บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 : ทบทวน

เพื่อนอีกคนที่นั่งดื่มโค้กแคนอย่างเอาเป็นเอาตายคือเกื้อขวัญ นี่ก็เป็นเจ้าของกิจการอีกเหมือนกัน เกื้อขวัญมีบริษัทออกแบบตกแต่งที่ร่วมหุ้นกับรุ่นพี่ที่สนิทกันและมีแฟนเป็นนักเขียนนิยายรักอีกด้วย เรื่องนี้ทำเอาเพื่อนคนอื่นร้องครางคร่ำครวญรวมถึงฉันที่อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ ฉันเคยอ่านหนังสือที่คนรักของเพื่อนเขียนอยู่บ้าง ทำไมอยู่ดีๆโลกก็กลมวนเวียนชีวิตพวกเราให้เข้ามาพัวพันกันได้อยู่นั่น ถัดมาอีกคนคือ ซิ่ว สาวสวยมินิมอลประจำกลุ่ม หล่อนตัวเล็กอย่างไรก็อย่างนั้น เวลาที่ผ่านไปความมินิของคุณหนูซิ่วก็ยังเป็นจุดขายอยู่นั่นเอง ตอนนี้ซิ่วทำร้านอาหารอยู่ที่บ้านสวนของญาติแถบชานเมือง เป็นร้านบรรยากาศกึ่งสวนและทำเป็นที่พักด้วย ฉันฟังคุณหนูซิ่วเล่าเรื่องราวของตัวเองแล้วก็ยังอึ้งไปไม่น้อย หล่อนเล่าเรื่องวุ่นวายที่ถูกแม่จับถุงคลุมชนจะบังคับให้หมั้นกับอาตี๋ที่ฮ่องกง เรื่องเล่าของซิ่วสนุกและน่าติดตาม หล่อนพูดถึงคนรักที่คบหากันตั้งแต่เหตุการณ์ช่วงนั้นจนมาถึงปัจจุบันนี้ก็ยังรักกันเหนียวแน่นปึ้กแถมบ้านก็อยู่ห่างกันแค่ถนนในซอยกั้นอีกด้วย

“เนี่ยกำลังคิดว่าจะทำสตูดิโอถ่ายงานไว้ในสวนหลังบ้านเสียเลย จะได้ไม่ต้องไปทำงานไกลๆ เดี๋ยวก็ไปนั่นไปนี่ไปทีนึงสามวันสี่วัน”

“อะโห ถามเค้าแล้วเหรอซิ่ว เค้าอยากทำรีเปล่าน่ะ” เกื้อขวัญร้องแซว จึงทำให้ทั้งโต๊ะร่วมสนับสนุนเออออกันยกใหญ่ ฉันก็ได้แต่นั่งยิ้มๆ แกว่งหลอดเล่นในแก้วลาเต้ปั่นของตัวเอง ส่วนอีกคนที่ไม่น่าเชื่อที่สุด ณ จุดจุดนี้ คือไอ้วีของเพื่อนๆ ฉันงงหนักมากที่เพื่อนคนนี้มีอาชีพเป็นตำรวจ ไอ้วีที่โดนเรียกเข้าห้องปกครองไม่เว้นแต่ละวันจนฉันต้องปลอมลายมือลงชื่อเข้าเรียนให้ตั้งหลายครั้งเนี่ยนะ แล้วก็ไม่ได้เป็นตำรวจหญิงที่ทำงานเป็นเสมียนพิมพ์บันทึกแจ้งความคนถูกลอตเตอรี่หรือออกจดหมายเวียนไปวันๆ วีวราในตอนนี้มียศเป็นถึงพันตำรวจตรีอยู่ในหน่วยปฏิบัติการพิเศษซึ่งแน่นอนว่าเพื่อนไม่ได้เล่าอะไรเรื่องงานให้ฟังมากกว่านั้นและก็ไม่มีใครจะกล้าเสี่ยงถามต่อด้วย นี่เจสซี่มันไปได้ตัววีวรามาได้ยังไง

“แล้วท่านพันตำรวจตรีมีคุณนายรึยังเนี่ย” ทุกคนพอได้ฟังประโยคนั้นของเจสซี่ก็ทำเป็นยิ้มเจื่อนๆแล้วต่างก็ยกแก้วน้ำของตนเองขึ้นมาจิบอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย

“มีแล้ว ทั้งคุณหญิงคุณนายเลยล่ะจ๊าด” วีวราตอบ แปลกที่เจสซี่ไม่โวยวายเรื่องชื่อของตัวเองเลย หรือข้อสันนิษฐานที่เคยได้ยินมาจะเป็นเรื่องจริง พม่ากลัวตำรวจ

“คุณหญิงน่ะแม่ใช่มั้ย เคยเห็นแม่วีครั้งเดียวเองน่ะ จำได้ตอนนั้นขนาดครูที่ดุที่สุดในโรงเรียนยังได้แต่ยืนหน้าเจื่อนเลย” เรนารถเอ่ยขึ้นทบทวนความจำ และมันทำให้ทุกคนพนักหน้าตามกันเป็นแถว

“คุณนายผ่านด่านคุณหญิงแม่มาได้ยังไง ไม่ธรรมดานะนิ” ซิ่วตั้งข้อสังเกตขึ้น ส่วนวีวรานั่งอมอมยิ้มอยู่ในท่าไขว่ห้างอวดขายาวๆในกางเกงผ้าสีกากีทรงสลิม ดูยังไงก็ไม่เห็นเค้าลางความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฏร์จากเพื่อนคนนี้ คือต่อให้มันไม่อมจูปาจุ๊บฉันก็ไม่เห็นความเป็นตำรวจในตัวมันอยู่ดี

“ว่าไป ต้องเอาชีวิตเข้าแลกเชียวนะซิ่ว ไม่ใช่จะได้มาง่ายๆ” แล้วเพื่อนก็เล่าให้ฟังคร่าวๆถึงเหตุการณ์งานสืบราชการลับแสนลับเมื่อหลายปีก่อนซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสถาปนาตำแหน่งคุณนายผู้บังคับบัญชาสูงสุดของพันตำรวจตรีวีวรา จุดพีคมันมาอยู่ตรงที่ทั้งคู่พบรักกันหลังจากใช้เวลาบู๊ล้างผลาญร่วมกันเพียงไม่กี่วันแต่ก็รักกันยืนยาวมาจนถึงปัจจุบันวันนี้ น่าจับเรื่องรักของวีวรามาทำเป็นกรณีศึกษาเปรียบเทียบกับเรื่องของฉันเสียจริง

“นี่สรุปว่าใครๆเขาก็มีคู่กันหมดยกเว้นแกนะเพลิน ไม่ถูกจังหวะเอาเสียเลย” เจสซี่พูดขึ้นเป็นนัยถากถาง ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรเพื่อนหรอก ได้แต่ยักไหล่ไปตามน้ำขณะที่แสงแดดเริ่มโรยอ่อนลงทุกที เสียงเพลงในร้านเริ่มเปลี่ยนมาเป็นสไตล์ฟังเรื่อยๆเย็นๆรับกับบรรยากาศย่ำค่ำที่กำลังจะมาถึง

“ใจร้ายน่ะเจส ไปขยี้เพลินทำไมแค่นี้ก็คงรู้สึกแย่พอแล้วน่ะ” เรนารถยังคงเป็นเพื่อนสาวแสนอ่อนหวานเสมอมา แต่ตอนนี้ฉันคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าหล่อนจะนั่งเงียบๆไม่ต้องเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาอีก

“คนเราน่ะ เวลาเสียใจมันต้องระบายออกนะ ไม่งั้นได้เป็นโรคซึมเศร้าทำร้ายตัวเอง หนักเข้าก็ฆ่าตัวตาย ไม่ดีหรอก” เจสซี่เสริมขึ้น ฉันชักเริ่มอึดอัด นั่งเอามือประสานกันไว้ที่แก้วเชอรี่โซดาซึ่งสั่งมาแทนที่ลาเต้ปั่นซึ่งหมดเกลี้ยงไปแล้ว

“ใช่ พูดมีเหตุผล เราทุกคนอยู่ตรงนี้แล้วนะเพลิน เพื่อแก” เสียงเล็กๆของซิ่วฟังงุ๋งงิ๋งคล้ายกระดิ่งโมบาย ฉันแน่ใจว่าฉันได้ยินที่เพื่อนพูดทุกคำแต่กลับแปลงถ้อยคำเหล่านั้นให้เป็นภาษาที่สมองเข้าใจรับรู้และยอมรับไม่ได้

“คือ พวกแกจะให้ฉันเล่าเหรอ” ฉันไม่น่าถาม เพราะพวกมันรอพยักหน้าอยู่แล้ว แม้แต่สารวัตรวีวราก็ยังเอากะเขาด้วย

“ไม่ดีกว่า ฉันยัง..ทำใจไม่ได้”

“ยังร้องไห้อยู่เหรอ” น้ำเสียงของวีวราฟังเหมือนเป็นคำถามแต่ฉันรู้สึกเหมือนเป็นการสอบปากคำมากกว่า หรือว่าจะคิดไปเองเพราะเกร็งที่รู้ว่าเพื่อนเป็นตำรวจ ฉันไม่ตอบคำถามนั้น เพียงแต่พยักหน้าแล้วก็ยกแก้วเชอรี่โซดาขึ้นมาก่อนจะเอาหลอดเขี่ยลูกเชอรี่ในแก้วใส่ปาก เพื่อนทั้งโต๊ะตกอยู่ในภาวะเงียบงัน หากเป็นภาษาวิทยุเราจะเรียกสถานการณ์อย่างนี้ว่า Dead air

“ฉัน เอ่อ ฉันไม่คิดว่าวันนี้นัดเจอกันแล้วต้องคุยกัน..เรื่องนี้” ฉันคิดวนเวียนอยู่นานในหัว ตอนแรกก็ได้แต่คิดอยู่ในใจ แต่ทำไงได้ตอนนี้สมองฉันมันสั่งการให้ปากโพล่งบอกสิ่งที่อยู่ในความคิดออกไปให้โลกรู้แล้ว

“นั่นสิ แล้ว..จ๊าดเป็นยังไงบ้างล่ะ ไปไงมาไงถึงไปสตูดิโอที่เพลินทำงานอยู่ได้” เป็นเกื้อขวัญที่ตัดบทได้อย่างแนบเนียน ฝ่ายคนถูกถามเหมือนยังตั้งตัวไม่ติดจึงได้แต่เอ้ออ้ากว่าจะคิดคำตอบออกมาได้ ไม่นานไฟในร้านก็เปิดขึ้นพร้อมกับเสียงเพลงชาติบอกเวลาหกนาฬิกา เราทุกคนยืนตรงล้อมรอบโต๊ะ ฉันคิดว่าที่ต้องทำเพราะวีวรามันลุกขึ้นยืนก่อนใครเพื่อน ครั้นคนอื่นจะนั่งดูเพื่อนแสดงความรักชาติอยู่คนเดียวก็กลัวใจสารวัตรท่านจะหันมาสั่งขังลืมก็เลยต้องลุกกันยกโต๊ะ พอเพลงจบพนักงานในร้านก็วิ่งรี่มาทันที คราวนี้ไม่ใช่คนที่รู้จักกับเรนารถ พนักงานถามว่าจะกลับกันแล้วหรืออย่างไรซึ่งทุกคนรวมทั้งฉันต่างก็โบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน

“เออ ฉันว่าเรากินข้าวเย็นกันด้วยเลยดีกว่า สั่งอาหารด้วยค่ะน้อง” เรนารถจัดแจงเรียกเมนูของร้าน จากการนั่งจิบกาแฟเม้าท์มอยตอนนี้เริ่มขยับกลายเป็นนั่งล้อมวงกินข้าว ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้วเพราะถึงอย่างไรถ้าไม่กินกับพวกเพื่อนๆฉันก็คงได้ไปพึ่งข้าวกล่องในร้านสะดวกซื้อแล้วก็ไปจบลงที่เบียร์ในตู้เย็นที่ห้องครัวบ้านตัวเอง ระหว่างรอสำรับกับข้าวเราต่างพูดคุยกันสรรพเพเหระทั้งเรื่องละครเรทติ้งดี การแบ่งสีรถไฟฟ้าสายต่างๆและความหมายของมัน ยังมีเรื่องคดีดังเก่าๆที่แล้วแต่ว่าใครจะนึกออกแล้วก็เปิดประเด็นตั้งคำถามไปที่วีวรา จนพันตำรวจตรีต้องออกตัวว่าคดีอะไรก็ตามที่สามารถออกข่าวได้นั้นล้วนไม่ใช่งานที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษรับผิดชอบจึงให้ความเห็นได้แค่นิดๆหน่อยๆพอหอมปากหอมคอเท่านั้น ระหว่างที่บทสนทนากำลังดำเนินไป เสียงและถ้อยคำโต้เถียงมากมายลอยข้ามหัวฉันไปมา เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าเสียงเหล่านั้นแผ่วจางบางเบาลงทุกที แต่สิ่งที่ยังชัดเจนนั้นมีเพียงชื่อของฉัน

ฉันได้ยินมันชัดยิ่งกว่าอะไร เสียงนั้นของเธอที่ยังคงซ้ำซัดอยู่ในความรู้สึก

“เพลิน!” เสียงเธอกรีดร้องตะโกนเรียกชื่อของฉัน ปลายน้ำเสียงสั่นเครือจับได้ชัด ฉันหันกลับไปทางด้านประตูห้องที่ถูกพาเดินเข้ามา เธอยืนอยู่ตรงประตูที่เปิดอ้ามือข้างหนึ่งยังคาอยู่ที่ลูกบิด น้ำตาอาบแก้มไหลเรื่อยลงไปชื้นแฉะอยู่ที่ปกเสื้อเชิ๊ต หัวใจของฉันร่วงหลุดออกจากร่างไปฉับพลันทันใดขณะที่อีกหนี่งร่างบางยังกอดรั้งฉันอยู่ไม่ยอมปล่อย ฉันพูดอะไรไม่ออก ทั้งที่สมองร้องสั่งอยู่ปาวๆว่าให้พูดอะไรบ้างแต่ปากเจ้ากรรมก็ทำได้แต่อ้ารอแมลงวันไม่ยอมเปล่งเสียง เธอจ้องฉันได้ไม่นานก็หลบสายตาแล้วก็หันหลังกลับออกไป เสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นในแต่ละก้าวของเธอดังย้ำชัดเหมือนกับฆ้อนอันใหญ่กำลังตอกลงมาที่หัวของฉันครั้งต่อครั้ง แล้วภาพของเธอก็ถูกบานประตูที่ค่อยๆปิดลงบดบัง ฉันได้ยินเสียงแกร๊กเบาๆเมื่อเดือยของลูกบิดกลับเข้าร่องได้แนบสนิทชิดเชื้อ มันชัดยิ่งกว่าอะไร และมันช้าเกินไปกว่าฉันจะขยับตัวได้อีกครั้ง

“นิด นิด!” ฉันร้องตะโกนโหวกเหวก วิ่งห้อออกมาจากห้องนั้นราวกับตัวเองเป็นม้าป่าจ่าฝูง นิดในชุดเชิ๊ตเทาขนาดสองเอสกับกางเกงสเลคเข้ารูปสีดำและรองเท้าส้นสูงแนชเชอไรเซอร์เบอร์ห้าครึ่งของเธอเดินลิ่วๆผ่านกลุ่มคนที่กำลังชมมินิคอนเสิร์ตในบาร์ไฮเอนด์ใจกลางย่านทองหล่อ ร่างของเธอถูกกลืนหายไปกับกลุ่มคนที่กำลังเพลิดเพลินกับเสียงดนตรี ฉันมองหาเธอท่ามกลางแสงไฟหลากสีในพื้นที่ที่ความสว่างเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เสียงเพลงยังคงดังก้องไปทั่ว ผู้คนร้องเพลงคลอไปกับศิลปินที่แสดงสุดฝีมืออยู่บนเวที ความสุขหรรษาเฉิดฉายสาดซัดกระจายราดรดลงมาบนร่างของฉันจนสำลักกระอักกระอ่วน ฉันพยายามแทรกฝ่าฝูงคนเหล่านั้น ตะโกนร้องเรียกเธอทั้งที่ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน สุดท้ายฉันออกไปยืนเหงื่อตกที่หน้าร้านแต่ก็ไม่พบผู้หญิงของฉันอีกแล้ว ที่หันมาสนใจก็มีแค่กลุ่มชายนักท่องราตรียืนอัดบุหรี่กันอยู่ข้างถังขยะเท่านั้นเอง

“ใช่มั้ยเพลิน เพลิน” ฉันสะดุ้งนิดหน่อย ก่อนจะดึงสติกลับมาอยู่กับกลุ่มเพื่อนและอาหารนานาจานบนโต๊ะ

“ฮะ เออ ใช่” ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้ยินว่าซิ่วถามอะไร แต่คิดเอาว่าไม่น่าจะเป็นคำถามที่ยากและฉันก็ไม่อยากแสดงให้พวกมันรู้ด้วยว่าฉันใจลอยหลุดกลับเข้าไปในอดีตของตัวเองต่อหน้าต่อตาต้มยำกุ้งควันฉุย เพราะไม่อย่างนั้นเรื่องคงไม่จบง่ายๆ ฉันเข้าใจและซาบซึ้งอยู่หรอกกับความห่วงใยของเพื่อนที่ไม่ได้พบหน้ากันมาเป็นสิบๆปีหยิบยื่นให้ แต่ตอนนี้ฉันไม่คิดว่าใครหน้าไหนจะช่วยฉันให้รอดพ้นไปจากสถานการณ์ที่เป็นภัยคุกคามในสมรภูมิน้ำตาแห่งนี้ แม้แต่พันตำรวจตรีก็คงช่วยไม่ได้ ฉันคิดอย่างนั้น

“ดีเลย งั้นฉันจะช่วยคิดว่าจะทำยังไง นัดครั้งต่อไปเราจะหารือเรื่องนี้และช่วยแกให้สำเร็จ” เจสซี่พูดเร็วปร๋อจนฟังแทบไม่ทัน ที่ฉันจับได้คือริมฝีปากฉาบสีนู้ดโทนกับคำว่า ช่วยฉันให้สำเร็จ นี่เจสซี่มันเปลี่ยนไปมากจริงๆนะ คิดไม่ออกเลยว่าหากแฟนรุ่นน้องที่เคยควงสมัยมัธยมมาเจอเจสซี่ในสภาพนี้จะทักเพื่อนฉันว่าอะไร

“แน่ใจนะว่าจะยังยื้อต่อ แน่ใจนะว่าสู้ไหว” ประโยคนั้นของพันตำรวจตรีทำให้ฉันต้องหันไปมองหน้าแล้วก็ย่นคิ้วเข้าหากันอย่างจริงจัง

“อะไร สู้อะไร”

“อ้าว ก็สู้เพื่อความรักไงล่ะเพลิน พวกเราทุกคนจะช่วยแกเอง ตะกี๊แกยังบอกว่าใช่อยู่เลย” เกื้อขวัญร่ายยาว ส่วนฉันนั่งตาลอยเหม่อไปบนท้องฟ้ามองหาดาวเคราะห์แทรพพิสท์วันเอฟที่คาดว่าจะเป็นโลกใบที่สองของมวลมนุษยชาติ

“มันจะเจ็บปวด แต่ถ้าแกรักเค้ามากพอ มันก็คงไม่มีอะไรมาทำให้เจ็บไปกว่าการต้องเสียเค้าไป” วีวรากล่าวจบก็ยกแก้วชูขึ้นกลางโต๊ะ ทุกคนรวมทั้งฉันก็ต้องยกแก้วของตัวเองขึ้นด้วย น้ำดื่มหลากสีสันอยู่ในมือของแต่ละคน พวกเรายื่นปากแก้วเข้ากระทบกันเบาๆ เสียงแก้วพวกนั้นทักทายกันดังกรุ๊งกริ๊งน่าเอ็นดู ฉันได้ยินมันชัดยิ่งกว่าอะไร.

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel