6. ผู้มีจิตเมตตา
“กษมา หลานอยู่ที่นี่หรือไม่”
“สะ เสียงท่านปู่ แย่แล้วๆ” กษมาหันมองซ้ายมองขวาก็ไม่พบที่ซ่อน จึงตัดสินใจกระโดดลงไปในน้ำ ทั้งยังดึงตัวท่านอคินธิษณ์ให้ดำลงไปใต้น้ำด้วยกันอีก
“เจ้าทำอันใดของเจ้า”
“ท่านปู่มา ท่านรีบซ่อนตัวเร็วเข้า ดำลงมาใต้น้ำ” ท่าทีร้อนรนของอีกฝ่ายยิ่งทำให้อคินธิษณ์มึนงง
“ท่านอาวุโสมาแล้วอย่างไร เหตุใดเราต้องซ่อนตัวด้วยเล่า”
“อะ เอ่อ นั่นสิ ทำไมต้องซ่อน”
“และอีกอย่าง แม้เจ้ากับข้าจะดำลงไปใต้น้ำ ท่านอาวุโสก็เห็นอยู่ดี เพราะบริเวณนี้น้ำไม่ลึก ทั้งยังใสจนสามารถมองเห็นใต้น้ำอย่างชัดเจน” ชายหนุ่มยกมือขึ้นเสยผมที่ปรกหน้า พลางทำหน้าเบื่อหน่าย
ให้เขาอยู่กับเจ้าเด็กนี่ทั้งวัน คงได้อกแตกตายกับความมึนๆ งงๆ ของอีกฝ่ายเป็นแน่
“หลานมาอยู่นี่เอง ท่านอคินธิษณ์ก็อยู่ด้วยหรือ”
“ท่านอาวุโส” อคินธิษณ์ค้อมศีรษะเคารพอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม
“ท่านปู่มาตามข้ากลับแล้วหรือขอรับ ขะ ข้ากำลังเล่นน้ำสนุกเลย แหะๆ”
“ปู่จะนำเรื่องที่พูดคุยกับผู้อาวุโสเผ่าอื่น ไปปรึกษาท่านพญานาคราชเสียหน่อย จึงมารับเจ้ากลับ วันหลังค่อยให้พี่เจ้าพามาอีก” กษมาได้ยินดังนั้นก็รีบขึ้นจากน้ำ ไม่งอแงขอเล่นต่อ เพราะอยู่ไปก็รังแต่จะถูกนาคหนุ่มกลั่นแกล้ง สู้กลับไปนอนตีพุงอยู่ในเรือนจะดีกว่า
“เช่นนั้นเราไปกันเถิดขอรับท่านปู่ ข้าลาขอรับท่านอคินธิษณ์” ร่ำลากันแล้ว สองปู่หลานก็ออกจากสระอโนดาตทันที โดยไม่ลืมแวะซื้อผลหมากรากไม้ และพืชผักมาใช้ทำอาหารด้วย กษมาจะได้ไม่ต้องออกไปทานอาหารด้านนอกบ่อยนัก
นานหลายสิบวัน ที่กษมาได้เข้ามาอยู่ในป่าหิมพานต์แห่งนี้ การใช้ชีวิตที่นี่ก็เป็นไปอย่างเรียบง่าย
ตื่นเช้ามาทำอาหาร ปัดกวาดเช็ดถูเรือน ส่งพี่ชายไปทำงาน แล้วกลับมานั่งพูดคุยกับท่านปู่ วันใดที่ท่านปู่หรือพี่ชายว่างก็จะพาเขาไปเที่ยวเล่น สำรวจดูสิ่งต่างๆ ในป่าหิมพานต์
ทว่าก็มีสิ่งที่ยากลำบากอยู่บ้าง นั่นคือการไปวังบาดาลของท่านอคินธิษณ์ เพื่อกลบกลิ่นมนุษย์ของเขา
วันทั้งวันจึงต้องขลุกตัวอยู่กับท่านอคินธิษณ์ไม่ให้ห่าง แน่นอนว่าเขาก็ถูกแกล้งทั้งวันเช่นกัน ยังดีที่เจ็ดวันไปครั้งหนึ่งเท่านั้น
“สิ่งนี้คืออันใดหรือ”
“เป็นผลไม้จิ้มกับพริกเกลือขอรับท่านปู่ ข้าทำไว้ทานเล่น และทำเผื่อพี่ปัญฐกะด้วย ท่านปู่ลองชิมดูเถิดขอรับ” อนรรฆชัยยิ้มรับหลานชายคนเล็ก ก่อนจะเด็ดผลไม้มาจิ้ม ตามที่กษมาบอก
“อื้ม รสชาติดียิ่งนัก ผงนี้ก็ตัดเปรี้ยวได้ดี” ชายชราพยักหน้าพอใจ ทั้งยังเด็ดผลไม้ทานแล้วทานอีก ด้วยอิทธิฤทธิ์ที่มี ทำให้ตัวเขาไม่จำเป็นต้องทานอาหาร ท้องก็อิ่มอยู่เสมอ แต่เมื่อได้ลองชิมของทานเล่นที่หลานทำ ปากกลับรู้สึกอยากกินเสียอย่างนั้น
“คิกๆ อย่าทานมากนะขอรับ ประเดี๋ยวจะจู๊ด จู๊ด ฮ่าๆ”
“จู๊ด จู๊ดคือสิ่งใดหรือ”
“ก็ท้องเสียอย่างไรเล่าขอรับ เอ่อ ถ่ายหนักน่ะขอรับ หรือว่าพญานาคชั้นสูงเขาไม่ถ่ายงั้นหรือ”
“เรื่องนั้น-” ยังไม่ทันได้พูดตอบ ก็มีเสียงร้องเรียกดังมาจากหน้าเรือน สองปู่หลานจึงรีบพากันไปดู เพราะน้ำเสียงของผู้มาเยือนนั้นร้องเรียกให้ช่วย
“ท่านอาวุโส อยู่เรือนหรือไม่ขอรับ ช่วยข้าด้วยเถิด”
“อยู่ๆ มีเรื่องทุกข์ร้อนอันใดหรือ” เมื่อเปิดประตูออกไปก็พบกับนาคสีดำตัวใหญ่ จนทำให้กษมาตกใจ รีบมาหลบหลังผู้เป็นปู่ ยังดีที่อีกฝ่ายเข้าใจปฏิกิริยานั้น จึงรีบแปลงกายเป็นร่างมนุษย์
“ข้ามิได้ทานข้าวมาหลายวันแล้วขอรับ จึงอยากมารบกวนท่าน ขะ ขอยืมเหรียญทองไปซื้ออาหารกิน” น้ำเสียงและสีหน้าที่สลดลง ทำเอาคนจิตใจดีอย่างอนรรฆชัยนึกสงสาร
“หากเป็นเหรียญทองข้าคงให้มิได้ เพราะเมื่อเช้าปัญฐกะหยิบถุงเงินติดมือไปด้วย” กษมาเห็นสายตาไม่พอใจของนาคที่มาขอความช่วยเหลือ จึงเข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์มาหลอกลวงท่านปู่ของเขา
“…”
“ถ้าเป็นแหวนทองวงนี่ พอจะใช้ได้หรือไม่เล่า ข้าจะให้เจ้านำไปขาย แล้วเก็บเหรียญทองเหล่านั้นไว้ซื้อกิน ส่วนที่เหลือก็นำกลับมาคืนข้า”
“ดะ ได้ขอรับ ขอบพระคุณท่านมากนัก”
“ไม่ได้ขอรับท่านปู่ ท่านพูดเองว่าแหวนวงนี้เป็นมรดกสืบทอด แล้วจะให้ผู้อื่นได้อย่างไรเล่า” กษมาแย้งขึ้น และนั่นยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าท่านปู่ถูกหลอก เพราะเมื่อเขาเอ่ยประโยคนั้นออกไป นาคาสีดำก็จ้องหน้าเขาเขม็ง ดูก็รู้ว่าไม่พอใจ
“มิเป็นไรดอก อย่างไรก็เป็นเพียงของนอกกายเท่านั้น”
“ท่านปู่เก็บแหวนไว้เถิดขอรับ เรื่องช่วยเหลือคน ให้ข้าเป็นผู้จัดการเถิด” ทั้งอนรรฆชัยและนาคอีกตนต่างก็มองตามหลังกษมาไป รออยู่เพียงไม่นาน เด็กหนุ่มก็กลับมาพร้อมกับใบตองสองสามห่อ
“นี่ของท่าน ข้าเองก็เป็นนาคที่ไม่มีอิทธิฤทธิ์ จึงต้องทำกับข้าวทานเอง อย่างไรท่านก็เอาไปทานเถิด มิได้ทานมาหลายวันแล้วมิใช่หรือ”
“ขะ ข้าวปลาอาหารเท่านี้จะไปพออันใด ขอแหวนทองให้ข้าเถิดขอรับ” นาคาตนนั้นหันไปทำสีหน้าเว้าวอนกับอนรรฆชัย
“มิต้องให้ขอรับท่านปู่ เจ้าลองนำไปทานดูก่อนเถิด หากไม่พอข้าจะแบ่งให้อีก” กษมาหันไปห้ามปู่ ก่อนจะยื่นห่อข้าวให้นาคาตนนั้น แต่มือเล็กกลับถูกปัดอย่างไม่ไยดี จนห่อข้าวตกเกลื่อนเต็มพื้น
“เหอะ ขอเพียงเท่านี้ก็ให้ไม่ได้ ที่เขาว่าเป็นคนดี มีจิตเมตตา คงจะสร้างภาพเท่านั้นกระมัง ฮึ่ย!” ว่าแล้วอีกฝ่ายก็แปลงกายเป็นนาคตัวใหญ่เลื้อยออกไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ไม่ต่างจากกษมาที่ด่าตามหลังไปอย่างไม่นึกกลัว
“หน็อย! เจ้ามันนาคาไร้คุณธรรม ตั้งใจมาหลอกลวงปู่ข้า แล้วยังจะมาด่ากันอีก เจ้าคนใจดำเอ๊ย!” มนุษย์ตัวน้อยเกี้ยวโกรธ หัวฟัดหัวเหวี่ยง
จนปัญฐกะและนิลกาลที่พึ่งมาถึงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในใจพวกเขานึกกลัวว่าจะมีเรื่องอันตรายเกิดขึ้น ยิ่งเห็นกับข้าวกับปลาตกเรี่ยราด ยิ่งร้อนใจเข้าไปใหญ่
“เกิดอันใดขึ้นขอรับท่านปู่…กษมา น้องโกรธผู้ใด”
ปัญฐกะและนิลกาลได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ก็ถอดถอนหายใจอย่างปลงตก พวกเขาพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง จนทำใจไม่ให้โกรธได้แล้ว นิลกาลเองก็เป็นคนจิตใจดี เขาไม่คิดว่าการที่ครอบครัวของคู่รัก มีจิตใจเมตตาจะเป็นเรื่องเดือดร้อน ต่างจากกษมา
“มิได้แล้วนะขอรับ ท่านพี่กับท่านปู่จะต้องหยุดให้ทานกับผู้อื่นได้แล้วนะขอรับ หรือหากต้องการช่วยจริงๆ จะต้องช่วยให้ถูกวิธี มิใช่ให้เขามาแบมือขอกินเช่นนี้” เด็กหนุ่มพาทุกคนมานั่งจับเข่าคุยกันอย่างตรงไปตรงมา เรื่องการให้ทานถือเป็นกุศลก็จริง แต่ให้จนตัวเองต้องลำบากมิใช่สิ่งที่ควรทำ
“เจ้าอย่าได้โมโหไปเลย”
“ได้อย่างไรขอรับท่านปู่ ตอนที่ข้าได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เขาพูดถึงเรื่องให้ทานด้วยนะขอรับ ทุกคนอยากฟังหรือไม่”
“เจ้าว่ามาเถิด” ปัญฐกะเอ่ยตอบ
“พระท่านสอนว่า การให้ทานเป็นเรื่องที่ดีขอรับ แต่การให้ทานจนตนเองและครอบครัวนั้นเดือดร้อน ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำขอรับ อีกอย่างการที่เราให้เขาอย่างเดียว จะทำให้นาคาพวกนั้น ทำมาหากินเองไม่ได้ คอยแต่จะแบมือขอผู้อื่นไปทั่ว”
กษมาพูดไป ก็ทำไม้ทำมือประกอบไปด้วย ตอนเรียนก็ใช่ว่าเขาจะเป็นเด็กเรียนตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน ที่เอ่ยไปก็ไม่รู้ว่าถูกต้องตามหลักการทั้งหมดหรือไม่ แต่อย่างไรก็ต้องอ้างไปก่อน
“แต่ปู่ก็มิได้ลำบากนะ”
“แต่ข้าลำบากนะขอรับ หรือเพราะข้าไม่ใช่นาค ท่านปู่จึงคิดว่าข้ามิใช่ครอบครัว ปล่อยให้ลำบากได้” ว่าแล้วดวงหน้ามนก็เศร้าหมองลงถนัดตา
“จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร ปัญฐกะ นิลกาล ช่วยปู่ปลอบน้องเร็วเข้า” ทั้งสามผลัดกันพูดปลอบกษมากันเสียยกใหญ่
“กษมา เจ้าอย่าได้คิดเช่นนั้นเลย ท่านปู่และพี่ชายของเจ้าย่อมรู้สึกว่าเจ้าเป็นครอบครัว มิเช่นนั้นจะยอมให้เจ้ามาอยู่ในเรือนหรือ”
“หากเป็นอย่างนั้นจริง ท่านปู่และพี่ปัญฐกะต้องเชื่อข้านะ ต่อไปพวกท่านอย่าเอาแก้วแหวนเงินทองให้ผู้อื่นอีก หากว่าเขามาขอความช่วยเหลือ ต้องช่วยด้วยวิธีอื่น” สองปู่หลานพยักหน้าตอบรับ
“แล้วเราจะช่วยอย่างไรเล่า”
“ช่วยได้หลายอย่างขอรับ หากว่าเขาหิวก็แบ่งกับข้าวกับปลาให้ แต่ก็ต้องให้พอเหมาะ มิใช่ให้เขาไปจนหมด”
“…” ทั้งอนรรฆชัย ปัญฐกะ และนิลกาลต่างตั้งใจฟัง
“หากว่าเขามาขอเงินทอง ก็ต้องให้เขาทำงานแลก พวกเขาจะได้รู้ว่า กว่าพี่ปัญฐกะจะได้เหรียญทองพวกนั้นมา ต้องเหนื่อยกาย เดินลาดตระเวนจนดึกดื่น พวกเขาเองก็ต้องลงแรงเช่นกัน มิใช่มาขอกันง่ายๆ เช่นนี้”
“ปู่เข้าใจแล้ว จะทำตามที่เจ้าบอก”
“พี่เองก็เข้าใจแล้ว”
“ดีขอรับ พี่ปัญฐกะจะได้นำเหรียญทองเหล่านั้น ไปซื้อเครื่องประดับมาไว้ เป็นสินสอดทองหมั้นให้กับพี่นิลกาลด้วย คิกๆ” กษมาว่าเย้า เพื่อมิให้บรรยากาศตึงเครียดเกินไป
เขาเข้าใจดีว่าท่านปู่กับพี่ชายเติบโตมาเช่นนี้ บางทีอาจถูกปลูกฝังให้ช่วยเหลือผู้อื่น จนไม่นึกถึงความลำบากของตนเอง ไม่นึกว่าคนที่ช่วยไปจะรู้บุญรู้คุณหรือไม่ ให้โดยไม่ติดใจสงสัยสิ่งใด
แต่นั่นไม่ใช่กับกษมา ที่เติบโตมาด้วยตนเอง บางครั้งเราก็ต้องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนไปพร้อมกับประโยชน์ส่วนรวม
“ที่นี่ไม่เหมือนกับโลกมนุษย์ เรามิได้มีธรรมเนียมตบแต่ง หากพึงใจก็เข้าคู่ สืบลูกสืบหลานกันต่อไป” นิลกาลอธิบายไปก็หน้าแดงไป เขาและปัญฐกะก็ถือเป็นคู่รัก
แต่ที่ยังไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน เพราะต่างฝ่ายต่างก็ห่วงครอบครัวของตนเอง จะให้เขาย้ายมาอยู่ที่นี่ เขาก็นึกเป็นห่วงน้องชาย จะให้ปัญฐกะย้ายไปก็ติดที่ต้องดูแลท่านปู่และกษมา
“อ่า ถึงอย่างนั้นก็ต้องมีของแทนใจนะขอรับพี่ปัญฐกะ เอาไว้ข้าจะช่วยท่านอีกแรง”
“เจ้าจะช่วยพี่เจ้าอย่างไร หืม” อนรรฆชัยยกมือลูบศีรษะเล็กด้วยความเอ็นดู
“ข้าตัดสินใจแล้วขอรับ ข้าจะทำงาน ที่นี่มีงานให้ข้าทำหรือไม่ขอรับ” กษมาพูดออกมาพลางชูกำปั้นขึ้น เขาจะทำให้เรือนหลังนี้กลายเป็นเรือนจริงๆ เสียที มีข้าวของเครื่องใช้ ประดับประดาพอให้สวยงาม
“ก็มีอยู่หลายอย่างทีเดียว เป็นบริวาร เป็นเหล่าทหารลาดตระเวนเช่นพี่เจ้า หรือเป็นพ่อค้าแม่ขายก็ได้” แต่ยังไม่ทันที่กษมาจะตอบกลับผู้เป็นปู่ ปัญฐกะก็เอ่ยสำทับขึ้นมา
“แต่หากเจ้าจะทำงาน ก็ควรไปทำงานกับท่านอคินธิษณ์จะปลอดภัยกับตัวเจ้าที่สุด”
