บทที่ 2 : ย้อนคืน
ฉันตัดสินใจพาตัวเองออกจากบ้านก่อนที่จะกลายเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า เปลี่ยนมาสวมยีนส์สีดำแทนเดนิมสีซีดที่ใส่มาแล้วทั้งอาทิตย์ เสื้อยืดคอกลมตราห่านคู่แขวนเรียงอยู่ในตู้รอให้หยิบเลือก ฉันเลือกตัวสีขาวที่แขวนอยู่กลางๆราว จับตัวเองใส่เสื้อแล้วก็รวบข้าวของส่วนตัวใส่เป้คอนเวิร์ส รวบผมที่ทำท่าจะเริ่มยาวปรกหน้าตาไปไว้ด้านหลังเผยให้เห็นทรงด้านข้างที่ไถเกรียนรับลม สวมรองเท้าคู่เดิมกับเมื่อวานแล้วก็ออกมายืนรอแท๊กซี่ที่หน้ารั้วบ้านแต่พอดีว่ามีมอเตอร์ไซค์รับจ้างผ่านมาเสียก่อนฉันเลยอดนั่งตากแอร์ในแท๊กซี่ พระอาทิตย์ส่องแสงทักทายหน้าผากเหม่งๆของฉันอย่างไม่ปราณี เวลาสิบโมงกว่าๆของช่วงหน้าร้อนในกรุงเทพมหานครนั้นคงจะไม่ต่างกันเท่าไหร่กับอุณหภูมิแถวทะเลทรายโกบี พอไปถึงที่ทำงานที่ชั้นของห้องอัดและสตูดิโอวันนี้มีเพียงรปภ.มาอยู่ประจำจุดเพราะเป็นวันเสาร์ ฉันทักทายชายในเครื่องแบบพอเป็นพิธีแล้วเขาก็ปล่อยให้ฉันเดินเข้าไปข้างในได้โดยสะดวกโยธิน มองไปที่ห้องสตูดิโอตรงสุดทางเดินเห็นเปิดประตูอ้าซ่าไว้ให้แม่บ้านเข้าทำความสะอาดหลังจากที่เมื่อคืนถูกใช้งานจนดึกดื่น ฉันเดินเลี่ยงไปทางฝั่งห้องอัดเสียง ทั้งสี่ห้องวันนี้ว่างโดยพร้อมเพรียงกันคล้ายกับรู้ล่วงหน้าว่าจะมีสิ่งมึนงงชีวิตอย่างฉันเดินเข้ามาเพื่อหาห้องทำงาน ฉันเลยเลือกเดินเข้าห้องออดิ 2 ห้องเดิมที่เพิ่งลาจากกันไปเมื่อตอนห้าทุ่ม
ฉันพาตัวเองมาที่ออฟฟิศ จะด้วยงานที่ค้างคาใจหรือด้วยบรรยากาศอึมครึมไม่ดีต่อการหายใจคนเดียวก็แล้วแต่ เอาเป็นว่าฉันออกจากบ้านมาแล้วและติดแหง็กอยู่ที่ห้องออดิ 2 ในวันเสาร์ซึ่งมีเพียงรปภ.และเจ้าหน้าที่ช่างเทคนิคอยู่โยงเฝ้าชั้น หลังจากนั่งงมอยู่กับงานเก่าด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวดแต่ก็เหมือนคนบ้านั่งตกปลาที่บ่อเก่าด้วยเหยื่อเดิม คิดว่าทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆก็คงไม่มีทางได้ปลาฉันจึงโทรหาก้อนทอง
“ต้องอัดเสียงใหม่ นัดวงให้หน่อยสิ” ก้อนทองไม่ได้รีบตกปากรับคำอะไรกับคำขอ ดีไม่ดีคงกำลังนึกด่าฉันอยู่ด้วยซ้ำที่โทรหาในวันเสาร์และยังยัดเยียดหางานให้ทำอีกด้วย
“พี่จะอัดเสียงดนตรีใหม่ด้วยเหรอ แล้วมันจะทันเหรอพี่เพลิน”
“ก็ถ้านัดวงเข้ามาได้เร็ว ฉันก็ทำทันนะ” คราวนี้ก้อนทองถอนหายใจ เสียงมันบ่นกระปอดกระแปดว่าคราวซวยตกที่มันทุกที ฉันจึงช่วยยืนยันอีกแรงด้วยการปลอบใจก้อนทองว่านายคิดถูกแล้ว
“จะพยายามแล้วกัน ไม่รู้คิวงานเขาจะว่างให้หรือเปล่า”
“พยายามให้มากแล้วกันก้อน” หลังจากวางสาย เพื่อความไม่ประมาทฉันจึงส่งข้อความย้ำไปอีกว่าต้องการให้นักดนตรีเข้ามาอัดเสียงภายในสองวันนี้ เสียงเพลงยังครวญครางอยู่ข้างหูอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมันช่างต่างจากฉันที่ตอนนี้รู้สึกล้าไปหมดทั้งสมอง ฉันน่าจะรู้อยู่แล้วว่าการออกจากบ้านมาทำงานวันนี้มันคว้าน้ำเหลวแต่ก็ยังจะดื้อด้านออกมานั่งที่ห้องอัดอุดอู้นี้เอง บ้านที่มีแต่เงาของเธอมันหลอนความรู้สึกเกินไป ทางเดียวที่จะทำให้ฉันมีสติรับรู้โลกได้ต่อโดยไม่ผันตัวเองให้เป็นภาระของสังคมคือต้องออกมาจากบ้านรั้วไม้เทียมสีมะฮอกกานี ฉันปิดเสียงดนตรีที่ร้องระงมไม่รู้เหนือรู้ใต้แล้วเลือกเปิดเพลงที่ตัวเองชอบฟังขึ้นมาแทน เสียงเปียโนของJames Blunt กำลังบรรเลงท่อนแรกของ Goodbye my lover พอเสียงเปียโนจบก่อนที่น้ำเสียงของ James จะกระชากวิญญาณฉันหลุดลอยหยดน้ำตาก็ร่วงแหมะลงมาก่อนแล้ว โชคดีที่โทรศัพท์เครื่องบางมันสั่นอืดๆดึงความสนใจฉันจากเนื้อเพลงท่อนสร้อยอันแสนเจ็บปวด สายที่เรียกเข้ามาบอกว่าเป็นเจสซี่เพื่อนสาวชาวไทยเชื้อสายพม่า ฉันใช้หลังมือป้ายเช็ดน้ำตาอุ่นๆออกไปก่อนจะรับสายเพื่อน
“เฮ้ยเพลิน เจอกันหน่อยดิ” สังสรรค์อีกแล้วงั้นเหรอ สภาพฉันในตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยให้ทำอะไรแบบนั้นเท่าไหร่ เพื่อนจะตระหนักถึงข้อเท็จจริงในข้อนี้หรือไม่ที่ว่าฉันกำลังอยู่ในช่วงหัวใจบอบช้ำและอ่อนแอเกินกว่าจะปาร์ตี้
“เอ่อ..”
“มาเหอะนะ ออกมาเจอเพื่อนเก่าๆ ดีออก เดี๋ยวฉันส่งแผนที่ร้านไปให้”
“ไปตอนนี้เนี่ยเหรอ”
“เออสิ จะรอมาตอนตี 1 หรือไง แค่ชวนมานั่งจิบกาแฟเม้าท์มอยไม่ได้ไปใจแตกที่ไหนนะ”
“อ่อ เอาสิ” กาแฟก็น่าจะดี อย่างน้อยก็ดีกว่ารีบกลับเข้าบ้านในตอนกลางวันแสกๆที่ยังมีแสงสว่างกระจ่างชัดเจน ฉันไม่อยากกลับไปนั่งทบทวนความหลังกับแปรงสีฟันของตัวเอง ลำพังแค่เมื่อเช้าฉากในห้องครัวเหงาๆระหว่างฉันกับแมวน้อยที่เป็นหมาก็บีบคั้นความรู้สึกเกินรับแล้ว ฉันไม่คิดว่ามันจะแย่ขนาดนี้ ทั้งที่รู้ว่าสักวันนึงเรื่องต้องเดินมาถึงจุดนี้ ฉันกับเธอเรารบรากับความรู้สึกที่ไม่เข้าใจกันมาพักใหญ่ สุดท้ายเมื่อความสัมพันธ์ที่ร้าวแยกของเราถูกฉันทุบแหลกละเอียดคามือมันจึงไม่มีอะไรเหลือรั้งเธอไว้ได้อีก เราตัดสินใจยุติ ไม่สิ เธอตัดสินใจยุติความสัมพันธ์ของเราและไม่ลังเลอีกต่อไปที่จะทำให้มันชัดเจนโดยการเอ่ยคำว่า เลิกกัน อย่างเป็นทางการพร้อมตอกย้ำว่ามันได้จบบริบูรณ์ลงแล้วแน่แท้ด้วยการตัดสินใจย้ายออกจากบ้านไป การที่คนึงนิจย้ายตัวเองออกจากบ้านก็เหมือนกับเตะฉันออกจากหัวใจของเธอไปพร้อมกัน
ข้อความจากเจสซี่เด้งขึ้นมาในไลน์หากแต่ไม่ใช่สถานที่ร้านแต่อย่างใด มันคือคำเชิญให้เข้าไลน์กลุ่ม เรื่องนี้ทำฉันงงหนักมาก อะไรของมัน ขณะที่ฉันกำลังคิดตัดสินใจว่าจะไม่เข้าร่วมไลน์กลุ่ม reunite ที่เจสซี่ส่งคำเชิญนี้หรอกเพราะมองไม่เห็นประโยชน์อะไรนอกจากความรำคาญ แต่ก็ยังไม่ทันจะได้ขยับอะไรเลยเพื่อนชาวไทยเชื้อสายพม่าก็เรียกสายเข้ามาอีกรอบ
“เข้ากลุ่มด้วย อย่าทำเป็นเมินไม่รู้เรื่องน่าเพลิน คนอื่นก็เข้ากันหมดแล้ว”
“คนอื่นไหน”
“ก็เข้ากลุ่มสิจะได้รู้ว่าใคร” ฉันเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเราถึงต้องยกทัพไปตีพม่า ก่อนเจสซี่จะวางสายก็ย้ำว่าให้รีบรับคำเชิญเข้ากลุ่มซะจะได้เปิดดูรายละเอียดเรื่องการนัดคืนสู่เหย้าอย่างไม่เป็นทางการในวันนี้ ตัวเลือกสำหรับฉันมีอยู่น้อยนิดและในตัวเลือกน้อยนิดที่มีอยู่ก็ใช่ว่าจะน่าเลือก ฉันตอบรับคำเชิญเข้ากลุ่ม reunite ในที่สุดทันทีที่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกพวกเพื่อนพ้องจากยุคก่อนกรุงแตกก็พากันส่งข้อความทักเข้ามาราวกับแข่งโหวตคะแนนให้ผู้เข้าประกวดเดอะวอยซ์ ฉันไล่สายตาดูรายชื่อสมาชิกแล้วก็นึกทึ่งอยู่ในใจ เจสซี่ได้ไลน์เพื่อนกลุ่มเก่าสมัยเรียนมัธยมมาเกือบครบเลยทีเดียว ฉันประเมินทายาทเจ้าของช่องรายการทีวีพม่าผิดไปจริงๆ แน่นอนว่าฉันก็ติดต่อเพื่อนๆอยู่บ้างแต่ก็ไม่บ่อยจนถึงขนาดว่าติดตามความเป็นไปหรือพยายามดั้นด้นควานหาไอดีไลน์มาไว้คุย แผนที่ร้านโผล่ขึ้นมาให้เห็นก่อนที่จะตามมาด้วยข้อความถามไถ่ถึงเรื่องราวสถานภาพโสดหมาดๆของฉันในตอนนี้ ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าเจสซี่ทำตัวเป็นเจ้าแม่สื่อแถลงข่าวให้กับเพื่อนในกลุ่มมัธยมเปรี้ยวอมหวานได้รับรู้กันถ้วนหน้าแล้ว ฉันถอดสาย Headphone ประจำตัวเก็บลงกระเป๋า ปิดเครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ทันสมัยในห้องออดิ 2 ตรวจดูความเรียบร้อยว่าสวิตช์ทุกตัวอยู่ที่ออฟก่อนจะเดินออกจากห้องอัดที่เสมือนเป็นที่พักพิงชั่วคราวแก่ผู้ลี้ภัยให้กับฉัน
บ่ายสองสิบห้านาทีก็มาถึงที่หมาย ใช้เวลาไปสี่สิบห้านาที โดยประมาณ ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูชื่อร้านให้แน่ใจอีกรอบ ป้ายที่เขียนว่า Bun Shines ถูกต้องชัดเจนตรงกับที่เพื่อนส่งมาให้ เจสซี่เลือกร้านได้ดีทีเดียว ตัวร้านเป็นอาคารพาณิชย์ 3 คูหา ตกแต่งสไตล์สวนอังกฤษดูน่ารักและอบอุ่น มีส่วนโอเพ่นแอร์อยู่โซนด้านนอกติดกับลานจอดหินกรวดสองสี บรรยากาศร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ มีต้นชมพู่มะเหมี่ยวกำลังออกดอกสวยเชียว ฉันเดินผ่านลานจอดที่มีรถอยู่ประปรายเข้าไปถึงตัวร้านแต่ยังไม่ทันจะผลักประตูสีขาวผูกกระดิ่งน่ารักนั่นเข้าไปเสียงเจสซี่ก็ลอยดังขึ้นมา
“ทางนี้เพลิน” ฉันหันไปตามเสียงเรียกของเจสซี่ ที่โต๊ะมุมในสุดของเฉลียงด้านนอกร้านติดกับซุ้มการะเวกฉันเห็นกลุ่มเพื่อนสาวและไม่สาวนั่งกันอยู่หน้าสลอน ใบหน้าคุ้นเคยเหล่านั้นเปลี่ยนผันไปบ้างตามกาลเวลา แต่กระนั้นทุกๆคนก็ยังคงเค้าโครงเดิมและความสนิทสนมที่ห่างร้างกันไปนานนับสิบปีก็ยังคงเดิม ฉันประเมินด้วยสายตาของคนวัย 32 ที่กำลังอยู่ในอาการช้ำรักว่าคนที่เปลี่ยนไปอย่างน่าใจหายคือเจสซี่คนเดียว ทุกคนต่างปรบมือเมื่อฉันเดินไปถึงโต๊ะ เกือบลืมตัวโค้งให้พวกมันแล้วเชียว
“มาถึงแล้วค่ะทุกท่าน คุณพิศเพลิน บุคคลหายากในก๊วนเรา นี่ไม่น่าเชื่อนะบทจะได้เจอก็เจอมันง่ายๆเลยน่ะ” เจสซี่สาธยายเท้าความลำดับเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการนัดรวมตัวในวันนี้ ฉันเองก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ร้องทักคนนั้นคนนี้ไปตามน้ำ ตื่นเต้นมั้ยก็ยอมรับว่ามีบ้างแต่มันก็แค่นั้นแหละ เราต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว
“ร้านน่ารักมากเลย ใครเลือกเหรอ” ฉันเอ่ยถามขึ้น จังหวะเดียวกับที่มีพนักงานเดินมารอรับออเดอร์พอดี เด็กคนนั้นร้องทักเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มฉัน ท่าทางเหมือนคุ้นเคยกันดีทีเดียว ฉันสั่งเครื่องดื่มของตัวเองพนักงานหน้าใสจดยุกยิกอย่างขมีขมัน สังเกตดูรูปร่างหน้าตาผิวพรรณแล้วนี่เป็นดาราได้สบายเลยนะพนักงานร้านนี้
“เสาร์อาทิตย์ก็ขลุกอยู่นี่ตลอดเลยเหรอเอ๋ย” เสียงหวานๆของเรนารถร้องถาม เห็นพนักงานคนนั้นหัวเราะมองดูน่าเอ็นดูพอๆกับชื่อของเจ้าตัวนั่นล่ะ
“วันหยุดคนจะเยอะอ่ะพี่เร”
“นั่นสินะ เดี๋ยวนี้ขยายสาขาและยังทำเรสเทอรองกต์ด้วย คุณภาดาไม่เหนื่อยแย่เหรอเนี่ย”
“ก็มีเอ๋ยช่วยนี่ไง” พนักงานหน้าตาดีเกินเหตุและออกจะทำตัวหน้ารักเกินความจำเป็นไปนิด แต่ดูเหมือนเพื่อนๆที่โต๊ะฉันไม่มีใครถือสา เรนารถปล่อยเด็กคนนั้นกลับไปทำมาหากินต่อตามวิถีทางของตนจากนั้นก็หันกลับมาร่วมวงสนทนาได้ต่ออย่างลื่นไหล ทุกคนล้วนแล้วแต่มีเรื่องราวอยากมาแบ่งปันเล่าสู่กันฟัง คงจะมีแต่ฉันที่ไม่ค่อยมีเรื่องอะไรอยากจะนำเสนอจึงทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดีและคอยตอบคำถามจากเพื่อนๆเสียมากกว่า การเวียนกลับมาเจอหน้ากันอีกครั้งในวันนี้ทำให้รู้ว่าเพื่อนในวัยเด็กของเราได้เติบโตขึ้นสร้างเครือข่ายขยายโอกาสให้กับเราไม่มากก็น้อย ฉันเล่าให้เพื่อนฟังว่าที่ผ่านมาตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัยก็ทำงานด้านสื่อออดิโอมาตลอด แรกเริ่มจากเด็กฝึกงานในสถานีวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ ก่อนไปสมัครงานจริงจังและได้เป็น sound producer ให้กับคลื่นวิทยุอยู่หลายที่ หนึ่งในหลายๆที่นั้นทำให้ฉันได้พบกับคนึงนิจคนรักที่เพิ่งทิ้งแปรงสีฟันของฉันให้โดดเดี่ยวอยู่ในแก้วเซรามิคสีเปลือกไข่ กระทั่งจบปริญญาโททางด้าน audio engineer ฉันก็ออกมาทำ Freelance หาประสบการณ์อยู่ช่วงหนึ่งจนพอมีชื่อในแวดวงก็เลยได้งานประจำกับบริษัทที่บิ๊กบอสมีเงินหนาและใจกล้าบ้าบิ่นมากที่สุดในวงการ ฉันก็เลยพอจะมีเครือข่ายคนรู้จักที่อยู่ในแวดวงงานที่ฉันทำอยู่บ้าง เช่น นักแต่งเพลงคนดัง โปรดิวเซอร์เก่งๆ หรือพวกนักร้องหน้าใหม่หน้าเก่าก็เคยร่วมงานด้วย ส่วนเพื่อนๆฉันน่ะหรือ แต่ละคนหน้าที่การงานไม่ใช่ไก่กา อย่างเจสซี่ก็ที่รู้ๆว่าตอนนี้มารับช่วงกิจการของที่บ้านแน่ๆ เรนารถเพื่อนสาวหวานที่หวานมาแต่ไหนแต่ไรก็ร่วมหุ้นกับคนรักเปิดบริษัทโฆษณา หล่อนเล่าว่าพนักงานคนเมื่อครู่เคยเป็นแบบถ่ายโฆษณาตัวหนึ่งที่บริษัทของหล่อนทำด้วย
