บท
ตั้งค่า

2. มิใช่กุมารทอง

“ฮ่าๆ ป่าหิมพานต์ มีแค่ในวรรณคดี”

“มีอยู่จริง เพียงแต่มนุษย์เช่นพวกเจ้า มีน้อยคนนักที่จะเข้ามาได้ หากว่าไม่เป็นผู้บำเพ็ญตน ก็จะเป็นผู้ที่มีชะตาลิขิตไว้ แต่ก็จะเข้ามาได้เพียงดวงจิตเท่านั้น” หิมวันต์แห่งนี้เป็นที่อยู่ของสรรพสัตว์ผู้บำเพ็ญเพียร มีอิทธิฤทธิ์แกร่งกล้า และมีความพิลึกพิลั่นมากมาย ที่พวกมนุษย์มิเคยได้สัมผัส จึงไม่น่าแปลกที่กษมาจะไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง

“ละ แล้วผมเข้ามาได้ยังไง”

“นั่นก็เพราะข้าเป็นผู้มีฤทธิ์อย่างไรเล่า เจ้าจึงมายืนอยู่ในหิมวันต์ไพรสัณฑ์แห่งนี้”

“นะ ไหนกินรีกับกินนร ผมอยากเห็น ขอผมไปดูนะๆ” กษมาตกตะลึงเพียงครู่เดียว ก็นึกถึงสิ่งที่เคยเล่าเรียนขึ้นมาได้

ในวิชาวรรณคดีกล่าวไว้ว่า ป่าหิมพานต์เป็นที่อยู่ของเหล่ากินรีและกินนร ที่มีท่อนบนคล้ายมนุษย์และท่อนล่างเหมือนนก กษมาเคยได้ยินมาว่าทั้งสวยทั้งหล่อ มิอาจหาผู้ใดมาเปรียบ

“มิใช่สิ่งที่เจ้าต้องสนใจ ตอนนี้ต้องไปพบกับสหายของข้าก่อน จะได้รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเจ้า” ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินนำไปโดยไม่รอ กษมาจึงได้รีบสาวเท้าตาม เพราะกลัวว่าหากหลงอยู่ในป่าใหญ่แห่งนี้ คงจะหาทางรอดยาก

ขาทั้งสองเร่งก้าวตามไป ตาก็มองสิ่งแวดล้อมรอบข้างไปด้วย พบเห็นสิ่งใดที่น่าทึ่ง เด็กหนุ่มก็หน้าตาตื่น อย่างกับเด็กน้อยพึ่งเคยออกทัศนะศึกษานอกสถานที่เป็นครั้งแรก

ตุ๊บ!

“โอ๊ย!” กษมาลูบศีรษะตัวเองปรอยๆ เพราะบุรุษตรงหน้าหยุดเดินกะทันหัน เขาจึงมิทันได้ระวัง

“เจ้านี่ไม่ระวังเสียบ้าง อ่า~ นี่หรือเจ้าตั้งใจชนข้า คงติดใจกลิ่นกายของข้าใช่หรือไม่ ฮ่าๆ” ชายหนุ่มหัวเราะออกมา พลางตบไหล่กษมาอย่างเห็นใจ ไม่ว่าสตรีหรือบุรุษ หากได้ยลโฉมของเขา ก็เป็นอันต้องหลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้น

“เพราะท่านหยุดกะทันหันต่างหาก เฮ้อ! ว่าแต่เราจะไปที่ไหน”

“ไปสถานที่ลับของข้า” เดินต่ออีกเพียงไม่นาน ทั้งสองก็มาหยุดอยู่ที่สระน้ำสีมรกต โดยรอบมีผาโน้มเข้ามาปกคลุมสระ จนไม่มีแสงใดส่องลอดเข้ามากระทบผืนน้ำ แต่กระนั้นก็มีลำแสงสะท้อนจากใต้น้ำส่องสว่างขึ้นมา ทำให้เห็นบริเวณโดยรอบ

“โห สวยมาก เหมือนน้ำเรืองแสงเลย”

“อืม ที่นี่เป็นสระอโนดาต โดดลงไปสิ”

“หา! โดดทำไมครับ” ถึงกษมาจะว่ายน้ำเป็น แต่เขาก็ไม่ได้เก่ง เกิดจมลงไปเหมือนครั้งนั้น คงทำให้คนข้างกายลำบากอีกเป็นแน่

“จิ๊ ถามมาก! ที่ที่ข้าว่าอยู่ใต้น้ำ ต้องดำลงไปใต้สระนี้”

“แต่ผมดำน้ำไม่เก่ง ลงไปไม่กี่วิก็ต้องขึ้นมาหายใจแล้ว ผมอยู่ตรงนี้รอได้ไหม”

“ไม่ได้ เกาะข้าไว้ ข้าจะพาเจ้าไปเอง” กษมายังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็โดนแขนใหญ่โอบรัดเอว แล้วพาโดดลงในน้ำทันที

เด็กหนุ่มพยายามกลั้นหายใจเอาไว้เท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยก็คงจะพอทำให้เขาไปถึงที่หมาย โดยไม่ตายไปอีกรอบ

ทว่าสิ่งที่เขาเห็นตรงหน้า กลับทำให้ตกใจจนแทบหมดสติ อากาศที่กักเก็บมาถูกปล่อยออกไปจนหมดด้วยความเผลอไผล

เนื้อตัวของคนที่โอบกอดกษมาไว้ มีเกล็ดโผล่ขึ้นมาทั่วทั้งร่าง ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นพญานาคาสีทองอร่าม เลื้อยเข้ามาเกี่ยวพันรอบตัวเขาเอาไว้ หางแกร่งโบกสะบัดเพียงน้อยนิด พวกเขาก็เคลื่อนตัวมาสู่ปากทางเข้าของถ้ำลับ

กษมาที่พึ่งเคยเห็นด้วยตาตนเองเป็นครั้งแรก ถึงกับนิ่งค้าง เหมือนกับว่าสติได้หลุดหายไปเสียแล้ว ในศีรษะเล็กฉายภาพการแปลงกายของพญานาคตนใหญ่ วนซ้ำอยู่อย่างนั้น จนไม่รู้ว่าตนเองถูกพามานั่งอยู่ในถ้ำลับใต้บาดาลแล้ว

“กษมา ได้ยินข้าหรือไม่ กษมา!”

“ทะ ท่านไม่ได้เป็นกุมารทอง” ปากบางพึมพำออกมาอย่างคนไร้สติ ขณะที่ตายังมองพญานาคตัวเขื่อง

“หึ ก็ใช่น่ะสิ ข้าเป็นพญานาค ตระกูลวิรูปักข์ นามว่าอคินธิษณ์ อ่อ! พ่อข้าเป็นพญานาคราช ผู้ปกครองเหล่านาคาทั้งหลาย” อคินธิษณ์ยืดลำตัวสีเหลืองทองให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม พลางชูคอ หวังอวดภูมิของตนให้มนุษย์ตรงหน้าได้รับรู้

ทว่าพญานาคหนุ่มก็ต้องหน้าเสีย เมื่อเห็นว่ากษมาถึงกับขาสั่นและฉี่ราดออกมา ทั้งยังทำท่าว่าจะเป็นลมล้มพับไป

“…”

“เอ่อ จะ เจ้าเป็นอันใด เราอยู่ใต้สระน้ำศักดิ์สิทธิ์นะ เจ้าจะมาถ่ายของเสียเช่นนี้มิได้!” อคินธิษณ์รีบแปลงกายเป็นร่างมนุษย์ ก่อนจะเขย่าตัวเรียกกษมาให้ฟื้นคืนสติ

“ใต้น้ำ…เราอยู่ใต้น้ำ ว๊าก! ผะ ผม ดำน้ำนานไม่ได้ ตายแน่ๆ”

“หยุดอยู่นิ่งๆเสียก่อน แล้วตั้งสติ คิดดูว่าตอนนี้เจ้าเจ็บปวดที่ใดหรือไม่” กษมาหยุดนิ่งตามคำสั่ง ก่อนจะสำรวจมองรอบๆ พวกเขาอยู่ในถ้ำใต้น้ำจริง แต่เขาก็ยังหายใจได้ตามปกติ ไม่รู้สึกว่าน้ำไหลเข้ามาในโพรงจมูกหรือปากเลยสักนิด

“มะ ไม่ตาย ผมอยู่ในน้ำได้”

“เฮ้อ! พวกมนุษย์ชอบโวยวายไปก่อน เช่นเจ้าทุกคนเลยหรือ” เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจคำต่อว่าต่อขานของอีกคน ในหัวเฝ้าคิดทบทวนว่าเหตุใดชีวิตเขาจึงไม่มีความเรียบง่ายเหมือนผู้อื่นบ้าง

ไหนคนเขาว่า ตายไปก็เหมือนหลับใหล ไม่รู้เรื่องราว แต่นี่เขากลับต้องมาที่ป่าหิมพานต์ ทั้งยังถูกพญานาคจับตัวมาถ้ำใต้บาดาลอีก ฮื่อ!

“ท่านอะ อะไรนะ”

“อคินธิษณ์”

“ท่านอคินธิษณ์ เรามาที่นี่ทำไม”

“มารอผู้พิทักษ์ของเจ้าอย่างไรเล่า ข้าให้เจ้าตะขบไปบอกแล้ว ประเดี๋ยวก็คงจะมา”

“ผู้พิทักษ์ของผม คือใคร-” ยังไม่ทันที่กษมาจะถามเอาความ ก็มีนาคสีเขียวตัวโตเลื้อยเข้ามาในถ้ำ ก่อนพญานาคาตนนั้นจะแปลงกายเป็นมนุษย์

“ท่านเรียกข้ามาพบ มีสิ่งใด- กษมา!!! เหตุใดมาอยู่ที่นี่” ชายสูงใหญ่ หน้าตาอ่อนโยน นุ่งเพียงโจงกระเบนสีเขียว วิ่งตรงมาหากษมาอย่างร้อนรน

แต่แปลกที่กษมามิได้หวาดกลัว กลับมีความอุ่นใจมากเสียด้วยซ้ำ เขารู้สึกคุ้นเคยกับคนตรงหน้า กระนั้นก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ใด

“มาแล้วหรือ ปัญฐกะ คือ…เกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย แหะๆ ข้าเลยต้องพากลับมาด้วย”

“เรื่องใดขอรับ ท่านรับปากข้าว่าจะช่วยดูแลกษมาให้ แต่ท่านพาดวงจิตของเขากลับมาด้วยเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร” อคินธิษณ์หลบสายตาคาดโทษจากสหายเพียงคนเดียว

ปัญฐกะเป็นสหายเพียงคนเดียวที่อคินธิษณ์ไว้ใจ พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน เพราะท่านปู่ของเราต่างก็เป็นสหายคู่คิด แม้ว่าปัญฐกะจะมิได้เป็นนาคที่อยู่ในชนชั้นปกครอง แต่ก็ถือเป็นนาคชั้นสูง ยิ่งหากบำเพ็ญเพียรบารมีก็อาจจะยกฐานะขึ้นมาเป็นนาคาชนชั้นปกครองได้เช่นเดียวกัน

อย่างท่านอาวุโสอนรรฆชัย ท่านปู่ของปัญฐกะก็บำเพ็ญเพียรจนได้ขึ้นมาเป็นนาคาชนชั้นปกครอง เป็นเพื่อนคู่คิดกับท่านปู่ของอคินธิษณ์ ที่เป็นพญานาคราชองค์ก่อน

“กะ ก็ข้าเฝ้าดูเขา จนเข้านอนตามที่เจ้าบอกแล้ว จึงแวะไปดูสาวงามตามสถานบันเทิงละแวกนั้น ผู้ใดจะคิดว่าเจ้าเด็กซุกซนออกมาเดินเตร่ตอนกลางคืน จนตกท่อเล่า” กษมาที่ถูกพาดพิงได้แต่ยิ้มแห้ง

“นั่นเพราะท่านคลาดสายตาจากเขา ข้าบอกท่านแล้ว ว่าอย่าให้กษมาคลาดสายตาเป็นอันขาด โดยเฉพาะคืนก่อนวันเกิดเขา”

“แต่ข้าไปเพียงครู่เดียว”

“ข้าไม่น่าไว้ใจ ให้ท่านดูแลกษมาตั้งแต่แรก”

“เจ้าว่าข้าไร้สามารถหรือ!!!”

กษมามองชายทั้งสองคนถกเถียงกันอย่างมึนงง เขาไม่รู้ว่าอีกคนที่เข้ามาทีหลังเป็นใคร แต่เท่าที่ฟัง เขาจับใจความได้ว่าชายนุ่งโจงกระเบนสีเขียว นามว่าปัญฐกะ เป็นผู้ไหว้วานให้ท่านอคินธิษณ์มาดูแลเขา

“พะ พวกท่านอย่าทะเลาะกันเลย บอกผมก่อนได้ไหมว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผมสับสนไปหมดแล้ว” สองสหายหยุดถกเถียงกัน ก่อนจะหันมามองมนุษย์เพียงคนเดียวที่นั่งอยู่บนหิน

“เฮ้อ! กษมา เจ้าจำข้าได้หรือไม่ รู้หรือไม่ว่าเราเคยพบกันที่ใด” กษมาได้ยินดังนั้นก็หันไปมองปัญฐกะ ก่อนจะพิจารณาใบหน้าอ่อนโยนนั้นอย่างถี่ถ้วน ไม่นานตากลมก็เบิกกว้างขึ้น

ในฝัน!!!

“ทะ ท่าน! เป็นท่านจริงๆ ด้วย” เด็กหนุ่มยกยิ้มดีใจ เขาก็คิดอยู่นาน ว่าเหตุใดจึงได้คุ้นหน้าคุ้นตาท่านปัญฐกะ ที่แท้เขาก็เคยเห็นในฝันนี่เอง

ตั้งแต่จำความได้ เขามักจะฝันถึงพญานาคสีเขียวอยู่บ่อยครั้ง บางคืนก็อยู่ในร่างมนุษย์ บางคืนก็อยู่ในร่างพญานาค จนกลายเป็นว่าพวกเขาทั้งสองผูกพันกันราวกับพี่น้องไปเสียแล้ว คงจะมีช่วงหลังๆ ที่เขาไม่ค่อยจะฝันถึงท่านปัญฐกะเท่าใดนัก

“ท่านหายไปไหนมา ผมไม่ฝันถึงท่านมาหลายปีแล้ว”

“ข้าดีใจที่เจ้าจำได้ และขออภัยที่มิได้อยู่กับเจ้า เป็นเพราะข้าพึ่งจะออกจากถ้ำบำเพ็ญตนมา จึงมิได้ดูแลเจ้าให้ดี”

“ไม่เป็นไรครับ ผมซุ่มซ่าม เดินสะดุดท่อเอง”

“ไม่ๆ นั่นเป็นความผิดข้าเอง”

“จะเป็นความผิดท่านได้ยังไง-”

“พอๆ เป็นความผิดของพวกเจ้าทั้งคู่ ตอนนี้มาคิดหาวิธีก่อนดีหรือไม่ ว่าจะทำอย่างไรกับเจ้านี่” อคินธิษณ์ยุติการถกเถียง โดยการโทษว่าเป็นความผิดของพวกเขาทั้งสอง ทั้งที่หากจะไถ่ถามหาคนผิดขึ้นมาจริงๆ คงหนีไม่พ้นคนที่กำลังเอ่ยห้าม

“หากว่าดวงจิตออกจากร่างเช่นนี้ จะมีวิธีใดพากลับคืนได้หรือไม่ขอรับ” ทั้งสามนั่งจ้องหน้า พูดคุยหารือกันอย่างจริงจัง คงจะมีเพียงกษมาที่นั่งฟังนิ่งๆ คอยห้ามปรามมิให้สองสหายทะเลาะกัน

หากดูจากภายนอก กษมาคงคิดว่าปัญฐกะเป็นคนใจเย็น นิ่งสงบ พูดน้อย แต่เท่าที่เห็น มิได้เป็นเช่นนั้นเลย อีกฝ่ายยังมีความใจร้อนเช่นบุรุษ ถกเถียง ออกความคิดเห็นได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังมีความดื้อรั้นในตัว

“ปัญฐกะ! เจ้าทำราวกับว่า จะส่งดวงจิตของกษมากลับเข้าร่างเดิมให้ได้ คิดจะฝืนลิขิตของเบื้องบนหรือ”

“ข้า…”

“สิ่งที่เจ้าพูดมานั้น มิมีทางเป็นไปได้!สิ่งที่พอจะทำได้ ก็คงมีเพียง…”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel