3.หลานนอกคอก
***ทักทายคร้า ***
เมื่อรู้ว่าคุณย่าของตัวเองกำลังถูกไล่ต้อนจากผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ พระแพงก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป
“แต่การทำธุรกิจก็มีทั้งขึ้นและลงอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ” เสียงที่ดังขึ้นหน้าประตูทำให้ทุกคนหันไปมอง คุณหญิงโสภีและประจักษ์มองคนมาใหม่อย่างคาดไม่ถึง พระแพงยิ้มให้กับผู้เข้าร่วมประชุมแล้วเดินไปยืนข้างคุณหญิงโสภีผู้เป็นย่าด้วยท่าทีมั่นคง ดวงตาคมเข้มของหม่อมราชวงศ์หนุ่มมองดวงหน้าเนียนใสภายใต้ผมนุ่มสลวยที่ถูกรวบไว้ง่าย ๆ อย่างสนใจ
“เรากำลังประชุมผู้ถือหุ้นอยู่นะพระแพง” ประจักษ์บอกเสียงเรียบและหันไปมองผู้ร่วมประชุมคนอื่นๆ เพื่อขอความเห็นจากทุกคน แต่พระแพงก็ตอบออกไปเสียก่อน
“คุณอาคงลืมไปแล้วสินะคะว่าแพงก็ถือหุ้นแทนคุณพ่อสามสิบเปอร์เซ็นต์” ทุกคนถึงกับเงียบไปกับความจริงที่เธอบอก เพราะทราบกันดีอยู่แล้วว่าหลังบุตรชายคนโตของคุณหญิงโสภีเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุทางเครื่องบินพร้อมภรรยา ทรัพย์สินทุกอย่างก็ตกเป็นของบุตรสาวเพียงคนเดียว รวมทั้งหุ้นในพีพีจิวเวลรี่อีกจำนวนหนึ่ง
“จากหัวข้อการประชุม ถ้าฉันเดาไม่ผิด ก็คงจะเป็นเรื่องงานโชว์เครื่องประดับให้นักธุรกิจชาวตะวันออกกลางชม” พระแพงกวาดสายตามองทุกคนที่นั่งอยู่ในห้อง กระทั่งมาถึงคนสุดท้ายที่นั่งอยู่ด้านซ้ายมือของคุณย่าของเธอ
“ชาวตะวันออกกลางมีวัฒนธรรมที่แตกต่างจากเรา แม้จะร้อนแรงไปด้วยอุณหภูมิสูงของทะเลทราย แต่ลวดลายเครื่องประดับจะต้องอ่อนช้อย ฉันว่าเราน่าจะใช้ความเป็นไทยของเราผสมผสานเข้ากับกลิ่นอายอาหรับ เพราะฉะนั้นฝ่ายออกแบบจะต้องทำความเข้าใจในจุดนี้”
“พูดมันง่ายนะยัยแพง แล้วใครจะเป็นคนดูแลเรื่องนี้” ประจักษ์เหยียดยิ้มที่มุมปาก พระแพงสบตาคนเป็นย่าเพื่อขอความเห็น
“ฉันจะให้พระแพงดูแลเรื่องการออกแบบเครื่องเพชรที่จะโชว์ทั้งหมด คุณชายมีความเห็นยังไงบ้างคะ” คุณหญิงหันไปถามลูกค้าคนสำคัญ ร่างสูงขยับตัวแล้วยิ้มเล็กน้อย
“ผมไม่ขัดข้อง” คุณชายเมฆาตอบสั้นๆ คุณหญิงโสภีหันไปมองสบตาผู้เข้าร่วมประชุมคนอื่นๆ
“ถึงแม้พระแพงจะไม่ได้เข้ามาทำงานที่นี่ แต่ฉันเชื่อว่าเลือดของพ่อเขามีอยู่เต็มร้อย และทุกคนก็ได้เห็นฝีมือการบริหารของลูกชายคนโตของฉันแล้ว” ทุกคนในห้องถึงกับเงียบกริบ ประจักษ์เริ่มไม่พอใจเมื่อเห็นท่าทีอ่อนลงของผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ “ถ้าไม่มีใครคัดค้านก็ตกลงตามนั้นนะคะ”
“คุณย่า” พระแพงอุทานเบาๆ อย่างตกใจ คุณหญิงหันไปขึงตาใส่หลานสาวนอกคอกที่ตั้งตัวอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับท่านมาตลอด แต่วันนี้หลานนอกคอกคนนี้กลับอยู่ข้างท่าน แล้วจะไม่ให้คนเป็นย่าดีใจได้ยังไงกัน
“คุณย่าเล่นมัดมือชกแบบนี้ไม่แฟร์นะคะ” พระแพงโวยวายทันทีที่เข้าไปให้ห้องทำงานผู้เป็นย่า แต่คนที่ถูกกล่าวหายังคงนั่งอ่านเอกสารบนโต๊ะเหมือนไม่สนใจอาการเด็กถูกขัดใจของหลานสาว
“ฉันไปมัดมือแกตั้งแต่เมื่อไหร่ยัยแพง แกเป็นคนเสนอก็ต้องรับผิดชอบสิ”
“แต่แพงเป็นตำรวจนะคุณย่า แพงต้องวิ่งไล่จับผู้ร้ายทุกวัน แล้วจะเอาเวลาไหนมานั่งทำงานล่ะคะ” เสียงตอนท้ายอ่อนและออดอ้อนขอความเห็นใจอยู่ในที เรียกความสนใจให้คุณหญิงโสภีต้องละสายตาจากเอกสารวางมือประสานกันบนแฟ้ม
“แกหยุดวิ่งไล่สักเดือนสองเดือน ท่านจินดาคงหาคนไปวิ่งแทนได้ไม่ยากหรอก มาช่วยงานย่าสักเดือนก่อนนะ ตอนนี้ย่าเหนื่อยเหลือเกิน” ประโยคสุดท้ายกับท่าทีอิดโรยอ่อนล้าของคนเป็นย่า ทำให้พระแพงอึ้งพูดอะไรไม่ออก ถึงเธอกับย่าจะมีความเห็นที่แตกต่างกันและเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด แต่เธอก็ไม่เคยเห็นหญิงแกร่งอย่างคุณย่าของเธอพูดแบบนี้สักครั้ง ตั้งแต่เธอเลือกที่จะสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจตามรอยคนเป็นปู่ซึ่งเป็นถึงอธิบดีกรมตำรวจในอดีต แทนที่จะเลือกเรียนออกแบบหรือบริหารเพื่อมาช่วยธุรกิจของตระกูล
“เอาเป็นว่าแพงจะออกท้องที่ให้น้อยลง เพื่อนั่งออกแบบงานให้คุณย่าก็แล้วกันนะคะ”
คุณหญิงก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารต่อ เพื่อซ่อนแววตายินดีเอาไว้ไม่ให้หลานสาวได้เห็น เสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้นสามครั้ง ก่อนที่อัมราเลขาหน้าห้องจะเปิดประตูเข้ามา
“ท่านคะ คุณชายเมฆามาขอพบค่ะ”
“รีบเชิญเข้ามาเลย” คุณหญิงเดินอ้อมโต๊ะทำงานไปต้อนรับด้วยตัวเอง พระแพงจึงเดินหลบไปนั่งโซฟารับแขกหลังห้อง “เชิญค่ะ ป้าคิดว่าคุณชายกลับไปแล้วซะอีก” คุณหญิงยิ้มให้คนมาใหม่ ปรายตาไปมองอภิญญา ลูกสาวของประจักษ์ที่ยืนเกาะแขนแกร่งอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ
“ไม่ยักรู้ว่าหลานนอกคอกของคุณย่าอยู่ที่นี่ด้วย” อภิญญาเอ่ยทักทายพระแพง ริมฝีปากแดงด้วยลิปสติกราคาแพงเหยียดยิ้มอย่างดูแคลน แต่พระแพงก็ก้มหน้าอ่านนิตยสารในมืออย่างไม่สนใจ ดวงตาคมเข้มของคุณชายเมฆาที่มองหลานสาวคนเล็กดูจะสนใจไม่น้อย คุณหญิงโสภีจึงเรียกพระแพงมาแนะนำให้รู้จัก
“พระแพงมารู้จักหม่อมราชวงศ์เมฆา ชโลธรเสีย เพราะเราต้องติดต่อและทำงานร่วมกับท่านจนกว่างานนี้จะเสร็จเรียบร้อย” พระแพงพนมมือไหว้ในฐานะผู้น้อย
“ไม่คิดว่าตำรวจไทยจะเก่งหลายด้าน”
“แน่นอนค่ะ ตอนนี้เขามีกระทั่งสอนทำอาหารและเย็บปักถักร้อยด้วยนะคะ” พระแพงประชดประชันออกไปเมื่อเห็นสายตาระรื่นของเขา
“หวังว่าคงได้ชิมฝีมือเธอบ้างนะพระแพง”
“โอ๊ย แม่คนนี้ทำอะไรไม่เป็นหรอกค่ะคุณชาย วันๆ เอาแต่วิ่งไล่จับผู้ร้าย ไม่สนใจงานที่บริษัทจนคุณย่าทั้งเคี่ยวทั้งเข็ญก็ไม่ยอม จนพวกเราเรียกหลานนอกคอกไปแล้ว”
“จะพูดจะจาอะไรก็ระวังหน่อยนะแม่ญา” ใบหน้าขาวของอภิญญาบึ้งตึงทันทีที่ถูกคนเป็นย่าตำหนิ “คุณชายมีธุระอะไรกับป้าหรือเปล่าคะ”
“จะมาขอบคุณผู้กองพระแพงน่ะครับที่ช่วยหญิงแต้วไว้เมื่อเช้า” คุณหญิงโสภีหันไปมองหน้าพระแพงอย่างสงสัย
“ช่วยอะไรเหรอยัยแพง” น้ำเสียงคาดคั้นเอาคำตอบของคนเป็นย่า ทำให้พระแพงลอบกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างลำบาก อภิญญาผละจากแขนคุณชายเมฆาไปเปิดทีวีให้ทุกคนดู
“คุณย่าดูนี่ดีกว่าค่ะ” คุณหญิงโสภีหันไปมองภาพเหตุการณ์ชุลมุนเมื่อตอนเช้า แม้จะเห็นหน้าไม่ชัดเพราะสวมหมวกแก๊ป ร่างโปร่งระหงดูมอมแมมเปื้อนไปด้วยคราบสีดำ แต่เธอก็รู้ว่าเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหลานสาวนอกคอกของท่านเอง อภิญญาซึ่งไม่ชอบพระแพงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วแอบยิ้มอย่างสะใจที่จะได้เห็นคนที่เธอและแม่เกลียดนักหนาถูกคนเป็นย่าด่าทอ
“เลือดปู่แรงได้ใจจริงๆ”
พระแพงก้มมองพื้นไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมองคนเป็นย่า
“ถ้าแม่พรเห็นคงลมแทบจับกระมัง ดีว่าชิงตายไปก่อนจะได้นั่งห่วงลูก” คำพูดประชดประชันอย่างไม่จริงจังของคุณหญิงโสภี ทำให้อภิญญายืนกำมือแน่นอย่างโกรธกรุ่น และเธอได้รู้แล้วว่าคนเป็นย่าไม่เคยโกรธหรือโมโหหลานนอกคอกแม้แต่นิดเดียว “ขอบคุณกันเองก็แล้วกันนะคะคุณชาย ป้าขอตัวทำงานก่อน” พูดจบคุณหญิงก็เดินไปทำงานที่ค้างอยู่
“เชิญข้างนอกสักครู่” คุณชายเมฆาผายมือเชิญอย่างสุภาพ แต่พระแพงยังคงยืนอยู่ที่เดิม เมฆาจึงใช้สายตาบังคับเธอให้เดินออกไป
***
