บท
ตั้งค่า

3. จำต้องเลือกสักทาง

“สิ่งที่พอจะทำได้ ก็คงมีเพียง…รักษาดวงจิตของกษมาไว้” อคินธิษณ์เหนื่อยใจกับความคิดของเพื่อน ที่คิดจะทำให้ดวงจิตของกษมากลับเข้าร่าง

ส่งดวงจิตให้กับพญายมเสียก็สิ้นเรื่อง ให้เป็นไปตามวัฏสงสาร เวียนว่ายตายเกิดอย่างที่ควรจะเป็น

“รักษาดวงจิต! ข้าคิดออกแล้ว พวกเราต่างก็เป็นดวงจิต สรรพสัตว์ในป่าหิมพานต์นี้ต่างก็เป็นดวงจิต เช่นนั้นแล้ว…กษมา”

“ครับ!?”

“อยากอยู่กับพวกเราที่นี่หรือไม่”

“อยู่ที่นี่! ละ แล้วผมจะอยู่ยังไง เงินก็ไม่มี เสื้อผ้าก็ไม่ได้เอามา” กษมาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าป่าแห่งนี้เป็นอย่างไร จะให้เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ก็เป็นเรื่องน่ากังวลอยู่

สีหน้าเคร่งเครียดปนไม่แน่ใจของกษมา ขัดใจนาคหนุ่มผู้สูงศักดิ์ไม่น้อย เพราะอคินธิษณ์ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจ เขาอยากทำสิ่งใด อยากได้สิ่งใดก็สมปรารถนาไปเสียทุกอย่าง จึงได้กล้าคิดกล้าตัดสินใจ

“อันที่จริงก็มีหลายทางให้เจ้าเลือก ทางแรกคืออยู่ที่ป่าหิมพานต์แห่งนี้ ทางที่สองคือกลับไปเป็นวิญญาณเร่ร่อนบนโลกมนุษย์ และทางสุดท้าย ข้าจะส่งดวงจิตของเจ้าให้กับพญายม” กษมาได้ยินคำของอคินธิษณ์ก็คิดหนัก ในหัวเริ่มจะเอนเอียงไปทางที่สาม เพราะอย่างไร เรื่องราวมันก็ควรเป็นเช่นนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

“ผมเลือกทางที่สามได้ไหม”

“อย่าเลยกษมา ข้าเกรงว่าทางนั้นจะยากลำบาก อยู่ด้วยกันกับข้าที่นี่เถิด มาเป็นน้องชายข้า” ปัญฐกะมองกษมาอย่างคาดหวัง เขาเฝ้าดูแลอีกคนมาตั้งแต่เกิด แม้มิใช่สายเลือดเดียวกัน แต่ก็ผูกพันทางใจฉันพี่น้อง อีกอย่างหากกษมาเข้ามาอยู่ในป่าหิมพานต์แห่งนี้ก็เปรียบกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ใช้ชีวิตได้เหมือนตอนอยู่บนโลกมนุษย์ มีความคิด ความรู้สึกเช่นเดียวกัน

“เอ่อ…”

“ชักช้าเสียจริง ข้าจะช่วยบอกข้อเสียให้แล้วกัน” กษมาหันมารอฟังสิ่งที่นาคาร่างทองกำลังจะเอ่ย แววตาจดจ้องไปที่ดวงตาสีน้ำตาลทองนั่นไม่ลดละ

“…”

“หากว่าเจ้าอยู่ที่นี่ เจ้าจะต้องปิดบังตัวตนของเจ้าตลอดไป หากไปอยู่บนโลกมนุษย์ เจ้าก็จะโดดเดี่ยวเป็นวิญญาณเร่ร่อน แต่ถ้าเจ้าเลือกจะไปพบพญายม เจ้าอาจจะถูกลงทัณฑ์หนักกว่าเดิม เพราะเจ้าหนี มิยอมให้ยมบาลจับไปแต่โดยดี”

“ตะ แต่ผมไม่ได้หนี ท่านพาผมมาเอง”

“…ก็ใช่ แต่ก็ถือว่าหนี”

เด็กหนุ่มหน้าซีดเผือด ตอนเป็นคน เขาก็ไม่ได้เป็นคนดี ไม่ได้ถือศีลห้า เขาเคยตบยุง เคยด่าวินมอเตอร์ไซค์ เคยลอกการบ้านเพื่อนด้วย

หากว่าต้องถูกเพิ่มโทษอีก คาดว่ากระทะทองแดงที่เขาได้อยู่ คงจะเป็นกระทะที่ร้อนที่สุดแน่ ฮื่อ! ยังไงก็ไม่เอาด้วย แต่จะให้เขาไปเป็นวิญญาณเร่ร่อน โดดเดี่ยวเดียวดาย มันก็เหงาเกินไป

กษมาดึงทึ้งผมตนเองอยู่หลายรอบ ทางนั้นก็ไม่ดี ทางนี้ก็ไม่เอา เช่นนี้ก็คงจะเหลือเพียงทางเดียว…

“หะ ให้ผมอยู่ด้วยนะครับ ท่านปัญฐกะ”

“ได้สิ จากนี้เจ้ามาเป็นน้องชายพี่เถิด ก่อนหน้าพี่ก็แอบคิดว่าเจ้าเป็นน้องชายมาโดยตลอด ฮ่าๆ” ปัญฐกะยิ้มเขิน เขาตั้งตนเป็นพี่ชายของเด็กหนุ่มตั้งแต่อีกฝ่ายเกิดแล้วกระมัง

“ผมก็อยากมีพี่ชายครับ” กษมายิ้มรับ

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าเรียกพี่ว่า พี่ เถิด เจ้าอยากได้สิ่งใด อยากไปที่ใดก็บอกพี่ พี่จะพาเจ้าไปเอง”

“ผมอยากไปดูกินรีกับกินนรครับ เห็นว่า-”

“พอก่อนๆ พวกเจ้าสองพี่น้องคิดตื้นเขินเสียจริง เพลานี้ต้องคิดเรื่องปกปิดตัวตนของกษมาเสียก่อน” อคินธิษณ์ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แต่นั่นกลับทำให้ปัญฐกะยกยิ้ม

สหายของเขาผู้นี้ แม้จะกระทำตนไม่ได้ความ ต่อต้านท่านพญานาคราชผู้เป็นพ่ออยู่ตลอด แต่ความสามารถมิได้ด้อยไปกว่าผู้ใด ทั้งความคิดความอ่านยังเฉลียวฉลาดและมีจิตเมตตา ที่คอยช่วยอยู่เช่นนี้ก็คงเพราะรู้สึกผิดต่อกษมาเป็นแน่

“จริงอย่างที่ท่านว่า เรื่องครานี้ข้ากับน้องต้องพึ่งท่านแล้ว” ปัญฐกะเอ่ย

“อืม เช่นนั้นก็รีบเข้าเถิด”

มนุษย์มีกลิ่นกายที่แตกต่างจากสรรพสัตว์ในป่าหิมพานต์ แม้ว่าเหล่านาคที่มีฤทธิ์น้อยจะไม่อาจรับรู้ได้ แต่สำหรับนาคาที่อยู่ในชั้นปกครองหรือนาคาผู้มีฤทธิ์จะสามารถรับรู้ได้ทันที

การจะปกปิดว่ากษมาเป็นมนุษย์ จึงต้องมุ่งไปในเรื่องของกลิ่นกาย แน่นอนว่าจะต้องใช้กลิ่นของอคินธิษณ์ ที่เป็นนาคาสีทองผู้มีฤทธิ์มากมาช่วย เครื่องนุ่งห่มต่างๆ จึงถูกนำมาจากวังบาดาลของนาคาหนุ่มทั้งหมด

ร่างมนุษย์ที่นาคมักจะแปลงกาย ล้วนสวมเพียงโจงกระเบน ใส่สังวาลสองเส้นคาดทับกัน ข้อมือ ข้อเท้าประดับด้วยกำไลทั้งสองข้าง ทั้งยังมีที่รัดแขนอีกหนึ่งชุด

กษมาที่เคยค่อนแคะว่าอคินธิษณ์เป็นร้านทองเคลื่อนที่ บัดนี้ตนเองก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก เพียงแต่โจงกระเบนที่เขาสวมเป็นสีเงินก็เท่านั้น

“เป็นอย่างไรบ้าง ข้านุ่งโจงกระเบนให้เช่นนี้ ขยับคล่องตัวหรือไม่”

“ขยับได้ครับ พี่นิลกาล” กษมายกมือไหว้ขอบคุณคนรักของพี่ชายที่ช่วยแต่งกายให้

หากย้อนไปตอนที่ กษมาตกลงว่าจะอยู่ที่นี่ ปัญฐกะก็มัดมือชก มอบตำแหน่งน้องชายให้ จากนั้นพี่ชายของเขาก็แนะนำให้รู้จักกับคนรัก นามว่า นิลกาล นาคหนุ่ม ตระกูลฉัพพยาปุตตะ เป็นนาคาสีโกเมนที่พบเห็นได้ยาก

หากพิจารณาจากภายนอก ร่างมนุษย์ของนิลกาลน่าจะมีอายุราวๆ ยี่สิบห้า ส่วนพี่ชายและท่านอคินธิษณ์ดูเหมือนคนวัยสามสิบต้นๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าในร่างนาคา พวกเขาอยู่มานานเท่าใดแล้ว

“เช่นนั้นเราก็ออกไปให้พี่ชายเจ้ากับท่านอคินธิษณ์ดูเถิด ว่าแนบเนียนหรือไม่” กษมายิ้มรับคำพูดอ่อนโยนของนิลกาล พลางคิดในใจว่านาคาตนนี้ช่างเหมาะสมกับพี่ชายของเขายิ่งนัก ฝ่ายหนึ่งใจดี อีกฝ่ายก็อ่อนโยน

“เป็นอย่างไรบ้างขอรับ เท่านี้พอจะทำให้ทุกคนคิดว่ากษมาเป็นนาคหรือไม่” นิลกาลว่า ก่อนจะจับตัวกษมา หมุนซ้ายหมุนขวาตามที่หนุ่มใหญ่ทั้งสองสั่ง

“เพียงพอแล้ว หากมิรู้มาก่อน ข้าก็คงไม่รู้ว่ากษมาเป็นมนุษย์ กลิ่นของท่านอคินธิษณ์กลบกลิ่นมนุษย์ไปจนสิ้น นิลกาลของข้าก็เก่งกาจ ที่แต่งกายให้กษมางดงามถึงเพียงนี้” ปัญฐกะหันไปส่งยิ้มให้กับคนรัก

“ขอบพระคุณที่เอ่ยชมขอรับ”

“อะแฮ่มๆ กลับมาสนใจกษมาก่อนเถิด แม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้กลิ่นของมนุษย์ แต่เมื่อนานวันเข้า กลิ่นของข้าก็จะจางหายไปตามกาลเวลา” อคินธิษณ์หนักใจเพียงเรื่องนี้ เพราะแม้ว่ากษมาจะอยู่ร่วมเรือนกับปัญฐกะ แต่กลิ่นของปัญฐกะก็มิอาจกลบกลิ่นมนุษย์ได้มิด

“กลิ่นกาย หากว่าอยู่ใกล้ชิดผู้ใดก็จะติดมาจากผู้นั้น” นิลกาลเปรยออกมา

“อืม เห็นทีคงจะต้องรบกวนท่านอคินธิษณ์แล้ว” ปัญฐกะคิดว่าอย่างน้อยก็ต้องขอเสื้อผ้า เครื่องประดับจากสหายมาให้กษมาใส่ติดตัวเอาไว้ ไม่ได้คิดไปถึงขั้นให้ทั้งคู่ใกล้ชิดกันดังที่คนรักว่า

“อืม อันที่จริงข้าก็ช่วยมามากแล้ว เฮ้อ!…แต่เห็นแก่ปัญฐกะ ข้าจะยอมช่วยแล้วกัน” กษมาเบ้ปากให้บุรุษตรงหน้า ทำทีราวกับว่า ตนเองไม่จำเป็นต้องช่วย แต่เพราะเป็นคนมีน้ำใจเลยยอมช่วย อะไรทำนองนั้น

“ขอบคุณครับ” ถึงแม้จะรู้สึกหมั่นไส้ กระนั้นกษมาก็ต้องขอบคุณอีกฝ่ายอยู่ดี

“ทุกเจ็ดวัน เจ้าจะต้องมารับเสื้อผ้าและเครื่องใช้ด้วยตนเอง ที่วังบาดาลของข้า เข้าใจหรือไม่”

“ครับ ผมจะทำตามอย่างเคร่งครัด ไม่ให้โดนจับได้เป็นอันขาด”

“หากเจ้ายังพูดจาเช่นนี้ เพียงก้าวขาออกจากถ้ำ ก็โดนจับได้แล้ว จากนี้ให้แทนตนเองว่าข้า แล้วลงท้ายด้วยขอรับ คำพูดคำจาก็ต้องปรับให้เข้ากับนาคาตนอื่น” อคินธิษณ์จ้องเขม็งไปที่เด็กหนุ่ม หากว่าคนตรงหน้าโดนจับได้ขึ้นมา ผู้ที่เดือดร้อนก็คงมิพ้นเขา

“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”

“กษมา น้องมิต้องกังวลไป พี่กับนิลกาลจะช่วยเจ้าอีกแรง มีสิ่งใดสงสัยก็ให้สอบถามพี่” กษมาอุ่นใจขึ้นมาทันใด เมื่อได้รับคำพูดปลอบประโลมจากพี่ชาย

“ต่อไปก็เหลือเพียง นำเรื่องไปป่าวประกาศให้นาคาทุกตน รวมถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายได้รับรู้ ตะขบ!”

“ขอรับ!” คนที่พึ่งคุ้นชินกับเครื่องแต่งกายหันไปมองตามเสียงขานรับ ก็พบเข้ากับนาคาน้อยในร่างมนุษย์ ที่อายุราวๆ ห้าขวบปี วิ่งพรวดเข้ามา ดูจากการแต่งกายแล้วคงจะเป็นบริวารของท่านอคินธิษณ์

เด็กน้อยนั่งรอรับคำสั่งตาแป๋ว ท่าทางน่ารัก น่าเอ็นดู จนกษมาแทบจะละสายตาจากตะขบมิได้ แต่กระนั้นเขาก็ตั้งใจฟัง แผนการที่พี่ชายและท่านอคินธิษณ์คิดขึ้นมาไม่ขาดตกไปแม้แต่คำเดียว

วังบาดาลของนาคา นาคีทั้งหลาย ถือเป็นเขตแดนหนึ่งของป่าหิมพานต์ วังบาดาลแห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวาง แต่จะมีการแบ่งเขตไว้อย่างชัดเจน

วังบาดาลชั้นในจะเป็นที่อยู่อาศัยของนาคาชนชั้นปกครองเท่านั้น อันได้แก่พญานาคราช เหล่านาคาที่สืบเชื้อสายจากพญานาคราช นาคอาวุโส รวมทั้งนาคาที่ฝึกตนจนมีฤทธิ์แกร่งกล้า ส่วนวังบาดาลชั้นนอกจะเป็นนาคา นาคีที่มิบำเพ็ญตน ไม่มีฤทธิ์เดช แต่แม้จะแบ่งเขตอยู่อาศัยกันอย่างชัดเจน ก็ยังไปมาหาสู่กันได้ มิได้แปลกแยกกันอย่างสิ้นเชิง

อคินธิษณ์ที่เป็นสายเลือดโดยตรงของพญานาคราช ย่อมได้อยู่วังบาดาลเขตใน แต่ด้วยความที่ไม่ชอบให้ผู้ใดมายุ่งเกี่ยว จึงตั้งเรือนห่างจากนาคาตนอื่น กระนั้นหูตาของพญานาคราชราชิตธเนษฐก็ยังมีอยู่ถ้วนทั่ว ไม่เว้นแม้แต่ในเขตเรือนของอคินธิษณ์

“พวกเจ้าไปนำผลหมากรากไม้มาต้อนรับสหายของข้าเร็วเข้า” เพียงแค่ก้าวเดินเข้ามาในเขตเรือน นาคาผู้สูงศักดิ์ก็เอ่ยสั่งเหล่าบริวาร ก่อนจะพาปัญฐกะ นิลกาล และกษมาเข้าไปในโถงรับรอง ทิ้งให้ตะขบเฝ้าอยู่ด้านหน้าประตู

“ตะขบๆ ท่านอคินธิษณ์พาผู้ใดมาหรือ” บริวารสาวเอ่ยถามนาคาน้อย ท่านอคินธิษณ์มักพาสหายมาที่เรือนเป็นประจำ พวกนางจึงจดจำได้แม่นว่าเป็นท่านปัญฐกะและท่านนิลกาล แต่นาคหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มผู้นั้น พวกนางมิเคยพบมาก่อน

“ก็สหายของท่านอคินธิษณ์อย่างไรเล่า”

“ข้าหมายถึง นาคาที่สวมใส่เครื่องใช้ของท่านอคินธิษณ์ ผู้นั้นต่างหาก” นางเป็นผู้จัดเครื่องใช้เหล่านั้นเองกับมือ เหตุใดจะจดจำมิได้ว่าของเหล่านั้นเป็นของนายตน

“อ่อ เขาเป็นนาคหนุ่มที่ท่านอคินธิษณ์ พบเจอระหว่างลาดตระเวน จึงพากลับมาด้วย เห็นว่าจะยกให้เป็นน้องบุญธรรมของท่านปัญฐกะ” ตะขบยิ้มแฉ่ง เมื่อพูดใจความสำคัญครบถ้วน ตามที่นายท่านสั่ง

“เช่นนั้นหรือ ขอบใจเจ้ามากนะ ข้าจะรีบไปเอาผลไม้มาให้” เมื่อนาคีสาวจากไป เจ้าตะขบก็รีบยกนิ้ว ส่งสัญญาณให้ผู้เป็นนายรู้ ว่าทุกสิ่งเสร็จสิ้นไปตามแผนการที่ได้วางเอาไว้

“ฮ่าๆ ข้านี่ฉลาดหลักแหลมเสียจริง” อคินธิษณ์หัวเราะร่า พลางกอดอก เชิดหน้า เตรียมรับคำชมจากผู้อื่นบ้าง

“ขอบพระคุณท่านมาก หากมิได้ท่านช่วย การครานี้คงมิสำเร็จโดยง่ายเช่นนี้” ปัญฐกะหัวเราะในลำคอเพราะเข้าใจท่าทีของสหาย ว่าต้องการสิ่งใด กระนั้นคำขอบคุณของเขา ก็มิได้กล่าวไปเพื่อเอาอกเอาใจอีกฝ่าย แต่เป็นคำขอบคุณที่มาจากใจจริง

“ขอบพระคุณที่ช่วยข้าขอรับ”

“เอาเถิดๆ ถือเสียว่าข้าสร้างบุญสร้างกุศล…อย่างไรก็อยู่ทานผลไม้ก่อนเถิด” ว่าแล้วร่างสูงก็เอนกายพิงหมอน รู้สึกภูมิอกภูมิใจยามเห็นสายตาขอบคุณจากเจ้าเด็กมนุษย์คนนั้น

หึ ครานี้คงเห็นความสามารถของเขาแล้วกระมัง

แต่แล้วความชื่นมื่นก็อยู่กับอคินธิษณ์ไม่ทันข้ามวัน บริวารจากเรือนของบิดาก็มาแจ้งว่า ผู้เป็นพ่อต้องการให้เขาเข้าไปพบ

“ท่านพ่อได้บอกหรือไม่ ว่าอยากพบข้าด้วยเหตุใด”

“เอ่อ…ระ เรื่องที่ท่านอคินธิษณ์ไปเที่ยวเล่นเมืองมนุษย์ขอรับ” ได้ยินเพียงเท่านั้น ดวงใจของนาคาตัวสีทองก็ร่วงหล่นลงไปถึงตาตุ่ม

หรือท่านพ่อจะรู้เรื่องกษมาแล้ว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel