายไปดอก”

“ไม่ใช่นะขอรับ!”

“เอาเถิดๆ ข้ารู้ว่าเสน่ห์ของข้านั้น เกินกว่าที่เจ้าจะต้านทานไหว แต่อย่างไรข้าคงต้องปฏิเสธ เพราะเจ้าเป็นน้องชายของปัญฐกะ ก็ถือเป็นน้องชายของข้าด้วยเช่นกัน”

“…” กษมาอ้าปากค้าง ตกใจกับความช่างคิดช่างจินตนาการของอีกฝ่าย

“อีกอย่าง ข้ามิได้ชอบพอบุรุษด้วยกัน ข้าชอบ อืม ชอบสรีระของสตรีมากกว่า หน้าอกเจ้าแบนไปหน่อย ก้นก็ด้วย” มือใหญ่ยกขึ้นมาลูบศีรษะเล็กหวังปลอบโยน แม้จะสงสาร แต่เขาก็ต้องตัดใจ เพื่อมิให้กระทบต่อความสัมพันธ์ของเขาและปัญฐกะ

นี่แหละหนา ข้อเสียของผู้ที่มีรูปลักษณ์หล่อเหลา จะตัดสินใจอย่างไรก็มีคนต้องเจ็บช้ำ

“ท่านอคินได้ไปหาหมอบ้างหรือไม่ ที่นี่มีหมอประสาทไหม”

“นี่เจ้าเจ็บปวดใจจากข้า ถึงขั้นต้องหาหมอมารักษาเลยหรือ”

“ข้าจะให้ท่านไปรักษาต่างหาก ข้ามิได้ชอบท่านเสียหน่อย!” กษมาเถียงคอเป็นเอ็น ในตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความโกรธที่ถูกว่าก้นแบน หน้าอกแบน

บุรุษทั่วไป หากถูกว่าเช่นนี้ก็คงจะไม่โกรธ แต่เขาที่เคยโดนคนรักเก่าสมัยเรียนมัธยมบอกเลิกด้วยเหตุผลพวกนี้ จึงรู้สึกโมโหทุกทีที่ถูกจี้ปม ไอ้บ้านั่นพูดเหมือนท่านอคินธิษณ์ไม่มีผิดเพี้ยน!

“อย่าเสียใจไปเลย ข้าตอบรับเจ้าไม่ได้จริงๆ แม้ว่าเจ้าจะร้องไห้ออกมา ข้าก็ไม่ใจอ่อน”

“โอ๊ย! ก็บอกว่าไม่ได้ชอบไง ไม่ได้ชอบ ไม่ได้ชอบ!” ว่าแล้วกษมาก็เดินสะบัดออกไปอย่างเสียอารมณ์ ทิ้งให้อคินธิษณ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่

เด็กหนอเด็ก นี่คงปฏิเสธเพื่อกลบเกลื่อนความเสียใจสิหนา

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel