บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 สายใย

บทที่ 3 สายใย

ความเงียบในเรือนเมฆขาวหนักอึ้งจนได้ยินแม้เสียงลมหายใจตนเอง แสงแดดยามบ่ายส่องลอดม่านบาง ๆ สะท้อนบนผืนกระดาษสีขาวซีดในมือหญิงสาว ราวกับฉายให้เห็นเงาของอดีตอันเจ็บปวดที่ซุกซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัด…

หลานฮวานั่งลงช้า ๆ บนเบาะ หน้าตรงกับแสง พับชายอาภรณ์เรียบร้อยก่อนจะค่อย ๆ คลี่จดหมายนั้นออก

สายตาก้มมองจดหมายที่เริ่มคลี่ออกอย่างระมัดระวัง ตัวอักษรหวัด ๆ อ่อนช้อย ลายมือที่นางเคยคุ้นแต่เลือนหายไปจากความทรงจำ เป็นลายมือของคนที่เคยเขียนชื่อของนางบนกล่องไม้ใต้ต้นหลิว…ครั้งยังเยาว์วัย ตัวอักษรทุกตัวถูกจรดด้วยมือละเมียดละไม น่าจะเขียนด้วยน้ำหมึกชั้นดี เพราะยังไม่ซีดจางแม้ผ่านกาลเวลา

ถึงฮวาเอ๋อร์ของพี่…ข้าคงเห็นแก่ตัวมากที่เขียนจดหมายฉบับนี้ไว้โดยไม่บอกใคร

แต่หากเจ้าได้อ่าน แสดงว่าข้าไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้วจริง ๆ

ข้ารู้ ว่าจดหมายฉบับนี้อาจไม่มีวันไปถึงเจ้า

แต่ข้าก็ยังเขียน ด้วยความหวังบาง ๆ ว่า… หากข้าหายไปจริง ๆ

จะมีใครซักคน…อาจเป็นเจ้า…ที่ได้อ่านมัน

ข้าไม่รู้ว่าข้าเกิดมาเพื่อตัวเอง หรือเพื่อเป็นภาพลวงตาที่ครอบครัวนี้ใช้บังแสงเงาของเจ้า

เจ้าคือข้า และข้าก็คือเจ้า เราคือเงาสะท้อนกันและกันในโลกที่ไม่เคยยอมรับการมีอยู่ของสองคน

พี่ขอโทษ ที่ได้ทุกอย่าง ทั้งที่ไม่สมควรได้อะไรเลย

แต่พี่…ไม่เคยลืมเจ้า ไม่เคย

ใต้ต้นหลิวหลังเรือนน้อยที่เคยซ่อนจดหมายกัน พี่ยังเก็บกล่องไม้เล็ก ๆ ไว้อยู่

ในนั้น…มีบางอย่างที่เจ้า ควรรู้

หลานฮวาชะงักเมื่ออ่านถึงตรงนี้หัวใจที่นิ่งแน่นกลับเต้นแรงขึ้นจังหวะหนึ่ง มือที่เคยเย็นชากลับกำกระดาษแน่นโดยไม่รู้ตัว

ถ้าข้าต้องจากไปก่อน…โปรดอย่าให้อภัยใครง่าย ๆ แม้แต่ครอบครัวของเราเอง

เพราะบางที ความจริง ที่เจ้าไม่เคยรู้…อาจเปลี่ยนทุกอย่าง

รักจาก…หลานเมย

หลานฮวาสูดลมหายใจเข้าลึกใจที่เคยแข็งดังเหล็กกลับเต้นแรงไม่เป็นส่ำมือที่เคยแน่วแน่กลับสั่นเล็กน้อย ยามที่ตาสบกับถ้อยคำตรงหน้า

หลานฮวากำจดหมายแน่นขึ้น ดวงตาเย็นชาค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นวาวโรจน์

นางลุกพรวดพราดตรงไปดิ่งไปยังตู้เสื้อผ้าเมื่อครู่ ดึงถึ้งอาภรณ์ทั้งหมดออกมาจากตู้

หลานเมยเคยเขียนบอกนางว่าชอบสีฟ้า ดั่งท้องฟ้า มันหมายถึงอิสระ แต่ในตู้มีเพียงอาภรณสีกลีบดอกบัว

“เจ้าถูกคนพวกนั้นบีบบังคับแม้กระทั่งสีของเครื่องแต่งกายเลยหรือ”

เสียงคำรามในลำคอดังขึ้นเบา ๆ แต่ชัดเจนพอจะฟังออกว่าเต็มไปด้วยความคั่งแค้น

หลานฮวาคุกเข่าลงตรงหน้ากองอาภรณ์ที่กระจัดกระจายอยู่ตรงพื้นปลายนิ้วไล้ผ่านเนื้อผ้าเนื้อดีทีละชุดล้วนแล้วแต่เป็นสีชมพู กลีบดอกบัวอ่อน ๆ ไปจนถึงสีพีชบาง ๆ ไม่แม้แต่จะมีเงาของสีฟ้าให้เห็นแม้เพียงริ้วเดียว

“สีฟ้าคืออิสระ…พวกเขาไม่แม้แต่จะให้เจ้าหายใจเป็นตัวของตัวเองเลยด้วยซ้ำ”

เสียงของนางแผ่วเบา ทว่าข้างในกลับแหลมคมดั่งเข็มพันเล่ม ปลายนิ้วหยุดลงบนผืนผ้าผืนหนึ่ง ก่อนจะกำแน่น แล้วลุกขึ้น

“เจ้าถูกจับขังไว้ในกรงทอง ให้ยิ้ม ให้พยักหน้า ให้แต่งตัวให้เหมือนคนที่เขาต้องการ แล้วสุดท้าย…เขาก็ผลักเจ้าลงเหวเหมือนกับที่ทำกับข้า”

หลานฮวาหยิบชุดสีชมพูอ่อนที่ดูหรูหราที่สุดขึ้นมา แล้วเหวี่ยงมันลงบนเตียงอย่างไม่ไยดี

นางเดินตรงไปยังกล่องไม้เครื่องประดับ เปิดมันออกแววตาแข็งกร้าวเมื่อเห็นว่าแม้แต่ปิ่นปักผม สร้อยคอ กำไล ทุกชิ้นล้วนเป็นลวดลายของกลีบบัวอ่อนราวกับถูกจัดวางตามแบบเดียวกัน

“ดี…ตั้งใจจะให้ข้ากลายเป็นหลานเมยแทนอย่างนั้นหรือ” หลานฮวาหัวเราะเย็นเสียงหัวเราะที่ไร้ความสุข ไร้ความรู้สึกก่อนที่นางจะพูดเสียงต่ำ ดุจคำสัญญาที่กลั่นออกจากเลือดและน้ำตา

“หากเจ้าถูกบังคับให้สวมบทบาทดาวนำโชค…ข้าจะทำให้ทุกคนต้องชดใช้ที่เคยพรากเจ้าจากท้องฟ้า” นางเดินไปหยิบกรรไกรมาตัดอาภรณ์ท้องหมดเป็นชิ้นเล็กชิ้น

เสียงตัดผ้า กร๊อบ กร๊อบ ดังสะท้อนในความเงียบของเรือน จนแม้แต่ผนังไม้เก่าแก่ยังสั่นสะท้าน

หลานฮวานั่งคุกเข่ากับพื้น พับผ้าชั้นดีที่ถูกตัดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยวางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ

ไม่มีแม้แต่ความลังเลในแววตา

นางลงมือทำราวกับมันคือพิธีกรรมพิธีล้างคำสาปของพี่สาวผู้ถูกกักขัง และบ่มเพาะความแค้นของตนให้หนาแน่นยิ่งขึ้น

เศษผ้าสีอ่อนยังอุ่นไอจากมือของนางหลานฮวานั่งทรุดอยู่กลางกองผ้าที่เพิ่งตัดขาดอ้อมแขนกอดมันแน่นเข้ากับอก ราวกับมันคือร่างของใครบางคนที่ไม่อาจหวนคืน

ริมฝีปากเม้มแน่น

เสียงกรีดร้องอัดแน่นในลำคอ ถูกกลั้นไว้จนกลายเป็นเสียงสะอื้นเงียบ ๆ นางไม่กล้าเปล่งเสียงเพราะกลัวคนด้านนอกจะได้ยินกลัวใครจะมาพรากช่วงเวลาเศร้าโศกส่วนตัวนี้ไป กลัวแม้แต่เพียงเสี้ยวของความรู้สึกนี้จะหลุดรอดไปถึงหูของผู้ที่ไม่ควรรู้

แม้บิดาจะทอดทิ้งนาง

แม้ผู้คนจะมองว่านางคือดาวหายนะ

แต่มีเพียง หลานเมย เท่านั้น…ผู้เดียวในโลกนี้ ที่ไม่เคยมองนางเช่นนั้น

นางยังจำได้…

“หลานฮวา เจ้าสบายดีหรือไม่ ท่านทวดให้อ่านตำรายาวันละสามเล่มหรือเปล่า”

“วันนี้ข้าได้เรียนร้อยดอกไม้กับแม่ใหญ่ สีชมพูนั้นเหมือนกลีบบัวมากเลย ข้าคิดถึงเจ้า…ที่นั่นมีดอกไม้หรือเปล่า”

ตัวอักษรบรรจงประสานเป็นลายมืออ่อนหวาน ปลอบประโลมใจดั่งยามฝนโปรย

หลานฮวาเคยอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนแทบจะจำได้ทุกคำพี่สาวคือผู้เริ่มต้นส่งจดหมายถึงนางก่อน แม้แต่ตอนที่นางยังเขียนหนังสือไม่คล่อง หลานเมยก็ยังเขียนให้ นางก็เขียนตอบกลับไปด้วยตัวอักษรเบี้ยว ๆ ไม่เป็นระเบียบ

เดือนแล้วเดือนเล่า

ปีแล้วปีเล่า

สายใยนั้นไม่เคยขาด

แม้นางจะอยู่กลางหุบเขาพิษ แม้จะอยู่ในถ้ำกลางฤดูหนาวอันเหน็บหนาว จดหมายของพี่สาวยังคงเดินทางไปถึง กล่องไม้ใบเดิมยังคงเต็มไปด้วยข้อความห่วงใยที่ไม่มีใครรู้

หลานฮวาซุกหน้าเข้ากับเศษผ้า กลั้นเสียงสะอื้นไว้ในลำคอ ราวกับยอมให้น้ำตากัดกร่อนหัวใจตัวเอง

“พี่เมย…ท่านรู้ใช่หรือไม่ ว่าข้าไม่มีใครอีกแล้ว…”

จู่ ๆ แววตาโศกก็หลายเป็นเครียดแค้นในแับพลัน

“พวกเจ้าต้องการให้ข้าเป็นหลานเมยใช่หรือไม่…งั้นก็จงจำไว้ให้ดี ว่า ตัวแทนหลานเมย ที่พวกเจ้าพากลับมา ไม่ได้ชักจุงง่ายดั่งหลายเมยที่พวกเจ้าเคยมี”

เมื่อผืนผ้าเฉดสีอ่อนพังพินาศกลายเป็นเศษชิ้น เศษเสี้ยวหลานฮวาลุกขึ้น ก้าวยาวไปยังห่อผ้าน้อย แล้วนำอาภรณ์ของตนเองในห่อผ้าออกมาแขวนแทนสี

ผ้าสีดำขลับถูกแขวนแทนที่เครื่องแต่งกายของพี่สาว ชุดสีดำสนิทตั้งแต่ไหล่จรดชายกระโปรงแถบขอบเงินบาง ๆ เงาวับเย็นเยียบ แม้จะมืดมน แต่กลับสง่างามจนหยุดหายใจ

หลานฮวาเปลี่ยนชุดเงียบ ๆ

นางปล่อยผมยาวดำสนิทลงมาไม่รวบ ไม่ประดับ ไม่แซมดอกไม้ แค่เพียงยืนอยู่ตรงนั้นก็คล้ายวิญญาณกลางหุบเขาเหมันต์ที่เพิ่งออกมาล่าเลือด

ในเงาสะท้อนของกระจก ไม่มีอีกแล้ว ‘คุณหนูจ้าว’ ที่อ่อนแอ หรือเด็กสาวผู้มีตราดาวหายนะติดตัวเหลือเพียงหญิงสาวที่แบกคำสาบานไว้เต็มสองบ่า และจ้องมองความพินาศของสกุลจ้าวด้วยดวงตาสงบนิ่ง…จนขนลุก

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel