บทที่ 3
“ข้าฝากเอ็งอุ้มเธอไปที่รถหน่อย”
“หา” คนถูกไหว้วานอุทานออกมา พ่อเลี้ยงเกื้อกูลเลิ่กลั่กที่จู่ๆ น้ำเหนือก็บอกให้อุ้มเธอแบบนี้
“อุ้มไปเร็วๆ ด้วย เดี๋ยวข้ารีบปิดคลินิกแล้วจะไปสตาร์ทรถรอ”
“เออๆ” พ่อเลี้ยงหนุ่มเอ่ยรับอย่างขัดเสียไม่ได้ ส่วนน้ำเหนือนั้นปลีกตัวไปจัดการปิดคลินิกให้เรียบร้อย พ่อเลี้ยงเกื้อกูลยืนเท้าสะเอวมองผู้หญิงปริศนาที่เวลานี้ก้มหน้าก้มตามองมือตัวเองด้วยร่างกายสั่นไหว ไหล่บอบบางไหวระริกไปตามแรงสะอื้นจากอาการร้องไห้ ที่เจ้าตัวนั้นพยายามเก็บเอาไว้
พ่อเลี้ยงเกื้อกูลเดินเข้าไปใกล้จากนั้นก็ช้อนตัวเธอที่เวลานี้นั่งอยู่บนเตียงคนไข้ขึ้นมาอุ้ม ร่างบอบบางที่เบาหวิวราวกับนุ่นถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองพ่อเลี้ยงเกื้อกูลตรงๆ แต่เพราะมันใกล้จนเกินไปทำให้เธอตาพร่าไปชั่วคราว ไหนจะร่างกายที่จู่ๆ ก็แข็งทื่อไม่ไหวติงนี่ด้วย
ในขณะที่อุ้มเธอไปยังรถที่จอดอยู่หน้าคลินิก พ่อเลี้ยงเกื้อกูลก็ได้จังหวะพินิจมองใบหน้าเล็กๆ ของเธอไปด้วย จึงเห็นว่าตรงแก้มมีรอยฟกช้ำพอๆ กับตรงริมฝีปากเล็กๆ ที่นอกจากช้ำก็คงแตก ไหนจะรอบคอที่มีรอยคล้ายรอยนิ้วมือบีบนั่นอีก หัวก็แตกจนต้องเย็บ คราบเลือดยังคงติดแห้งอยู่บนผม ตัวก็เล็กแค่นี้ถ้าโยนก็คงปลิวไปไกล
สิ่งที่เห็นทำให้พ่อเลี้ยงเกื้อกูลอดที่จะสงสารพร้อมกับสงสัยไม่ได้ ว่าเธอเจอกับเรื่องน่ากลัวขนาดไหนกันนะ ถึงได้ทิ้งร่องรอยไว้ตามเนื้อตามตัวได้มากมายขนาดนี้ แถมยังพอได้สติฟื้นจากความตายกลับจำตัวเองไม่ได้แม้กระทั่งชื่อ คิดแล้วพ่อเลี้ยงหนุ่มก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
ซึ่งตลอดทางที่นั่งรถไปยังโรงพยาบาลนั้น เธอเอาแต่นั่งขดตัวติดประตูอีกฝั่งเงียบๆ ร่างเล็กๆ ยังคงสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับพูดประโยคซ้ำๆ ว่าเธอชื่ออะไร เธอเป็นใคร มาจากไหน วนไปวนมา กระทั่งถึงโรงพยาบาล เธอก็ถูกนำตัวไปตรวจร่างกายอย่างละเอียด แต่ผลที่ออกมากลับไม่มีอะไรผิดปรกติ รวมไปถึงยังไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าเธอจะจำเรื่องราวในอดีตได้เมื่อไหร่
“เอายังไงดีวะเกื้อ”
“คงต้องปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับก่อน” พ่อเลี้ยงเกื้อกูลเอ่ยบอก นั่นเพราะระหว่างรอผลตรวจร่างกาย เขาก็พยายามคิดหาทางออกไว้รอบ้างแล้ว ยิ่งได้ฟังผลตรวจจากหมอซึ่งยืนยันว่าเธอจำอะไรไม่ได้จริงๆ บางสิ่งบางอย่างก็บอกให้เขาต้องช่วยเหลือเธอ
“เอางั้นเลยเหรอ” น้ำเหนือถามย้ำ เพราะใจจริงก็ไม่อยากเปิดเผยเรื่องนี้ออกไปจนกว่าจะได้รู้ความจริงว่าอะไรเป็นอะไรเหมือนกัน
“อืม...ป่านนี้ฝ่ายนั้นคงตามหาตัวเธออยู่แน่ ดีไม่ดีถ้าสืบรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน มันคงตามมาเก็บ”
“เฮ้อ! สงสารก็สงสารอยู่หรอก ผู้หญิงตัวเล็กเท่าเมี่ยงถูกทำร้ายร่างกายหนักขนาดนั้น แต่ที่ข้าคิดไม่ตกคือระหว่างนี้จะให้เธอไปอยู่ที่ไหน” แม้จะพูดออกไปเหมือนไม่รู้ แต่เอาเข้าจริงน้ำเหนือก็พอจะมีที่เหมาะๆ ให้เธอไปอยู่เหมือนกัน รอแค่เจ้าของที่เอ่ยปากอนุญาตเท่านั้นเอง
“มองข้าทำไมไอ้หมอ” พ่อเลี้ยงเกื้อกูลรู้ทันความคิดเพื่อน
“มองว่าคนแถวๆ นี้จะใจดีไหม”
“ข้าใจร้ายเอ็งก็รู้” พ่อเลี้ยงเกื้อกูลออกตัว แต่คนฟังกลับยิ้มกริ่ม นั่นเพราะรู้ดีว่าคนพูดไม่ได้ใจร้ายอะไรขนาดนั้น ลูกหมาลูกแมวหลงทางมาพ่อเลี้ยงเกื้อกูลยังรับเลี้ยง แม้ตัวเองจะแพ้ขนสัตว์ก็ตามที
“ให้เธอไปอยู่ที่ไร่เอ็งนะดีแล้ว รับรองได้ว่าเธอจะต้องปลอดภัยแน่นอน” น้ำเหนือย้ำนั่นเพราะไร่ของพ่อเลี้ยงเกื้อกูลคือเหมาะสมที่จะใช้รักษาตัวและรักษาแผลใจ ที่นั่นผู้คนเป็นมิตร ยิ่งถ้ารู้ว่าเธอโดนอะไรมา รับรองว่าจะมีแต่คนคอยช่วยเหลือ แม้จะมีคนบางกลุ่มไม่น่าไว้ใจก็ตามที แต่ก็มั่นใจว่าคงไม่กล้าทำอะไรหรอก
“เออ...ให้ไปอยู่ที่ไร่ก็ไป”
“ข้าขอบคุณแทนเธอด้วยแล้วกัน อย่างน้อยจบเรื่องร้ายๆ ก็ยังเจอคนดีๆ”
“อืม” พ่อเลี้ยงเกื้อกูลเอ่ยรับ ก่อนจะจัดแจงจ่ายค่ารักษาพยาบาล แม้เจ้าหน้าที่จะถามไถ่เรื่องเอกสารส่วนตัวของเธอ รวมไปถึงชื่อและนามสกุล นั่นทำให้พ่อเลี้ยงเกื้อกูลต้องหาทางออกให้ ไปๆ มาๆ เธอจึงได้ชื่อว่า
นางสาวฟ้าใหม่ รัตนาเจริญ โดยชื่อนั้นเขาตั้งใจให้เธอมีชีวิตใหม่หลังจากนี้ ส่วนนามสกุลก็ใช้ของเขานี่ล่ะ ง่ายๆ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน
กว่าจะเสร็จธุระจากโรงพยาบาลก็ค่ำมืด น้ำเหนือขอแยกตัวไปทำงานต่อนั่นเพราะมีเคสรอให้เขาผ่าตัด พ่อเลี้ยงเกื้อกูลจึงขับรถพาฟ้าใหม่กลับไร่ โดยน้ำเหนือจะตามไปเอารถทีหลัง แต่ระหว่างทางนั้น ฟ้าใหม่ยังคงนั่งขดตัวอยู่บนเบาะตามเคย ร่างเล็กๆ ยังคงสั่นไหว แววตาเองก็ยังคงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
พ่อเลี้ยงเกื้อกูลเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเหมือนกัน กระทั่งใกล้ถึงปากทางเข้าไร่จึงนึกขึ้นมาได้
“เธอจำชื่อตัวเองไม่ได้ใช่ไหม”
“ไม่ได้” คนข้างๆ เอ่ยตอบเสียงนิ่งๆ ใบหน้ายังคงเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด
“จำไม่ได้ด้วยว่าพ่อแม่เป็นใคร ตัวเองมาจากไหน”
“ค่ะ”
“แล้วตอนนั้นขึ้นมาซ่อนในรถฉันได้ยังไง”
“ฉัน...แค่รู้ว่าตอนนั้นต้องหนีออกมา แล้วหลังจากนั้นก็จำไม่ได้” ความทรงจำของฟ้าใหม่นั้นขาดๆ หายๆ เธอจำเหตุการณ์ตอนถูกทำร้ายไม่ได้ จำได้เพียงแค่รางๆ ตอนหนีออกมาแล้วขึ้นไปซ่อนตัวอยู่ในรถของพ่อเลี้ยงเกื้อกูลเท่านั้น ซึ่งทุกอย่างทุกจังหวะมันประจวบเหมาะกันไปเสียหมด
“หนีออกมาจากอะไร”
“ที่มืดๆ” ฟ้าใหม่จำได้แค่นี้จริงๆ ว่าเธอนั้นหนีออกมาจากที่ไหนสักแห่งที่มันมืดสนิท
“ก็ยังดีที่รู้ว่าต้องหนี” พ่อเลี้ยงเกื้อกูลอยากถามอะไรที่มากกว่านี้ แต่ถามไปคนจำไม่ได้ก็คือจำไม่ได้อยู่ดี หวังว่าความทรงจำของเธอจะคืนมาในเร็ววัน
“ไหนๆ ก็จำชื่อตัวเองไม่ได้แบบนี้ เอาเป็นว่าฉันจะตั้งชื่อให้เธอใหม่ก็แล้วกัน”
“ตั้งชื่อให้ใหม่เหรอคะ”
“อื้อ...ต่อจากนี้เธอชื่อว่าฟ้าใหม่ ชื่อเล่นก็สั้นๆ ว่าใหม่ จะได้เรียกกันง่ายๆ หน่อย แล้วถ้าใครถามว่าเธอเป็นใครมาจากไหน ก็บอกไปแค่ว่าเป็นญาติฉัน โอเค” เสียงทุ้มเอ่ยบอก นั่นเพราะมั่นใจว่าต้องมีคนถามแน่ๆ ว่าฟ้าใหม่นั้นเป็นใคร
“ค่ะ”
“แล้วเรื่องที่ผ่านมา เธอก็ค่อยๆ คิดแล้วกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง ถ้าคิดอะไรออกก็รีบบอก เผื่อครอบครัวเธอจะรออยู่” อันที่จริงพ่อเลี้ยงเกื้อกูลอยากประกาศตามหาครอบครัวฟ้าใหม่ แต่ก็กลัวคนร้ายจะรู้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหนเหมือนกัน จึงคิดว่าสืบในทางลับน่าจะดีกว่า
“ค่ะ” ฟ้าใหม่เอ่ยรับเสียงสั่นเครือ นั่นเพราะหากเธอมีครอบครัวรออยู่ ป่านนี้พวกเขาคงเป็นห่วงเธอแย่แล้ว แต่ให้นึกเท่าไหร่เธอก็นึกไม่ออกว่าหน้าตาของพ่อแม่เป็นแบบไหน ทุกอย่างมันมืดไปหมด คิดไปคิดมาก็ปวดหัวจนร้องไห้ออกมา แต่ก็เพียงเงียบๆ ไม่ได้ส่งเสียงโวยวายให้คนข้างๆ ต้องรำคาญแต่อย่างใด ถึงอย่างนั้นพ่อเลี้ยงเกื้อกูลก็สังเกตเห็นว่าร่างบางกำลังสะอื้น
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาหนักๆ กระทั่งเลี้ยวรถเข้าไร่ ซึ่งทันทีที่จอดรถเรียบร้อย มารดาของพ่อเลี้ยงหนุ่ม ที่ชะเง้อมองและรออยู่ก่อนแล้วก็รีบเดินเข้ามาหา
“เกื้อ”
“ครับแม่” พ่อเลี้ยงเกื้อกูลหันไปเอ่ยรับ
“ครามบอกว่ามีผู้หญิงนอนสลบอยู่ในรถลูกเหรอ” ฟังแบบนี้แล้วช่อทิพย์ก็อยากโทรศัพท์ไปถามความเป็นมาเป็นไปกับลูกชายคนโตตั้งแต่บ่าย แต่ก็รั้งรอไว้เจอหน้ากันค่อยถาม
“ครับ...ผมพาเธอไปคลินิกเหนือมา แต่อาการไม่สู้ดีเลยต้องพาไปตรวจที่โรงพยาบาล”
“แล้วนี่หมอเหนือไม่ได้มาด้วยเหรอ”
“ติดเคสผ่าตัดที่โรงพยาบาลนั่นแหละครับ พรุ่งนี้เช้าคงตามมาเอารถที่ไร่”
“อืม...แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครมาจากไหน ลูกรู้หรือยัง” น้ำเสียงของช่อทิพย์นั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วง พร้อมมองหาคนที่เอ่ยถึงไปด้วย
“ยังครับ พอดีเธอจำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่ชื่อตัวเอง”
“คุณพระคุณเจ้า” ช่อทิพย์ยกมือขึ้นทาบอก เพียงแค่ได้ฟังก็ยังรู้สึกสงสารเธอคนนั้น ไม่รู้ว่าไปเจอเรื่องร้ายอะไรมา
