บทที่ 1 : แตกสลาย
อากาศเย็นเกินไปจนรู้สึกคอแห้งต้องไอแรงๆอยู่หลายครั้ง การไอปลุกฉันจากการงีบหลับซึ่งมันขัดจังหวะการพักผ่อนอย่างมาก ฉันอาจจะคิดดูใหม่เรื่องติดเครื่องเพิ่มความชื้นในอากาศขณะที่นอนเปิดแอร์ต่อเนื่องกันนานๆหลายชั่วโมงอย่างที่เธอเคยบอก แต่เมื่อลืมตาตั้งสติได้แล้วมองไปรอบๆก็พบว่านอนอยู่ในห้องอัดหมายเลขสอง ฉันลุกขึ้นนั่งแล้วก็ไอโขลก มองผิวเผินอาการฉันตอนนี้คงดูคล้ายผู้ป่วยวัณโรค เสียงไอทำให้คนที่อยู่หน้าเครื่องแอมป์พลิไฟเออร์หันมามอง ฉันยกมือบอกให้เขาสบายใจว่าฉันไม่ได้เป็นอะไรมากก่อนจะลุกออกไปที่ตู้น้ำดื่มที่ตั้งอยู่หน้าห้องอัด ฉันเดินโซเซราวกับยังเมาต่อเนื่องทั้งๆที่หากจากแอลกอฮอล์หรือสารประกอบใกล้เคียงแอลกอฮอล์มาได้ยี่สิบชั่วโมงแล้ว หลังจากดื่มน้ำอุ่นไปสองแก้วเต็มๆร่างกายก็รู้สึกดีขึ้น หันไปมองทางห้องสตูดิโอบันทึกรายการทีวีเห็นมีคนเริ่มทยอยเดินออกมาเป็นสัญญาณบอกว่าขณะนี้เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว ฉันควรจะต้องสรุปงานที่ทำให้เรียบร้อยก่อนจะส่งให้ก้อนทองต่องานในส่วนของเขา ขณะที่เตรียมจะกลับเข้าห้องอัดที่เดินจากมาก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อฉันดังมาจากตรงสุดทางเดิน
“เพลิน เพลิน” ฉันหันไปมอง ที่หน้าสตูดิโอมีผู้หญิงกำลังยืนโบกไม้โบกมือให้ฉัน ผู้หญิงตัวสูงคนนั้นสวมสูทสีเทาคลุมทับเสื้อคอเต่าสีดำ ฉันกำลังคิดอยู่ว่าหล่อนเป็นใคร ใครวะ ใครกัน ยังไม่ทันจะได้คำตอบจากความคิดของตัวเองผู้หญิงสูทเทาก็เดินมาถึงตัวฉันแล้ว เมื่อมาอยู่ใกล้ในระยะสายตาของคนวัยสามสิบสองปีพึงเห็นชัด ฉันจึงระบุได้แล้วล่ะว่านางเป็นใคร
“ไอ้จ๊าด เฮ้ยทำไมนางงามอ่ะ” ฉันร้องเสียงหลง จ๊าดคือเพื่อนสมัยโรงเรียนมัธยมเป็นคนไทยเชื้อสายพม่า แต่ไม่ใช่พม่าแบบทั่วๆไปนะ พ่อของจ๊าดเป็นถึงผู้ว่าการรัฐและมีธุรกิจครอบครัวเป็นเจ้าของช่องรายการทีวีอีกด้วย ตอนนั้นฉันว่าประวัติของเพื่อนคนนี้โคตรจะว้าวเลย มาตอนนี้ฉันว่ารูปลักษณ์ของจ๊าดที่เปลี่ยนไปทำฉันว้าวมากกว่า ครั้งสุดท้ายที่แยกจากกันในวันปัจฉิมจบมัธยมปลายยังเป็นทอมบอยอยู่เลย เป็นทอมที่ออกตัวแรงอย่างเปิดเผยเสียด้วย
“แหม ใครจะเหมือนแกล่ะ หล่ออมตะนิรันด์กาล” ฉันกอดเพื่อน เพื่อนกอดฉัน เรากอดกัน จ๊าดตัวสูงกว่าฉันเสียแล้วเมื่อยืนอยู่บนรองเท้าส้นเข็มสูงกี่นิ้วก็ไม่รู้ ฉันซึ่งยืนอยู่ในร้องเท้าคอนเวิร์สออลสตาร์ 5 รูร้อยเชือกจึงต้องเงยหน้าคุยกับจ๊าดอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ห้ามเรียกชื่อเดิม เรียกฉันเจสซี่” ฉันหัวเราะ ต่อรองว่าขอเรียก จ๊าสซี่ ได้ไหม จ๊าดตอบทันควันว่าไม่ได้
“เป็นยังไงบ้างอ่ะ ไม่เจอเพลินนานมากเลย ตอนแรกกลัวว่าจะทักผิด”
“ตะโกนดังเบอร์นั้น กลัวผิดด้วยเหรอ”
“ฉันไม่ตะโกนชื่อจริงแกก็บุญแล้วนะ พิศเพลิน” เจสซี่หัวเราะร่วน ฉันยืนให้เพื่อนซักเรื่องราวช่วงระหว่างที่ต่างคนต่างแยกย้ายไปใช้ชีวิตจนไม่ได้พบกันอีกเลย ตอนนั้นเจสซี่กับเพื่อนอีกสองสามคนที่ทางบ้านมีกำลังส่งไหวก็ไปเรียนต่อเมืองนอก ส่วนฉันและเพื่อนคนอื่นที่พอมีสติปัญญาก็ถูไถเอาชีวิตรอดมาได้ราวปาฏิหาริย์เมื่อเอนทรานส์เข้ามหาวิทยาลัยได้กันเกือบครบทั้งกลุ่มแต่ก็ต้องแยกย้ายกันไปตามแต่ละที่ที่สอบได้
“โอ๊ย เอาเบอร์มาๆ คุยไม่สะใจว่ะแก ไว้โทรหานัดเจอกัน” เจสซี่เร่งให้ฉันบอกเบอร์โทรศัพท์เมื่อทีมงานของนางมาตามบอกว่าเก็บของเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ใจง่ายบอกเบอร์โทรมันไปพร้อมอีเมล์เสร็จสรรพ ดีไม่บอกเลขบัตรเครดิตไปด้วย ฉันกอดเพื่อน เพื่อนกอดฉัน เรากอดกันอีกครั้ง ก่อนจะแยกย้ายโบกมือลา ฉันเดินกลับเข้าไปที่ห้องออดิ 2 ชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งอยู่ที่โซฟาหนังตัวเดิมที่ฉันเพิ่งนอนเมื่อครู่ ก้อนทองทำท่าเหมือนจะหลับ ส่วนหนุ่มอีกคนเป็นตำแหน่งจัดเสียงประกอบก็นั่งเล่น PSPโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
“พี่จะฟังก่อนมั้ย” ก้อนทองร้องบอกฉัน น้ำเสียงงัวเงียและมีน้ำลายยืดด้วย
“เออ” ฉันเดินผ่านพวกเขาไปที่แผงอีควอไลเซอร์ นั่งลงที่เก้าอี้ประจำ เอาหูฟังมาสวมแล้วก็นั่งฟังผลงานความกลมกล่อมที่กลั่นกรองออกมาจากอารมณ์ขมขื่นของฉันเอง ฟังมาได้ 3 นาที ฉันก็อยากจะเขวี้ยงหูฟังทิ้ง นี่มันดนตรีแบ็คอัพตะบักตะบวยห่วยแตกอะไรปานนี้ สุดท้ายเมื่อทนฟังอีกต่อไปไม่ไหวฉันก็เลยปิดมันไปซะดื้อๆ
“ทำใหม่ตั้งแต่ต้น” พอฉันพูดจบก้อนทองก็ทำท่าสลบคาโซฟาพร้อมกับหนุ่มที่เล่น PSP
ฉันทำมันพังทุกทีตามเคย ไม่ว่าจะชีวิต ความรัก ตอนนี้ยังมาเรื่องงานอีกที่ทำท่าจะไปไม่รอด
ฉันซ้อนท้ายก้อนทองกลับบ้าน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เกือบตีหนึ่งเข้าไปแล้ว มีจังหวะจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหลังจากได้ยินเสียงแจ้งเตือนร้องดังมาต่อเนื่อง เจสซี่เพื่อนเก่าที่เพิ่งได้พบกันแอดไลน์เข้ามาแถมยังส่งสติ๊กเกอร์ทักทายมาอีกตั้งหลายอัน ฉันส่งสติ๊กเกอร์ตอบกลับไปมันขึ้นทันทีว่าข้อความถูกอ่านแล้ว หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีข้อความแบบเป็นประโยคๆก็ตามมา โอย เรื่องพิมพ์อะไรบนแป้นเล็กๆของหน้าจอโทรศัพท์มือถือนี่เป็นงานที่ฉันไม่ถนัดเลย ให้ตายสิ จะตีหนึ่งอยู่แล้วเพื่อนฉันมันไม่หลับไม่นอนหรือยังไง ฉันส่งสติ๊กเกอร์กู๊ดไนท์บ๊ายบายไปให้มัน และเพราะไอ้สติ๊กเกอร์บ๊ายบายนั่นเองที่ทำให้เจสซี่รีบโทรกลับมา อยากจะเอาหินแทงคอตาย
“เฮ้ยเพลิน จะรีบนอนไปไหนอ่ะแก ยังไม่ตอบที่ฉันถามเลยนะ”
“ถามอะไรวะ” ฉันพยายามทำเสียงงัวเงีย หากยังไม่แนบเนียนพอคงต้องแกล้งน้ำลายยืดด้วย
“เอ้า นี่ไม่ได้อ่านไลน์เหรอ ฉันถามว่ามีแฟนยัง” ภาพแปรงสีฟันโดดเดี่ยวผุดพรายขึ้นมาในความคิดอีกครั้ง ฉันถอนหายใจ บอกเพื่อนว่าวันนี้เหนื่อยมากอยากจะนอนไม่มีกะจิตกะใจจะคุยด้วยแล้ว
“แค่ตอบเองว่ามีหรือไม่มี เล่นตัวทำไมเนี่ย” ฉันดูนาฬิกา ตีหนึ่งสิบห้านาที มันว่าฉันเล่นตัวตอนตีหนึ่งสิบห้านาที
“มีแต่เพิ่งเลิกกัน วันนี้เค้ามาเก็บของออกจากบ้านไปแล้ว” คำตอบของฉันทำให้เกิด dead air ในบัดดล เจสซี่เงียบไปจนฉันสงสัยว่าจะกลั้นหายใจใส่โทรศัพท์ด้วยซ้ำ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรต่อก็เลยได้แต่ยืนรอฟังว่าเพื่อนจะว่าไง มันเงียบไปหลายวินาทีเหมือนกันก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจ
“ฉันไปนอนได้ยังวะ”
“เออๆ ไว้คุยกันใหม่ก็ได้” ฉันวางสาย มองหน้าจอมือถือบอกเวลาตีหนึ่งครึ่ง น่าแปลกที่กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มของเธอยังอวลฟุ้งชัดเจนอยู่ในบ้าน ฉันเดินปิดไฟทีละดวงจนเหลือแค่ไฟตรงโถงบันได สุดท้ายหัวใจก็ไม่กล้าพอจะก้าวขึ้นข้างบนเพื่อกลับไปนอนบนเตียงเดิม ฉันฝังร่างตัวเองลงที่โซฟายาวอีกครั้งก่อนจะข่มตาให้เข้าสู่การหลับใหลเพื่อให้มันผ่านพ้นไปอีกคืน
“วันเสาร์อยู่บ้านรึเปล่า จะเข้าไปเก็บของ”
“อ๋อ มาสิ กลับบ้านแม่พอดี”
“ไปบ้านแม่เหรอ แล้วนิดจะเข้าบ้านยังไง กุญแจไม่มีแล้ว” ประโยคนั้นของเธอทำให้ฉันยิ้มออกมาได้ เป็นไงล่ะ บอกแล้วว่าไม่ต้องทำมาเป็นจะคืนหรอกกุญแจพวงเดียว
“อ๋อ งั้นมาสิ เดี๋ยวเพลินอยู่รอเปิดบ้านให้”
“ไม่ล่ะ ทิ้งเลยแล้วกัน เราเลิกกันแล้ว” ประโยคนั้นของเธอทำให้ฉันยิ้มค้าง
“เพลินทิ้งไปเลยก็ได้ นิดคงไม่กลับไปแล้ว” แล้วฉันก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย ถือโทรศัพท์แนบหูค้างอยู่อย่างนั้น ยิ้มกว้างๆที่มีค่อยๆหุบแคบลง ฉันรู้สึกหน้าชาไปหมด คำว่านิดคงไม่กลับไปแล้วยังคงดังย้ำชัดสะท้อนวนไปมาในความรู้สึกโดยมีภาพประกอบเป็นแปรงสีฟันอันโดดเดี่ยวในแก้วเซรามิคสีเปลือกไข่ บางทีฉันก็คิดว่าถ้าเธอจะหยิบแปรงสีฟันของฉันติดไปด้วยเลยมันคงจะทำให้รู้สึกดีกว่านี้ นิดคงไม่กลับไปแล้ว... นิดคงไม่กลับไปแล้ว... นิดคงไม่.. ฉันยืนน้ำตาซึม แขนตกลงมาอยู่ข้างลำตัว ไหล่งองุ้มแลดูสิ้นหวัง ทุกอย่างพังพินาศไปหมดแล้วเพราะฉันเอง ฉันทำมันแหลกคามือ ปี้ป่นไม่มีชิ้นดี เธอย้ำชัดว่าจะไม่กลับมาแล้ว มันชัดเจนยิ่งกว่าเสียงใดๆในโลกที่ฉันเคยฟังมาตลอดชีวิต มาถึงจุดนี้น้ำตาฉันก็ไหลออกมาราวเขื่อนแตก ฉันร้องไห้ออกมาจนน้ำเจิ่งนองไปทั่วพื้น ความชื้นแฉะคืบคลานเข้าหาราวพายุเกซัดถล่มแหลมตะลุมพุก เท้าของฉันสัมผัสได้ถึงความเปียกอุ่นของน้ำตาที่ตัวเองเหยียบย่ำ อีกสักพักฉันคงจะจมดิ่งอยู่ในห้องนี้และขาดอากาศหายใจ ฉันเห็นภาพหยดน้ำตามหาศาลไหลรวมกันกลายเป็นสายน้ำไหลท่วมทะลักออกไปนอกบ้าน ผู้คนที่ไม่รู้เรื่องราวต้องมาเดือดร้อนหนีตายวิ่งขึ้นที่สูงเพราะน้ำตาของฉันกำลังจะท่วมโลก น้ำตาอุ่นร้อนอาบลงมาที่แก้มของฉัน ระบายขยายวงไปทั่วใบหน้า ทั้งจมูก หน้าผาก ใบหู เมื่อฉันลืมตาขึ้นมาก็พบว่าอะไรแฉะๆที่อยู่ทั่วใบหน้านี้มันคือน้ำลาย
“อือ แมวน้อย แกเองเหรอ” ไอ้แมวน้อยเข้ามาในบ้านตามเจ้านายของมันนั่นล่ะ แมวน้อยเป็นบีเกิ้ลเพศเมียสีขาวลายน้ำตาล ใช่ แมวน้อยเป็นหมา เป็นหมาที่เจ้าของดันตั้งชื่อว่าแมวน้อย และเป็นหมาที่ชอบเลียคนที่มันสนิทสนมด้วย แมวน้อยโปรดปรานการเลียหน้าตาฉันมาก ไอ้หมาโรคจิต กลายเป็นว่าฉันฝันถึงเธอและคงจะจมน้ำตาตายอยู่ในฝันหากไม่ได้แมวน้อยมาปลุกให้ตื่น ฉันโงหัวมองแมวน้อยที่นั่งกระดิกหางอยู่บนหน้าอกและได้ยินเสียงเครื่องดูดฝุ่นดังอยู่บนบ้าน สงสัยป้าพิณแกจะมาถึงนานแล้ว ฉันลุกขึ้นนั่งแล้วก็ตบหน้าตัวเองเบาๆไปสองสามทีเพื่อเรียกสติให้ตื่น เหลือบมองเวลาเห็นว่าเพิ่งจะแปดโมงนิดๆ
“แกกินอะไรมารึยัง” ฉันส่งเสียงงัวเงียถามแมวน้อยที่เป็นหมา คิดอยู่เหมือนกันว่ามันจะเคยสับสนบ้างไหม เคยถามป้าพิณที่ฉันจ้างวานมาทำความสะอาดบ้านให้อาทิตย์ละครั้งว่าทำไมตั้งชื่อหมาว่าแมว ป้าพิณตอบว่าสามีแกไปติดต่อขอลูกแมวกะจะเอามาเป็นของขวัญให้หลาน บอกหลานวัยขวบกว่าไว้ล่วงหน้าเป็นอาทิตย์ว่าจะได้แมวแต่ดันได้ลูกหมามาแทน ตอนนั้นหลานยังเล็กๆอยู่เลยหลอกหลานว่านี่ล่ะแมวพันธุ์ใหม่ เวรกรรม
ฉันเดินเข้าไปในครัวที่สะอาดเรี่ยม ป้าพิณคงมาถึงนานแล้วจริงๆและคงเห็นว่าฉันนอนตายอยู่บนโซฟาก็เลยไม่อยากเรียกทัก แกคิดผิดไปนิดว่าหมาของแกเห็นฉันเมื่อไหร่เป็นต้องเลีย ยิ่งแกทิ้งมันให้อยู่ลำพังตัดสินใจอะไรได้เองตามอำเภอใจไร้คนควบคุมพฤติกรรมแล้วด้วยล่ะก็นางก็เลียฉันสำราญไปเลย นี่ตั้งแต่ป้าพิณขึ้นไปเก็บห้องข้างบนมันก็คงไล่เลียฝ่าเท้าฉันจนขึ้นมาถึงใบหู แมวน้อยเดินตามฉันไม่ห่าง มันรู้ว่าในห้องนี้มีของที่มันกินได้และมันก็รู้ดีว่าฉันใจดีกับมันแค่ไหน ฉันเปิดตู้เย็นหยิบไส้กรอกที่เป็นห่อๆออกมาจากช่องแช่ซึ่งมันเหลืออยู่ห่อเดียวห่อสุดท้าย ประโยคนิดคงไม่กลับไปแล้ว ดังกระหึ่มเข้ามาในสมองฉันอีกรอบ ตู้เย็นหลังนี้ไม่เคยแห้งแล้งทั้งอาหารคาวหวาน ผัก ผลไม้ น้ำหวานน้ำแร่หรือแม้แต่กระทิงแดงก็มีให้ แต่ตอนนี้เหลือไส้กรอกมินิคอกเทลอยู่ห่อเดียวให้ดูต่างหน้ากับเบียร์อีกสามสี่แพ็ค ฉันโยนห่อไส้กรอกใส่ไมโครเวฟ แมวน้อยยืนจ้องหน้าลิ้นห้อยน้ำลายยืดแกว่งหางสั้นๆของมันไปมา ฉันแบ่งไส้กรอกมินิคอกเทลห่อสุดท้ายกับแมวน้อย เรานั่งกินไส้กรอกด้วยกันโดยฉันนั่งที่เก้าอี้ส่วนแมวน้อยนั่งอยู่บนโต๊ะตรงหน้าชามอาหารประจำตัวของมันที่ฉันเทไส้กรอกแบ่งให้แมวน้อยกินอย่างเอร็ดอร่อยเหลือเกินขณะที่ฉันเคี้ยวไส้กรอกชิ้นเล็กๆนั่นโดยไม่รู้สึกถึงรสชาติอะไรทั้งนั้นนอกจากความเค็มปะแล่มๆของน้ำตาที่ไหลผ่านแก้มเปื้อนน้ำลายหมาลงมาเข้าปากฉันอยู่ตอนนี้.
