2.ความจริงกับความฝัน
***ทักทายคร้า ***
เมื่อจัดการกับคนร้ายจนสลบเหมือดไปแล้ว พระแพงก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เจ้าของท้องที่จับกุมคนร้ายไปฝากขังที่สถานี ส่วนตัวเธอก็เดินไปดูผู้เสียหาย
“เป็นยังไงบ้างคะ เดี๋ยวฉันขอดูแผลหน่อย”
การ์ดของวังชโลธรและป้าเกสรหลีกทางให้หญิงสาวทำงานได้สะดวกขึ้น พอคุณหญิงแต้วเห็นหน้าคนที่เสี่ยงชีวิตช่วยก็โผเข้ากอดพลางสะอื้นไห้ด้วยความหวาดผวา
“ขอบคุณนะคะพี่สาวที่ช่วยหญิง ฮือ ฮือ ฮือ”
พระแพงลูบแผ่นหลังบางอย่างปลอบโยน
“ไม่เป็นไรค่ะ เป็นหน้าที่ของตำรวจอยู่แล้ว พี่ว่าน้องไปหาหมอก่อนดีกว่านะ รถพยาบาลมาพอดี” พระแพงจับบ่าเล็กดันออกห่าง มือเรียวขาวยกขึ้นเช็ดน้ำตาออกจากแก้มให้อย่างเบามือ รอยยิ้มอบอุ่นและคำปลอบโยนยิ่งทำให้คุณหญิงแต้วผู้ไม่เคยมีพี่สาวสะอื้นไห้ไม่หยุด จนป้าเกสรต้องเข้าไปปลอบและกอดไว้เพื่อให้คลายความกลัว มือยับย่นลูบผมยาวสลวยขึ้นลง ปากก็คอยปลอบจนเสียงสะอื้นเบาลง แต่ความหวาดกลัวในดวงตากลมใสก็ยังไม่จางหายไป
“คุณหญิงปลอดภัยแล้วนะคะ ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว”
ลำแขนเรียวเล็กยกขึ้นโอบร่างท้วมของแม่นมอย่างหวาดหวั่น ร่างกายสั่นเทาจนป้าเกสรน้ำตาไหลเพราะความสงสารจับใจ
“เป็นความผิดของหญิงเองที่ดื้ออยากออกมาเดินตลาด ถ้าพี่ชายเมฆรู้เข้าคงเอ็ดหญิงแน่ๆ เลย” คุณหญิงแต้วเอ่ยถึงหม่อมราชวงศ์เมฆา ชโลธร พี่ชายคนเดียวที่ไม่ค่อยมีเวลาให้เธอ เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องงานเปิดตัวอัญมณีที่จะมีขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้านี้
“เดี๋ยวพี่จะช่วยยืนยันอีกแรงนะว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัย ยังไงพี่ชายของน้องคงเข้าใจ”
คุณหญิงแต้วยกมือปาดน้ำตาออกจากแก้ม สายตากลมใสมองหน้าคมสวยของหญิงสาวอย่างพิจารณา
“จริงๆ นะคะ ถ้าพี่สาวไปคุยหญิงว่าพี่ชายต้องเชื่อแน่ๆ”
“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้พี่จะไปพบพี่ชายน้องก็แล้วกันนะ แต่ตอนนี้น้องต้องไปทำแผลก่อน” คุณหญิงแต้วพยักหน้า ป้าเกสรเข้าไปประคองพาไปที่รถ แต่เด็กสาวก็หันมาบอกทั้งน้ำตา
“พี่สาวต้องไปที่วังชโลธรนะคะ ต้องไปให้ได้นะ”
พระแพงพยักหน้ารับอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยังไงเสียพรุ่งนี้เธอต้องไปสอบปากคำเด็กสาวอยู่แล้ว
“ผู้กองเจ๋งไปเลยครับ ผมตกใจแทบแย่ที่เห็นผู้กองวิ่งไปยืนข้างคนร้าย” พระแพงหันไปยิ้มให้ แล้วเดินถือหมวกไปคืนให้เด็กที่ยืนอยู่ข้างเตาหมูปิ้ง
“คราวนี้คงได้นอนกันจริงๆ ซะทีนะจ่า” พระแพงบอกขณะเดินไปขึ้นรถ จ่าเหน่งก็รีบวิ่งขึ้นไปประจำที่คนขับและขับกลับไปที่กองปราบปราม
รถสายตรวจวิ่งเข้าไปจอดข้างบันได ร่างโปร่งระหงเปิดประตูลงจากรถแล้วเดินขึ้นไปห้องทำงาน พอเห็นเพื่อนตำรวจยืนเรียงรายกันหน้าห้อง เธอก็หันไปมองคู่หู และเพื่อนตำรวจหญิงรุ่นเดียวกันแต่อยู่คนละส่วนงานก็เดินมาจับมือบางมากุมไว้ข้างหน้า
“เยี่ยมมากแพง เธอซัดคนร้ายซะสลบไปเลย ทีวีถ่ายทอดทั่วประเทศเลยล่ะ” สิ้นเสียงพูดเสียงปรบมือก็ดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มของเพื่อนร่วมอาชีพ พระแพงยิ้มให้กับทุกคนอย่างขอบคุณเช่นกัน
“สงสัยปีนี้ได้สองขั้นชัวร์ผู้กอง”
“ไม่ขนาดนั้นหรอก แค่ได้ทำงานตำรวจตลอดไปก็พอแล้ว” พระแพงพูดออกไปแล้วก็อดใจแป้วไม่ได้ เพราะเธอรู้ว่าที่บ้านพิชดาราก็คงจะได้ดูข่าวนั้นด้วย และก่อนที่การพูดคุยจะดำเนินต่อไป ประตูห้องทำงานของผู้กำกับก็เปิดออก ตามมาด้วยคนสำคัญของกรมตำรวจ นั่นก็คือพลตำรวจเอกจินดา ปานมั่น อธิบดีคนปัจจุบัน ส่วนคนที่ยืนข้างๆ ก็คือพันตำรวจเอกสมชาติ เจริญชัย ผู้บังคับบัญชาของเธอ ทุกคนตะเบ๊ะทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงาน คงเหลือเพียงพระแพงและจ่าเหน่งที่ถูกเรียกตัวไว้
“ไงผู้กอง เมื่อคืนก็จับคนขาย บ่ายก็จับคนเสพ คงหมดแรงแล้วสินะ เดี๋ยวไปพักให้หายเหนื่อยซะ พรุ่งนี้ค่อยมาลุยกันต่อ” ท่านอธิบดีจินดาบอกอย่างเห็นใจ ทั้งสองจึงโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
“มีงานด่วนเหรอคะท่าน”
“ก็ไม่เชิงนะ เดี๋ยวรายละเอียดค่อยคุยพรุ่งนี้ก็แล้วกัน ผมไปนะ” พูดเสร็จท่านอธิบดีจินดาก็เดินลงบันไดไปพร้อมกับผู้บังคับบัญชาของเธอ
“จ่าเขียนรายงานส่งผู้กำกับด้วยนะ”
“ผู้กองมีธุระเหรอครับ” พระแพงเป่าลมหายใจออกมาเบาๆ อย่างหนักใจกับธุระของตัวเอง “ดูท่าจะเป็นธุระสำคัญ หรือจะไปออกรบที่ไหนครับ”
“ออกรบยังไม่วิตกเท่าเข้าไปในพีพีจิวเวลรี่เลยนะจ่า”
จ่าเหน่งหัวเราะร่วนเมื่อรู้สาเหตุความหนักใจของผู้กองสาว
“ศึกหนักพอสมควร” จ่าเหน่งพูดขึ้นมาลอยๆ แววตาล้อเลียน สายตามองตามแผ่นหลังบางที่เดินจากไป ก่อนจะถอนหายใจออกมาดังๆ นั่งทำงานในออฟฟิศดูเครื่องประดับสวยๆ ไม่ชอบซะงั้นหัวหน้าเรา…จ่าเหน่งพึมพำกับตัวเองแล้วส่ายหน้า ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะทำงานเพื่อเขียนรายงานส่งผู้บังคับบัญชา
ร้อยตำรวจเอกพระแพง เงยหน้ามองอาคารทำการสูงเสียดฟ้าของพีพีจิวเวลรี่แล้วเปิดประตูเข้าไป ยามที่ยืนอยู่หน้าประตูยิ้มให้และโค้งคำนับหลานสาวคุณหญิงโสภี พิชดารา ประธานบริหารพีพีจิวเวลรี่อย่างนอบน้อมและคุ้นเคย ถนอมหรือที่เธอชอบเรียกว่าไอ้หนอม คนขับรถประจำตัวคุณหญิงย่าของเธอวิ่งเข้ามาหา
“ผู้กองแพงมาแล้วเหรอครับ”
หญิงสาวหันไปมองต้นเสียงและเดินผ่านห้องโถงใหญ่ชั้นล่าง สายตาช่างสังเกตตามอาชีพมองผู้ชายสวมสูทสีดำสามคนที่ยืนคุยกันอยู่มุมห้องอย่างสนใจ แต่เท้าก็ก้าวเข้าไปในลิฟต์ผู้บริหาร ถนอมมองตามสายตาเจ้านายสาวแล้วกดชั้นที่ต้องการ
“ผู้ชายสามคนนั้นพาเศรษฐีที่ไหนมาซื้อเครื่องประดับคุณหญิงย่า”
“บอดี้การ์ดท่านชายเมฆาครับ ท่านมาประชุมเรื่องเครื่องเพชรที่จะโชว์ในงานเครื่องประดับนานาชาติ”
พระแพงพยักหน้าอย่างไม่สนใจมากนัก พอดีกับประตูลิฟต์เปิดออก ใบหน้าสวยมองซ้ายขวา พอไม่เห็นใครก็จะเลี้ยวไปที่ห้องรับรอง
“ผู้กองจะไปไหนครับ”
หญิงสาวชะงักเมื่อถนอมวิ่งไปดักหน้า
“ก็ไปรอที่ห้องรับรองน่ะสิ คุณย่าประชุมยังไม่เสร็จไม่ใช่เหรอ”
“ท่านบอกให้ผู้กองไปรอที่ห้องทำงานของท่านครับ”
คิ้วโก่งสวยยกขึ้นเมื่อสถานที่นั่งรอของเธอถูกกำหนดด้วยคนเป็นย่า แต่ร่างโปร่งระหงก็หันกลับไปยังห้องที่อยู่ทางปีกซ้ายตามคำสั่งอย่างไม่มีเกี่ยงงอน ถนอมเป่าลมหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินตามไป
“เครื่องประดับที่จะแสดงในงานถูกลูกค้าสั่งให้แก้ตั้งหลายชิ้น แบบนี้เราจะเสียเวลามากนะครับท่าน” เสียงสนทนาเล็ดลอดออกมาจากห้องประตู ทำให้พระแพงหยุดฟังอย่างอยากรู้ เพราะการเรียกผู้ถือหุ้นและผู้บริหารมาประชุมร่วมกันไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในพีพีจิวเวลรี่ เว้นเสียแต่ว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเท่านั้น
“ไม่ใช่แค่เสียเวลา แต่เราจะเสียชื่อแล้วก็เสียลูกค้าด้วย” เสียงนั้นเธอจำได้ว่าเป็นเสียงของอาประจักษ์ซึ่งเป็นน้องชายบิดาแต่คนละแม่ ดังออกมาอย่างไม่พอใจ การโต้เถียงที่เกิดขึ้นทำให้พระแพงพอจะเดาเหตุการณ์ได้ว่าเคร่งเครียดแค่ไหน หรือบางทีอาจจะมีการก่อม็อบเล็กๆ ขึ้นก็ได้
“เราจะไม่เสียอะไรทั้งนั้น ถ้าพวกเราร่วมมือกัน”
“คุณป้าอย่าหลอกตัวเองสิครับ การบริหารถ้าเกิดผิดพลาดแบบนี้บริษัทต้องเสียรายได้ไม่รู้เท่าไร แล้วผู้ถือหุ้นจะเชื่อใจได้ยังไงว่าเงินพวกเขาไม่สูญเปล่า”
ผู้ถือหุ้นจำนวนหนึ่งเริ่มครุ่นคิดตามคำพูดของประจักษ์ ในขณะที่ร่างสูงสง่าของหม่อมราชวงศ์เมฆายังคงนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะอย่างสงบ
“การลงทุนเราก็ต้องการกำไรนะครับคุณหญิง ถ้าบริหารแล้วขาดทุนเราก็คงต้องถอนหุ้น” ผู้ถือหุ้นรายหนึ่งเอ่ยออกมาอย่างไม่เกรงใจ
***
