4. ไม่เป็นอย่างที่คิด
ภายในห้องโถงอันโอ่อ่า มีเพียงสองพ่อลูกที่นั่งประจันหน้ากันอยู่ ฝ่ายบิดาทั้งฉุนเฉียวแลห่วงใยบุตรชาย ทว่าอคินธิษณ์กลับนิ่งเฉยราวไม่ทุกข์ร้อน ทั้งที่ในใจนึกคาดโทษผู้ที่นำความมาแจ้งพ่อของเขา
“พ่อเตือนเจ้ากี่คราแล้ว ว่าอย่าได้ไปยุ่งเกี่ยวกับพวกมนุษย์ จักมีปัญหาตามมาไม่หมดไม่สิ้น”
“ท่านพ่อเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้ไปยุ่งเกี่ยวกับพวกมนุษย์ มันผู้ใดนำความเท็จมาแจ้งต่อท่าน” อคินธิษณ์ทำทีไม่รู้ไม่เห็นเรื่องราวของกษมา
“ครั้งนี้อาจจะไม่ยุ่ง แต่หากคราใดเจ้าเอาตนเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวเล่า จะทำเช่นไร ตั้งแต่นี้พ่อขอห้ามโดยเด็ดขาด อย่าไปที่เมืองมนุษย์อีก” ฟังจากคำพูดของพญานาคราช อคินธิษณ์ก็ตีความได้ว่า บิดาคงยังไม่รู้เรื่องที่เขาพากษมาเข้าป่าหิมพานต์
“…”
“เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดี…พ่อได้ข่าวคราวมาว่า เจ้าพานาคากลับมาด้วยอีกแล้วหรือ” ท่านพญานาคราชถามหยั่งเชิง
“ขอรับ ข้าพบตอนไปลาดตระเวน เห็นว่าน่าสงสารเลยพากลับมาด้วย แต่เจ้าปัญฐกะขอไปเป็นน้องชายเสียแล้ว” ละครฉากใหญ่ถูกนำมาบอกเล่าอย่างไม่ติดขัด
“อืม ให้ปัญฐกะดูแลดีแล้ว หากให้มาอยู่กับเจ้า มิแคล้วจะกลายเป็นบริวารให้เจ้าเรียกใช้เสียเปล่าๆ อย่างไรก็เพลาๆ ลงเสียบ้างเถิด” คำว่า ‘เรียกใช้’ ขององค์นาคราช ทำเอาอคินธิษณ์หัวเราะออกมาเสียงดัง แววตาที่ว่างเปล่าเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเย้ยหยันผู้เป็นบิดาทันที
“ฮ่าๆ ตัวข้ายังมิมีคู่ครอง มิได้มีไมตรีจิตให้ผู้ใด หากจะเสพสุขตามความอยาก มีสิ่งใดผิดอย่างนั้นหรือ…ข้ามิเหมือนท่านดอก สมสู่กับบริวารของภรรยาตนเองจนได้ลูก” แววตาแข็งกร้าวที่ส่งออกไปยังบิดา นับวันยิ่งมากขึ้น จนดวงใจแกร่งของพญานาคราชนึกเจ็บปวด ที่เห็นสายตาเกลียดชังจากบุตร
“อคินธิษณ์!”
“หึ ท่านพ่ออย่าได้เกรี้ยวโกรธไป อย่างไรแม่ข้าก็ตายจากไปแล้ว ข้าจะทำเป็นลืมไปบ้างก็แล้วกัน” แม้ริมฝีปากหนาจะติดยิ้มเปล่งประกาย แต่รอยยิ้มเหล่านั้นมิได้ส่งไปถึงดวงตาเลยสักนิด หากผู้ใดมองเข้ามา ก็คงเห็นความเจ็บปวดมากกว่าความตลกขบขัน
“เฮ้อ เจ้ามีสิ่งใดก็ไปทำเถิด พ่อ-”
“นายท่านขอรับ ท่านกฤษฎิเชษฐ์มาพูดคุย เรื่องความขัดแย้งในวังบาดาลเขตนอกขอรับ” ยังไม่ทันที่พญานาคราชจะได้เอ่ยจบประโยค ก็ได้ยินเสียงบริวารดังเข้ามาจากด้านนอก และประโยคนั้นก็ทำให้อคินธิษณ์แสยะยิ้มสมเพชตัวเองขึ้นมาทันใด
“ดี! ดียิ่ง เรียกข้ามาต่อว่า แต่เรียกเจ้านาคชั้นต่ำนั่นมาพูดคุยเรื่องบ้านเมือง”
“เหตุใดจึงเรียกน้องเช่นนั้น อย่างไรเขาก็เป็นน้องชายเจ้า แล้วเรื่องนี้เจ้าอย่าพาลมาโกรธพ่อ ก่อนหน้าเป็นเจ้าเองที่ปฏิเสธจะไม่ทำ พ่อก็ตามใจแล้วอย่างไร”
“ขอรับ! เป็นข้าที่ผิดเองทั้งหมด” ว่าเพียงเท่านั้นอคินธิษณ์ก็เดินทำหน้าปั้นปึ่งออกไป ใครต่อใครก็เอ่ยว่าเป็นเขาที่ใจแคบ มิยอมรับน้องชายต่างมารดา แต่ไม่มีผู้ใดรับรู้เลยว่าพวกเราสองแม่ลูกเจ็บปวดเท่าใด แม้แต่ท่านพ่อก็มิเคยสนใจ
ปัง!!!
“ท่านพี่ ท่านก็อยู่ด้วย อึก!” อคินธิษณ์เดินเข้าไปกระแทกไหล่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องชาย จนอีกฝ่ายเซถอยหลังไปหลายก้าว ม้วนหนังสือที่นำมาก็ตกเกลื่อนพื้นไปทั่ว
ทว่าอคินธิษณ์กลับมิได้สนใจ ก้าวตรงไปที่เรือนของตนด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ความรู้สึกมากมายเริ่มถาโถมเข้ามา เมื่อชายหนุ่มเฝ้านึกถึงมารดาที่ล่วงลับไปแล้ว
เขาจำได้ว่ายามที่เขายังเด็ก ชีวิตของเขามีสุขจนหาผู้ใดสุขเท่าไม่มี มารดาของเขานามว่า จันทพัตรา เป็นนาคตระกูลวิรูปักข์เช่นเดียวกับเขาและท่านพ่อ
เมื่อก่อนท่านแม่และท่านพ่อต่างดูแลอุ้มชูเขา แต่แล้ววันหนึ่งมารดาของเขาก็ร้องห่มร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด เมื่อรู้ว่า ภัสสร นาคีที่เป็นบริวารของตนเองและสามีได้สมสู่กันจนถือกำเนิดกฤษฎิเชษฐ์ขึ้นมา
นับจากวันนั้น มารดาของเขาก็มิให้ท่านพ่อพบหน้าอีก จองจำตนเองอยู่ในเรือน หวังให้นาคทั้งสองรู้สำนึกกับสิ่งที่ทำ แต่ข่าวสารที่ได้รับรู้มา กลับไม่เป็นเช่นนั้น ผู้คนต่างเล่าขานว่าพญานาคราชแวะเวียนไปเยี่ยมบุตรชายคนเล็กทุกวัน
แม้ว่ากฤษฎิเชษฐ์จะเป็นนาคตระกูลกัณหาโคตมะ มีลำตัวสีดำสนิท ถือเป็นนาคที่มีฐานะเป็นเพียงบริวารของเหล่านาคาทั้งหลาย แต่ด้วยเหล่านาครู้กันถ้วนทั่วว่าเป็นบุตรของพญานาคราช ทุกคนจึงเกรงใจกฤษฎิเชษฐ์และนางภัสสรผู้เป็นมารดา
พอมารดาของอคินธิษณ์รู้ดังนั้นก็ตรอมใจจนล้มป่วย ชีวิตของอคินธิษณ์มิเคยต้องลำบาก แต่เขากลับไม่มีความสุขเลยสักวันเดียว กระทั่งมารดาตายจากไป เขาก็ปลีกวิเวกไปตั้งเรือนอยู่ให้ห่างไกล เรื่องใดที่ท่านพ่อสั่ง เขาจะไม่ทำ
เรื่องใดที่ทำให้ท่านพ่อต้องอับอายหรือทุกข์ใจ เขาล้วนปฏิบัติทั้งหมด เพราะนาคหนุ่มอยากให้ผู้เป็นพ่อได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่พวกเขาแม่ลูกได้พบเจอบ้าง
“นายท่าน…”
“มิเป็นไรตะขบ ข้าเพียงนึกถึงท่านแม่เท่านั้น” ชายหนุ่มยิ้มให้นาคาน้อย แต่รอยยิ้มนั้นกลับเศร้าหมองเสียเหลือเกิน
“เช่นนั้นตะขบเรียกนาคีสาวมาให้ดีหรือไม่ขอรับ นายท่านจะได้หายเศร้า”
“จิ๊ เจ้านี่เป็นเด็กเป็นเล็ก ประเดี๋ยวจะโดนดี”
“ตะขบโตแล้วขอรับ แต่ตัวตะขบยังเล็กเท่านั้น”
“ฮ่าๆ เอาเป็นว่าเจ้าไปพักเถิด มิต้องให้ผู้ใดมารบกวนข้า” ว่าแล้วชายหนุ่มก็แปลงกายกลับไปเป็นนาคาสีทองอร่าม เลื้อยเข้าไปในเรือนนอนอย่างเชื่องช้า
ด้านกษมาหลังจากออกมาจากเรือนของอคินธิษณ์ ก็ถูกปัญฐกะพามาหาท่านปู่ที่วังบาดาลเขตนอก จากที่คอยสังเกตดูวิถีชีวิตของสรรพสัตว์ ที่อยู่ในป่าหิมพานต์แห่งนี้ พวกเขามักจะจำแลงกายเป็นมนุษย์เสียส่วนใหญ่
พอกษมาเอ่ยถามพี่ชาย ก็ได้รู้ว่าเป็นเพราะร่างจริงของสรรพสัตว์เหล่านี้ล้วนแต่ใหญ่โตมโหฬาร ไม่เหมาะแก่การเดินทางในที่พลุกพล่าน
“เหตุใดพี่นิลกาลไม่มากับเราด้วยหรือขอรับ”
“เขาต้องกลับเรือนไปหาน้องชายของเขาก่อน แต่พี่ยังต้องพาเจ้ามารับท่านปู่ อ๊ะ! นั่นอย่างไร ท่านปู่พูดคุยกับเหล่านาคอยู่ตรงนั้น” กษมาหันไปมองตามทิศทางที่พี่ชายชี้ไป ก็พบกับชายชราผมขาวมัดรวบขึ้นเป็นระเบียบเรียบร้อย ท่าทางดูภูมิฐาน สมกับเป็นผู้อาวุโส
“ท่านปู่ขอรับ ข้าพาน้องชายมารับท่านปู่กลับเรือนขอรับ” ผู้อาวุโสอนรรฆชัยหันมามองสองพี่น้อง โดยมิได้เอ่ยสิ่งใด นั่นยิ่งทำให้ปัญฐกะหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะเขามิได้แจ้งเรื่องที่กษมาจะมาอยู่ด้วยให้ท่านปู่รับรู้ก่อน
“เอ่อ ไหว้ขอรับ ท่านปู่”
“น้องมีนามว่า กษมา ขอรับ ท่านอคินธิษณ์ไปพบเข้า ทะ ที่สระ-”
“ปู่มิเคยสอนให้เจ้าโป้ปด เจ้าอย่ากระทำตนไม่ดี เป็นเยี่ยงอย่างให้น้อง” อนรรฆชัยปรามหลานชายทางสายตา
“ทะ ท่านปู่รู้ว่าข้าเป็นผู้ใดหรือขอรับ”
“เหตุใดจะไม่รู้เล่า แต่ในเมื่อตัดสินใจดีแล้ว ก็มาอยู่ด้วยกันเถิด”
“ขอบพระคุณขอรับ” กษมายกมือไหว้ พลางลอบสังเกตใบหน้าของผู้อาวุโส นัยน์ตาสีดำขลับทั้งมั่นคงและแน่วแน่ ไม่มีแววตาตื่นตกใจหรือเคลือบแคลงแม้แต่น้อย ราวกับท่านปู่รู้เรื่องราวทุกอย่างแล้ว
แล้วท่านรู้ได้อย่างไรกัน?
“อืม มาอยู่ที่นี่ก็ปรับตัวให้คุ้นชิน มีสิ่งใดอยากรู้ก็ถามปู่ ถามพี่ชายของเจ้า”
“ขอรับท่านปู่ ว่าแต่ท่านปู่มาทำอันใดที่นี่หรือขอรับ หรือว่ามาเดินเล่น” เรื่องชวนคุยไว้ใจกษมาได้ ยิ่งเจอคนที่ถูกชะตา กษมายิ่งพูดคุยได้ทั้งวัน
“ปู่ก็มาตรวจความเรียบร้อย ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบเหล่านาคาทั้งหลาย”
“มีเรื่องให้ตรวจความเรียบร้อยด้วยหรือขอรับ ข้าคิดว่าที่ป่าหิมพานต์จะมีแต่ผู้ที่อยู่ในศีลในธรรม” กษมาว่าเพียงเท่านั้น ทั้งอนรรฆชัยและปัญฐกะก็หัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู
นี่เหล่ามนุษย์ทั้งหลาย เข้าใจว่าหิมพานต์ไร้ผู้มีจิตใจต่ำช้าอย่างนั้นหรือ
“เรื่องนี้ยืดยาวนัก เราเดินไป พูดคุยกันไปเถิดขอรับท่านปู่” ปัญฐกะเสนอความคิด ทั้งที่หากใช้อิทธิฤทธิ์ ย่นระยะทางหรือเหาะเหินเดินอากาศ พวกเขาคงพากษมากลับถึงเรือนได้เร็วกว่า แต่เพราะอยากให้น้องชายคนใหม่ได้เรียนรู้สถานที่ต่างๆ ในป่าหิมพานต์ จึงเลือกที่จะเดินมากกว่า
“เป็นความคิดที่ดี มาเถิด ปู่จะเล่าให้ฟัง แท้จริงแล้วป่าหิมพานต์ก็เหมือนกับสถานที่ทั่วไป เหมือนกับโลกมนุษย์ที่เจ้าอยู่ มีผู้บำเพ็ญตนอยู่ในศีลธรรม แต่ก็มีผู้ที่จิตใจหยาบช้า เพราะอย่างไรพวกเราก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน…”
กษมาฟังเรื่องเล่าจากท่านปู่ก็เข้าใจว่า ภายในป่าหิมพานต์แห่งนี้ ไม่ต่างอันใดกับโลกมนุษย์ที่เขาอยู่ สรรพสัตว์ในป่าหิมพานต์ยังคงมีรัก โลภ โกรธ หลงไม่ต่างจากคน มีการแก่งแย่ง รบราฆ่าฟัน อย่างเช่นสงครามระหว่างครุฑกับนาคที่ได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่ก็ยังมีครุฑบางตัวที่โจมตีนาค
“ผิดหวังหรือไม่เล่า ที่ป่าหิมพานต์แห่งนี้มิได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด”
“ไม่ได้รู้สึกผิดหวังขอรับท่านปู่ เพียงแต่แปลกใจเท่านั้น แล้วเผ่าพันธุ์นาคเล่าขอรับ มีการทะเลาะตบตี แย่งคนรัก ชิงอำนาจกันหรือไม่ขอรับ” เด็กหนุ่มถามต่อ
“มี…มีอยู่มากมายทีเดียว ยิ่งเป็นนาคาชนชั้นปกครอง ก็ยิ่งมีการแก่งแย่งชิงดีกัน เผ่าพันธุ์นาคของเรามีอยู่สี่ตระกูล นาคาที่มีลำตัวสีทองอร่าม จะเป็นนาคชนชั้นปกครอง มีอิทธิฤทธิ์มากที่สุด พวกนี้เป็นนาคตระกูลวิรูปักข์"
"..."
"รองลงมาเป็นนาคตระกูลเอราปถ มีลำตัวสีเขียวอย่างปู่กับพี่ชายเจ้า ต่อมาเป็นนาคาตระกูลกัณหาโคตมะ ลำตัวสีดำสนิท ส่วนมากจะเป็นนาคบริวาร และสุดท้าย ตระกูลฉัพพยาปุตตะ นาคที่มิได้มีลำตัวสีทอง สีเขียว และสีดำ จะถือเป็นนาคาตระกูลนี้ทั้งหมด”
“ถ้าอย่างนั้น พี่นิลกาลก็เป็นนาคาตระกูลฉัพ ฉัพ ใช่หรือไม่ขอรับ”
“ฮ่าๆ ฉัพพยาปุตตะ” ปัญฐกะหัวเราะร่าออกมา ไม่ต่างจากผู้อาวุโสที่ยกมือปิดปากกลั้นขำ
“แหะ ข้าจำไม่ได้ขอรับ มันยาวเกินไป”
“เอาเถิดๆ วันหน้าปู่จะเล่าให้ฟังบ่อยๆ จะได้จดจำไว้ ตอนนี้เราเข้าเรือนกันก่อนเถิด” ปู่หลานเดินไป พูดคุยกันไปจนมาถึงเรือนในวังบาดาลเขตใน ปัญฐกะจึงรีบพาปู่กับน้องชายเข้ามาในเรือน
กษมายิ้มร่า รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย เพราะเรือนที่มีลักษณะเป็นถ้ำนี้ จะกลายเป็นที่พักพิงของเขา นอกเรือนมีหินแกะสลักเป็นรูปพญานาคและอักษรยึกยือ แม้ว่าภายนอกจะไม่หรูหราเหมือนเรือนของท่านอคินธิษณ์ และไม่ได้มีบริวารมาคอยต้อนรับ แต่ก็ถือว่าใหญ่โต
“เข้ามาด้านในก่อนเถิด พี่จะทำความสะอาดเรือนนอนให้เจ้าเสียก่อน”
“ขอรับ” กษมาตอบรับ ก่อนเดินเข้าไปในเรือนพร้อมพี่ชายและท่านปู่ แต่แล้วสิ่งที่กษมาสังเกตเห็น ก็สร้างความตกใจให้เขาไม่น้อย ร่างเล็กรีบกระโดดออกไป ยกมือขวางหน้านาคาทั้งสอง ราวกับต้องการปกป้องผู้เป็นปู่และพี่ชาย
“ทะ ท่านพี่ ท่านปู่ อยู่หลังข้าไว้ขอรับ เรือนโล่งโจ้งเช่นนี้ คงมีโจรเข้ามาขโมยของเป็นแน่ มันอาจจะยังอยู่ในนี้”
