4.คนเจ้าเล่ห์
***ทักทายคร้า ***
อภิญญาอ้าปากค้างจะทัดทานแต่ก็ไม่ทัน หล่อนได้แต่กระทืบเท้าอย่างขัดใจ คุณหญิงโสภีเงยหน้าขึ้นมองแล้วส่ายหัวไปมากับพฤติกรรมของหลานสาวคนโต
“คุณชายมีอะไรไม่ทราบ”
“พูดกับประชาชนไม่เพราะแบบนี้ผมแจ้งท่านจินดาได้ไหมเนี่ย” ชายหนุ่มกล่าวถึงท่านอธิบดีกรมตำรวจยิ้มๆ
“คุณชายมีอะไรก็พูดมาเถอะค่ะ ฉันจะรีบกลับ”
“หญิงแต้วอยากเลี้ยงขอบคุณคุณพรุ่งนี้”
“ไม่จำเป็น เพราะเป็นหน้าที่ของตำรวจอยู่แล้ว ฝากขอบคุณคุณหญิงด้วยก็แล้วกันค่ะ” เธอบอกก่อนจะเดินจากไป แต่ก้าวไปได้เพียงสองก้าวก็ต้องหยุดชะงัก
“หญิงแต้วคงเสียใจมาก เพราะฟังจากน้ำเสียงที่โทรมาเล่าเหตุการณ์ให้ฟังดูจะปลื้มคุณไม่น้อย”
“เอาเป็นว่าถ้าว่างฉันจะไป” เธอตัดบทแล้วเดินไป แต่ข้อมือบางถูกมือหนาคว้าไว้ หญิงสาวสะบัดเต็มแรงและสวนหมัดกลับไปตามสัญชาตญาณ ดีว่าเมฆาหลบทัน ร่างงามจึงเสียหลักหัวคะมำไปข้างหน้า เมฆาเกี่ยวเอวบางไปแนบอก ความใกล้ชิดทำให้ชายหนุ่มได้กลิ่นหอมอ่อนๆ น่าหลงใหลลอยเข้ามาในจมูก พระแพงได้สติดิ้นออกจากวงแขนเขา หัวใจสาวเต้นแรงระรัวอย่างไม่เคยเป็น เมฆาก้มไปมองเป็นจังหวะเดียวกับที่ใบหน้าคมสวยเงยขึ้นมา ทำให้ปากนุ่มกับริมฝีปากอุ่นประกบกันอย่างบังเอิญ พระแพงชาดิกไปทั้งร่าง รอบกายหยุดเคลื่อนไหว สมองไร้การตอบสนอง หัวใจก็หยุดเต้นไปชั่วขณะ เมฆาถือโอกาสเคล้าคลึงริมฝีปากหวานเบาๆ ความหอมหวานที่ได้สัมผัสเรียกเสียงครางอย่างถูกใจ
“ทำอะไรกันคะคุณชาย” เสียงแหลมของอภิญญาดังมาจากข้างหลัง ทำให้สติของทั้งสองกลับคืนมา พระแพงผลักอกกว้างออกห่างเต็มแรงจนเขาเซไปข้างหลัง อภิญญาเดินหน้าตึงไปกอดลำแขนแกร่งเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของเต็มที่
“ทำความรู้จักกันนิดหน่อยครับ”
“ไม่นิดแล้วมั้งคะ ขนาดว่ายัยแพงหน้าแดงขนาดนี้ หรือเธอว่าไงพระแพง” ประโยคหลังหล่อนหันไปถามอย่างหาเรื่อง แววตาเกรี้ยวกราดน่ากลัว ผู้กองสาวไหวไหล่แล้วหันหลังเดินจากไป
“จูบใครคิดว่าไม่สำคัญ จูบเบาๆ เท่านั้นทำเอาฉันสั่นไปถึงหัวใจ” พระแพงร้องเพลงยั่วโมโหอีกฝ่าย
เมฆาถึงกับอมยิ้มกับท่าทางยียวนกวนประสาทของผู้กองสาว อภิญญาหน้าแดงก่ำอย่างโกรธแค้น มือกำเข้าหากันแน่นจนรู้สึกเจ็บ
เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังออกมาจากห้องพักฟื้น ซึ่งเมฆาจำได้ว่าเป็นเสียงน้องสาวจอมซนของตัวเอง แต่อีกเสียงคือคนที่ทำให้เขานอนไม่หลับมาทั้งคืน เพราะคิดถึงความหวานจากริมฝีปากอิ่ม จารึกและอานันต์มองหน้ากันอย่างแปลกใจที่เห็นรอยยิ้มอย่างมีความสุขของเจ้านายหนุ่ม
“ในห้องดูท่าจะมีความสุขนะครับคุณชาย” จารึกบอกแววตาเป็นประกาย
“ตั้งแต่ท่านพ่อสิ้นหญิงแต้วไม่เคยหัวเราะเต็มเสียงแบบนี้มาก่อน” ร่างสูงหยุดยืนหน้าประตูฟังการสนทนาของสองสาวต่างวัยเงียบๆ
“พี่แพงเจอพี่ชายแล้วใช่ไหมคะ” หญิงแต้วเอียงหน้าถามอย่างน่ารัก พระแพงยิ้มยกมือปัดปลายผมที่ระใบหน้าไปไว้ข้างหลังและจับศีรษะเล็กโยกเบาๆ
“เจอแล้วค่ะ”
“แล้วพี่ชายเป็นยังไงบ้างคะ” พระแพงครุ่นคิด เลื่อนมือขึ้นแตะริมฝีปากนุ่มเมื่อรอยจุมพิตยังติดอยู่ที่กลีบปากอิ่ม เมื่อคืนเธอใช้น้ำยาไม่รู้กี่ชนิดก็ลบรอยจุมพิตออกไปไม่ได้ “พี่แพงขา คิดอะไรอยู่คะ” หญิงแต้วจับมือบางเขย่าเบาๆ เมื่อเห็นเธอเหม่ออยู่นาน
“เอ่อ เปล่าค่ะ เมื่อกี้คุณหญิงถามพี่ว่าอะไรนะคะ”
“หญิงถามว่าพี่ชายในสายตาพี่แพงเป็นยังไงบ้างคะ” พระแพงยกนิ้วชี้แตะข้างแก้มท่าทางครุ่นคิด
“ขี้เก๊กนิดๆ ตาดุหน่อยๆ แล้วก็ทำตัวเหมือนพวกมาเฟียที่มีบอดี้การ์ดคุ้มครอง แถมอีกข้อ ชอบใช้อำนาจ รวมเบ็ดเสร็จแล้วก็เหมือนกับคุณชายมาเฟียอะไรทำนองนั้น”
หญิงแต้วตาโตเพราะไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนมองพี่ชายเธอไร้เสน่ห์แบบนี้มาก่อน
“ไม่มีใครกล้าเรียกพี่ชายเป็นมาเฟียแบบนี้มาก่อนเลยนะคะ พี่แพงคนแรก”
“คนอื่นอาจจะกลัวพี่ชายท่านหญิงนะคะ แต่พี่ไม่กลัวหรอก ถ้าทำผิดกฎหมายก็ต้องจับเข้าซังเตเหมือนกัน”
“แล้วถ้าติดกับหัวใจจะต้องทำยังไงครับผู้กอง”
พระแพงกับหญิงแต้วหันไปมองคนที่ตนกำลังนินทาอย่างตกใจ
“พี่ชาย”
ร่างสูงเดินไปนั่งขอบเตียง ยกมือข้างหนึ่งโอบบ่าเล็กของน้องสาวสุดที่รักเข้าไปชิด หญิงแต้วยกมือโอบเอวหนาจากข้างหลัง ตามองผิวแก้มแดงระเรื่อของพระแพง
“ว่าไงครับ คุณยังไม่ตอบคำถามผมเลยนะผู้กอง” เขาถามแววตาเป็นประกายวับวาว
“คุณชายต้องไปถามผู้หญิงของคุณชายเองแล้วล่ะค่ะ หรือจะให้ฉันถามอภิญญาให้ก็ได้นะ”
“ผมกับอภิญญาไม่ได้เป็นอะไรกัน”
พระแพงแอบเบ้ปาก...ไม่มีอะไรกันแต่กอดซะกลมดิกเชียวใครเขาจะไปเชื่อยะคุณชายมาเฟีย
“กำลังนินทาอะไรพี่เอ่ย เสียงหัวเราะดังไปถึงหน้าโรงพยาบาลแน่ะ”
“คุยกันเรื่องผู้หญิงๆ ค่ะพี่ชาย แล้วพี่ชายมานานหรือยังคะ” หญิงแต้วผละห่างจากอกกว้างแล้วตอบเสียงใส
“นานพอที่จะได้ยินใครก็ไม่รู้กล่าวหาว่าพี่เป็นคุณชายมาเฟียนั่นแหละ” คราวนี้พระแพงถึงกับหน้าจ๋อยที่บังอาจนินทาเขาลับหลัง
“เอ่อ พี่ขอตัวกลับก่อนนะคะคุณหญิง” พระแพงหาทางออกเพื่อหนีบรรยากาศอึดอัดที่ก่อตัวขึ้น หญิงแต้วถึงกับหน้าเศร้าที่ไม่มีเพื่อนคุย
“จะรีบไปไหนคะ อยู่ทานข้าวเที่ยงกับหญิงก่อนได้ไหม เดี๋ยวป้าเกสรก็มาถึงแล้ว” หญิงแต้วเงยหน้าขึ้นสบตาพี่ชายอย่างวิงวอนเพื่อให้ช่วยพูดอีกแรง
“อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนเถอะคุณ วันนี้ไม่ได้ออกไปวิ่งไล่จับคนร้ายที่ไหนไม่ใช่เหรอ”
หญิงสาวมีสีหน้าอึดอัด แต่พอสบนัยน์ตาว้าเหว่ของเด็กสาว ก็ทำให้เธอต้องตัดสินใจอยู่อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
“ก็ได้ค่ะ แต่คุณหญิงต้องทานข้าวเยอะๆ โอเคมั้ย”
“โอเคค่า” หญิงแต้วบอกเสียงใส ไม่นานป้าเกสรและสุบรรณก็หิ้วปิ่นโตเข้ามาในห้อง พี่เลี้ยงวัยกลางคนจัดแจงสำรับไว้บนโต๊ะ โดยมีพระแพงคอยช่วยอยู่ข้างๆ จนกระทั่งพร้อมรับประทานจึงไปประคองหญิงแต้วลงจากเตียง
จากนั้นการรับประทานอาหารเที่ยงก็ดำเนินไปเรื่อยๆ ท่ามกลางเสียงพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดของพระแพงกับเมฆา บางครั้งก็มีเสียงหญิงแต้วแทรกขึ้นมาพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข ป้าเกสร จารึกและสุบรรณ ยืนมองภาพแห่งความสุขของเจ้านาย ใจก็พลอยมีความสุขไปด้วย
หลายปีที่คุณชายเมฆารับช่วงงานจากบิดา ธุรกิจหลายอย่างเกิดขึ้นและสร้างผลกำไรมากมาย แต่ชื่อเสียงกับความสำเร็จก็มาพร้อมกับสมญานามคุณชายมาเฟียที่คนในวงการธุรกิจยกให้ เพราะไม่มีใครอยากมีปัญหากับหม่อมราชวงศ์เมฆา ชโลธร ผู้มีทั้งอำนาจเงินและบารมี
***
