บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 : เพื่อ...

เช้าวันอาทิตย์..

เสียงเพลงยังคงแว่วดังเมื่อฉันลืมตาตื่นขึ้นมา ความงัวเงียยังคงรุมเร้าไม่จางหายแต่สมองของฉันมันไม่ยอมสั่งให้ร่างกายนอนพักผ่อนต่ออีกแล้วจึงต้องขยับตัวบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบ หลังจากที่นอนขดมาหลายคืนบนโซฟาตัวเดิมจึงได้ทบทวนกับตัวเองว่าฉันอาจจะคิดดูใหม่เรื่องซื้อโซฟาเบดขนาดเหมาะๆสักตัวเอามาตั้งไว้ในห้องรับแขกอย่างที่เธอเคยบอก เหลือบมองตัวเลขบอกเวลาที่หน้าปัดเครื่องเล่นดีวีดีที่ใส่แผ่นคอนเสิร์ตการแสดงสดของวงดนตรีไอริชไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เสียงดนตรีและภาพการแสดงดึงฉันไว้ไม่ได้นาน พอเอนหลังลงบนโซฟาดูดวิญญาณสติฉันก็หลุดลอยไปด้วยความเหนื่อยอ่อน เมื่อคืนเกื้อขวัญมาส่งฉันที่หน้ารั้วก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว ฉันเดินหงอยเหงาเข้าบ้านใช้เวลาอาบน้ำไปหนึ่งชั่วโมงก่อนจะเข้าไปใช้จ่ายเวลาส่วนที่เหลือยืนมองเตียงนอนที่ไม่เหลือรอยยับยู่อีกต่อไป ต้องชมป้าพิณแม่บ้านเจ้าของแมวน้อยว่ามีฝีมือในการปูเตียงได้เรียบแน่นตึงเป๊ะจนไม่อาจพิสูจน์ทราบได้เลยว่าก่อนหน้านี้มันมีร่องรอยอะไรอยู่บ้าง หลังจากใช้เวลาอยู่ในห้องของเราซึ่งเธอถอนตัวออกไปแล้วและมอบสิทธิเจ้าของห้องนอนห้องนี้รวมทั้งเตียงขนาดหกฟุตให้ตกเป็นของฉันแต่เพียงผู้เดียว ผ้าปูเตียงเรียบไร้ที่ติจนฉันไม่กล้าจะวางก้นลีบๆของตัวเองลงนั่งจึงได้แต่ยืนมองมันอยู่ห่างๆ ครุ่นคิดไปถึงร่างบอบบางที่เคยตระกองกอดอย่างทะนุถนอมนอนเคียงข้างกันบนผ้าปูลายตารางสีเทาครีมผืนโปรดของเธอ ฉันยืนมองอยู่อย่างนั้นจากภาพชัดๆก็เริ่มพร่ามัวเพราะน้ำตาเอ่อรื้นขึ้นมาอีกรอบ ฉันประเมินตัวเองสูงไปที่คิดว่าอดทนอดกลั้นต่อการร้องไห้ได้ดีตอนนี้รู้แล้วว่าฉันร้องไห้ง่ายมาก น้ำตาสั่งได้ราวกับนางเอกจินตหรา สุขพัฒน์ นี่ถ้าหากฝึกควบคุมทิศทางให้ไหลออกจากตาซ้ายหรือขวาตามใจต้องการได้ด้วยล่ะก็ฉันคงได้พาตัวเองไปฝากตัวกับพี่เอศุภชัยให้พาเข้าวงการไปเสียเลย ฉันสะบัดหัวไล่ความงัวเงียก่อนจะปิดเครื่องเล่นดีวีดี ลุกขึ้นยืนแล้วมองไปรอบๆโถงรับแขกกลางบ้าน ฉันเริ่มคุ้นกับการนอนที่ชั้นล่างตรงโซฟาหน้าทีวีเสียแล้ว เอาเป็นว่าหากเธอเปลี่ยนใจจะกลับมาวันไหนฉันอาจต้องทบทวนเรื่องกลับขึ้นไปนอนในห้องด้านบนซึ่งเธอจะไม่พอใจแน่ๆแต่ฉันก็จะแก้ปัญหาด้วยการซื้อโซฟาเบดดีๆสักตัวอย่างที่เธอเคยบอก เชื่อเถอะว่าเราจะใช้ประโยชน์มันอย่างคุ้มค่าเลยทีเดียว

ฉันเดินเข้าครัว เปิดตู้เย็น ไม่มีอะไรที่เป็นอาหารแช่อยู่เลย ส่วนเครื่องดื่มนั้นออกจะเยอะเกินความจำเป็น ฉันเมินใส่ตู้เย็นแล้วก็เสียบกระติกน้ำร้อน เหลือบมองนาฬิกาที่ผนังห้องครัวอีกครั้ง ยังพอมีเวลาจิบกาแฟสักถ้วยก่อนจะออกไปห้องอัด เมื่อคืนก้อนทองส่งข้อความเรื่องนัดวงแบ็คอัพได้แล้ว อันที่จริงก็ไม่เชิงว่าเป็นการนัดหากแต่วงจะทำการซ้อมเพื่อเตรียมไปแสดงงานจ้างของเขาพอดี ก้อนทองจึงติดต่อขอเข้าไปแจมอัดเสียงด้วย เพราะอย่างนี้ทีมฉันจึงต้องไปหานักดนตรีที่ห้องซ้อมของพวกเขาซึ่งน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วในตอนนี้ หลังจากดื่มกาแฟเสร็จฉันขึ้นไปอาบน้ำและเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเข้าห้องนอนเพื่อหาเสื้อผ้าใส่ หัวเสียกับตัวเองที่เมื่อเวลาผลักประตูห้องแล้วต้องหลับตาราวเด็กน้อยที่กำลังจะเดินเข้าห้องทำฟัน ตู้เสื้อผ้าถูกเปิดออกฉันคว้าเสื้อยืดสีขาวตราห่านคู่ตัวที่แขวนอยู่ริมสุดออกมาและสวมยีนส์ตัวเดิม หันกลับไปมองเตียงหกฟุตมันยังคงอยู่นิ่งไม่เคลื่อนไหว ฉันมองมันและกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยในห้องนี้แต่ฉันมองเห็นตัวปรัศนีลอยอยู่เต็มไปหมด หากเตียงพูดได้มันคงอยากถาม ซึ่งก็ดีแล้วที่มันเป็นแค่เตียงที่เป็นใบ้เพราะฉันไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบคำถามของเตียงว่าอย่างไร ไม่แน่ใจด้วยว่าจะเข้าใจภาษาเตียง ฉันลงมาข้างล่างตรงชุดรับแขกหน้าทีวีที่เสมือนรังนอน คว้ากระเป๋าใบเดิม หยิบโทรศัพท์มือถือ เดินไปที่ประตูฝั่งโรงรถที่มีแผงแขวนกุญแจแปะอยู่ กุญแจรถถูกฉันเลือกในวันนี้ ส่วนกุญแจที่เธอแขวนทิ้งไว้ตั้งแต่วันก่อนฉันปล่อยให้มันอยู่ตรงที่เดิมตรงนั้น ไม่รู้สิ เผื่อว่าเธอจะกลับมาเอาล่ะมั้ง

การขับรถออกจากบ้านในวันอาทิตย์จะไม่ส่งผลกระทบต่อความเครียดเท่าไรนักแต่ห้องอัดที่ฉันจะไปอาจสร้างความอึดอัดใจบ้างเพราะถนนเส้นนั้นผ่านย่านที่ทำงานเก่าของฉัน จะขยี้ให้ช้ำกว่าเดิมคือเป็นที่ที่ฉันได้เจอกับเธอ เราพบกันครั้งแรกที่สถานีวิทยุแห่งนั้น เธอเป็นผู้ประกาศข่าวภาคภาษาอังกฤษส่วนฉันเพิ่งเข้าไปเป็น co-sound producer เราเจอหน้ากันทักทายกันตามประสาคนทำงานที่เดียวกันแต่ก็ไม่เคยหยุดพูดคุยกันจริงจังเพราะเวลาทำงานของเราไม่ตรงกัน ฉันเข้างานกลางดึกเลิกงานรุ่งเช้า ส่วนเธอเริ่มงานอ่านข่าวภาคเช้าตั้งแต่ตีห้าไปจนถึงสิบโมง ซึ่งนั่นก็เป็นเวลานอนของฉันแล้ว แน่นอนว่าเราจะได้ทักทายกันพอเป็นพิธีตอนเธอเดินเข้ามาในห้องอัดและฉันกำลังจะกลับบ้าน บางครั้งก็จะเป็นเธอที่แกล้งสะกิดให้ฉันรู้สึกตัวเพราะแอบงีบบนโซฟาตั้งแต่กลางดึกยันสว่าง เราพบกันและรู้จักกันที่นี่เพราะงานแต่ฉันเชื่อว่าความรักของเราไม่ได้เกิดขึ้นที่นี่ เราเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกันอยู่หลายเดือน กระทั่งวันงานเลี้ยงประจำปีครั้งแรกของฉัน ณ หาดบานชื่นที่ผืนทรายเป็นสีขาวละเอียดราวผงแป้ง เสียงกีตาร์ของวงเดป้าเปเป้อยู่เป็นเพื่อนฉันขณะยืนเปลือยเท้ารอแสงแรกของวันมาเยือน อาทิตย์แตะขอบฟ้าช้าๆและฉันเห็นเธออยู่ตรงนั้น กอดอกเหม่อมองแสงแรกด้วยปลายเท้าเปลือยเปล่าเช่นกัน เช้าวันนั้นฉันตกหลุมรักคนึงนิจโดยลืมไปเลยว่าตะวันยามเช้าที่ตนเองเฝ้ารอนั้นงดงามเพียงใดเมื่อเธอหันมาส่งยิ้มให้ เอียงใบหน้าคล้ายเขินอายที่รู้ว่ามีใครยืนมองเธอเล่นมิวสิควิดีโออยู่ริมหาด ฉันตายในวินาทีนั้นเอง รอยยิ้มของเธอพุ่งเป้าเข้าตรงที่หัวใจจนร่างของฉันกระตุกวาบไปกับแรงสั่นสะเทือน จำได้ว่ากลั้นหายใจไปตั้งหลายวินาทีก่อนจะยิ้มตอบเธอไป ภาพนั้นช่างต่างกับคนึงนิจที่ใบหน้าเปื้อนน้ำตาในเสื้อเชิ้ตสีเทาขนาดสองเอสที่มือข้างหนึ่งจับคาอยู่ที่ลูกบิดประตู ฉันกระพริบตาถี่ๆแล้วก็เห็นแต่ภาพส้นรองเท้าแนชเชอไรเซอร์เบอร์ห้าครึ่งกระทบพื้นส่งเสียงดังก้องสะท้อนในโสตประสาท มันชัดยิ่งกว่าอะไร เสียงนั่น..เหมือนเสียงโทรศัพท์เลยแฮะ ฉันดึงตัวเองกลับมาอยู่ในรถยนต์ของตัวเองแล้วก็พบว่าก้อนทองโทรเข้ามา

“เออ ใกล้ถึงแล้วล่ะ”

“ผมลืมมิกส์ซิ่งคอนโทรล กำลังวกกลับไปเอาเดี๋ยวตามไปเจอครับ” เสียงลมดังอู้อี้แทรกเข้ามาในสาย ดูเหมือนก้อนทอนจะขี่มอเตอร์ไซค์อยู่ ฉันตอบกลับไปว่าไม่มีปัญหาเพราะมีเวลาทั้งนี้อีกทั้งวันเผลอๆจะทั้งคืนด้วย เสียงก้อนทองเหมือนจะหัวเราะแต่ฟังแค่นๆพิกล อาจจะเป็นเพราะมีเสียงลมกระพืออยู่ตลอดเวลาด้วยก็ได้จึงทำให้ได้ยินไม่ค่อยถนัด

“เดี๋ยวพี่รอก้อนมาแล้วเข้าไปพร้อมกันก็แล้วกัน” ฉันกล่าว ก่อนจะวางสาย หันหัวรถผ่านประตูทางเข้าอะเวนิวเข้าไปและหาที่จอดได้ในที่สุด ตึกที่เป็นห้องอัดอยู่เยื้องกับตรงที่ฉันจอดรถไปไม่เท่าไหร่ ส่วนรอบๆบริเวณร้านรวงต่างๆก็เริ่มเปิดบริการแล้วฉันจึงเลือกออกไปนั่งฆ่าเวลาที่ร้านซาลาเปาวราภรณ์รอก้อนทองมาถึง เมื่อผลักประตูร้านเข้าไปก็ได้กลิ่นขนมจีบกับจิกโฉ่วทักทายเป็นลำดับแรก กระเพาะเริ่มงอแงส่งเสียงคร่ำครวญทันทีฉันจึงเดินไปสั่งติ่มซำมาสามเข่งก่อนจะเดินไปเลือกมุมสงบนั่งรออาหารเช้าฉันนั่งหันหน้าออกไปทางหน้าร้านที่เป็นกระจกเพื่อจะได้สังเกตคนผ่านไปมาได้ถนัด อย่างน้อยถ้าก้อนทองขี่รถมาถึงฉันจะได้เรียกให้เข้ามานั่งกินติ่มซำด้วยกันก่อน เวลาผ่านไปสักเดี๋ยวฉันก็จัดการฮะเก๋าไปเรียบร้อยและกำลังต่อด้วยขนมจีบปูไข่เค็มแต่ก็ถูกขัดจังหวะด้วยรถคันคุ้นตาที่กำลังเลื่อนผ่านร้านไปช้าๆ โฟล์คสวาเก้นสีเทอร์คอยต์ ยังไม่เห็นป้ายทะเบียน แต่เซ้นส์ฉันแรงทะลุ4G เชื่อแน่ว่านั่นคือรถเธอ เต่าคันงามแล่นผ่านไปแล้ว ฉันหันมองตามด้วยใจเต้นแรงจนแทบจะเด้งออกมากองในเข่งติ่มซำ ขนมจีบปูไข่เค็มจอดนิ่งสนิทอยู่ในถ้วยจิกโฉ่ว มองเห็นรางๆว่ามีคนนั่งมากับเธอด้วย

“อ้าว พี่เพลินอยู่นี่” เสียงก้อนทองร้องทัก ฉันเห็นก็ต่อเมื่อเขาเดินผ่านประตูเข้ามาแล้ว เขาส่งยิ้มแล้วเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะ

“แหมใจตรงกัน เห็นรถจอดตรงนั้นคิดว่าพี่เพลินคงนั่งในร้านไหนสักร้าน”

“แสนรู้นะ” ฉันชวนเขากินติ่มซำ ขณะที่รอให้ลูกน้องจัดการกับอาหารมื้อเช้าความคิดของฉันก็วนเวียนไปมาอยู่แต่กับคำถามที่ว่าเธอมากับใคร ใครมากับเธอ ใครที่อยู่ในรถคันนั้นกับเธอจะเป็นคนที่ฉันรู้จักหรือไม่ เธอจะสังเกตเห็นรถของฉันรึเปล่า ความคิดของฉันโลดแล่นไปไกลจนไม่ได้ยินอะไรที่ก้อนทองพูดออกมาเลย กระทั่งเขาสะกิดบอกว่าอิ่มแล้วและถึงเวลาต้องไปเสียที

เราสองคนเดินข้ามฝั่งกลับมาแล้วมุ่งหน้าเดินลึกเข้าไปในอะเวนิวที่เริ่มมีรถวิ่งเข้ามาเรื่อยๆ ก้อนทองหอบหิ้วอุปกรณ์ที่อยู่ในกระเป๋าใบใหญ่อยู่เต็มสองมือมองดูพะรุงพะรังขณะที่ฉันเดินเบาสบายสะพายกระเป๋าใบเดียว เมื่อมาถึงตึกที่เป็นห้องซ้อมและห้องบันทึกเสียงมาตรฐานก็เห็นว่านักดนตรีที่นัดหมายไว้นั้นมาพอดี ฉันทักทายทุกคนด้วยความคุ้นเคย สลัดไล่ความคิดที่เกาะติดอยู่กับโฟล์คสวาเก้นสีเทอร์คอยต์ออกไป เมื่อทุกคนขึ้นไปบนห้องอัดเสียงงานของฉันก็เริ่มได้เสียที ใช่ ฉันควรจะได้เริ่มงานถ้าไม่เกิดเหตุที่ว่าก้อนทองไม่ได้เอาไฟล์เสียงอันเก่ามาด้วย

“สงสัยผมลืมวางไว้ที่ออฟฟิศ” เขาสารภาพ

“ในรถพี่เพลินมีมั้ยอ่ะ” ก้อนทองเอ่ยถามฉันเพราะรู้ดีว่าไฟล์งานที่บันทึกลงแผ่นซีดีฉันจะต้องทำสำเนาไว้เผื่อเปิดฟังในรถด้วย

“เออ” ฉันทิ้งก้อนทองให้ติดตั้งและทดสอบอุปกรณ์กับวงดนตรีแบ็คอัพไปพลางๆขณะที่ฉันเดินกลับไปที่รถเพื่อหาซีดีแผ่นนั้น จังหวะที่โผล่หน้าออกมาจากตึกหันหน้าเตรียมจะบ่ายหัวเดินไปยังจุดจอดรถสายตาก็ปะทะเข้ากับใบหน้าของเธอเข้า คนึงนิจหยุดยืนห่างจากกันไปประมาณหกก้าว เธอสวมเสื้อชีฟองคอจีนสีครีมเปลือยท่อนแขนอวดหัวไหล่กระชับได้รูปคู่นั้น ชายเสื้อพลิ้วบางเก็บเรียบร้อยใต้ขอบสกินนี่เวสปอยต์สีน้ำเงินเอวต่ำขาลอย สวมแว่นตากรอบกลมแทนคอนแทคเลนส์ เท้าได้รูปของเธอสอดซุกอยู่ในรองเท้าผ้าใบร้อยเชือกพื้นบางสีขาวสะอาดตา เธอเดินมาคนเดียวและหยุดยืน ณ จังงังเมื่อเห็นฉันโผล่ออกมาจากตึก ฉันจ้องหน้าเธอ เธอจ้องหน้าฉัน เรามองตากัน สุดท้ายฉันเป็นฝ่ายกระพริบตาก่อนและหลบสายตาลงก้มมองพื้นคอนกรีตพิมพ์ลายจตุรัสเซนต์ปีเตอร์ อยู่ดีๆที่นี่ก็ตกอยู่ในความเงียบ เงียบจนฉันได้ยินเสียงหัวใจเต้นชัดเจน

“เพลิน” ฉันละสายตาจากพื้นกลับไปมองหน้าเธออีกครั้งตามเสียงเรียก จำเป็นต้องกลั้นหายใจเพราะเป็นสิ่งเดียวที่ทำแล้วรู้สึกว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุม ฉันเอาอยู่

“กินข้าวเหรอ” เธอร้องถาม ฉันได้ยินแต่ไม่ชัดเจนเท่าไร การมองหน้าเธอทำให้เกิดอาการตาพร่าและหูอื้อเฉียบพลัน

“ทำงานน่ะ” ฉันเอ่ย เธอพยักหน้าน้อยๆ เม้มปากแกมแค่นยิ้มในที ทำเสมองรถไอศกรีมที่กำลังแล่นผ่านมาก่อนจะตวัดสายตากลับมาที่ฉัน

“ไปนะ” เธอบอกลาคล้ายกระซิบ แต่ฉันได้ยินมันชัดเจนยิ่งกว่าอะไรจึงพยักหน้าน้อยๆให้เธอบ้าง ส่งเสียงอือเบาๆและโบกมือ ฉันเดินตรงเข้าไปหาเธอ เธอเดินตรงเข้ามาหาฉัน แล้วเราก็เดินสวนกัน กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มอันแสนอ่อนโยนโชยเรื่อยเข้ามาในความรู้สึก เมื่อหัวไหล่เล็กๆของเธอเบียดผ่านฉันไปหัวใจฉันสั่นสะเทือนและพ่ายแพ้ลงในวินาทีนั้นเอง

“นิด” ฉันหันกลับไปร้องเรียกเธอ แม้จะหยุดเดินแต่เธอก็ไม่หันกลับมา ฉันพูดอะไรไม่ออก ขยับจะอ้าปากแต่ก็ตีบตันไปหมด เวลาผ่านไปราวห้าวินาที แล้วคนึงนิจก็ก้าวเท้าเดินต่อไป เธอเดินในท่วงท่าและจังหวะธรรมดาอย่างไม่เร่งรีบทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะขยี้ให้ช้ำกว่าเดิมคือราวกับว่าเมื่อครู่เธอและฉันไม่ได้เดินมาพบสบตากัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel