ใช่ว่าจะต้องทำเอง 1.2
หลินหวั่นเฉิงจ้องนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างพึงพอใจยิ่งรัก
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า พี่ปิดเสี่ยวซูไม่ได้จริง ๆ เจ้าช่างฉลาดรู้ความนัก ได้ ๆ พี่จะให้เจ้า ว่าแต่ แล้วเจ้าอยากได้คนไปทำอะไรล่ะ?” เขาตอบตกลงที่จะมอบองครักษ์มือดีให้แก่น้องสาว แต่ก็อดที่จะถามขึ้นไม่ได้
คราวนี้หลินซูเม่ยทำหน้าจริงจังขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่ต่างจากใบหน้า “ท่านพี่ ท่านอย่าเพิ่งถามอะไรข้าตอนนี้เลย ขอข้าสืบความให้แน่ใจก่อน พอถึงตอนนั้น ข้าจะบอกท่านทุกอย่าง”
นัยน์ตาของหลินวั่นเฉิงคล้ายมีประกายบางอย่างวาบผ่าน ก่อนจะคลี่ยิ้มมุมปาก แล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะของนางเบา ๆ “ที่แท้เสี่ยวซูของพี่ก็กลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ได้ พี่จะไม่ถามเจ้า แต่จะทำอะไรเจ้าก็ต้องระวังตัวให้ดี ๆ เข้าใจไหม?” เขาเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน
“อื้ม พี่ใหญ่โปรดวางใจ เสี่ยวซูย่อมรู้หนักเบา” นางพยักหน้ารับคำสั่งสอนของพี่ชายด้วยรอยยิ้ม
“แล้วเจ้าอยากได้สักกี่คนกันล่ะ” เขาถามขึ้นมาอย่างใจดี
“ข้าขอสักสามคนได้หรือไม่เจ้าคะ” นางทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับมา
“ฮ่า ๆ เอาเป็นว่าพี่ยกคนของพี่ให้เจ้าสิบคนก็แล้วกัน” หลินวั่นเฉิงหัวเราะออกมา ก่อนเอ่ยขึ้น
ที่จริงเขาอยากจัดมาให้เยอะกว่านี้ เพราะเกรงว่าน้องจะใช้งานไม่พอ แต่เผอิญว่าพวกที่เหลือฝีมือยังไม่ถึงขั้น กลัวว่าจะทำงานให้น้องสาวไม่สำเร็จ
“......” หลินซูเม่ยได้ยินว่าจะได้รับมอบองครักษ์เงาถึงสิบคนเท่ากับตอนที่ได้รับในวันแต่งงานก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก ทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และเอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณท่านพี่มากเจ้าค่ะ”
จากนั้นหลินวั่นเฉิงก็เรียกองครักษ์เงาทั้งสิบคนให้มาพบ
องครักษ์เงาทั้งสิบที่หลิววั่นเฉิงเลือกมา ก็ยังเป็นสิบคนนั้นเมื่อชาติก่อน อาจเพราะพวกเขาฝีมือดีที่สุด และเป็นคนที่หลินวั่นเฉิงไว้วางใจให้มารับใช้หลินซูเม่ยที่สุด เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะตัวของนางเองก็รู้สึกคุ้นเคยกับพวกเขาเหล่านี้แล้ว จึงเรียกชื่อออกมาสามคน
“ต้าอวี่ โจวมู่ยวน หม่าเสี่ยวเปิง ข้าอยากให้พวกเจ้าสามคนไปสืบข่าวของจวนองค์ชายรองสักหน่อย ว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังคิดทำอะไร หรือลอบติดต่อกับใครบ้าง สืบอย่างลับ ๆ อย่าให้เขารู้ตัว เพราะว่าเขาเองก็มีองครักษ์เงาไว้ข้างกายเช่นกัน” หลินซูเม่ยออกคำสั่งกับทั้งสามคนทันที
“ทราบแล้วขอรับ”
ทั้งสามคนที่ถูกเรียกชื่อออกมาขานรับพร้อมกัน ก่อนที่พวกเขาจะเร้นกายหายไปจากตรงนั้น โดยไม่ได้สงสัยเลยสักนิดว่า หลินซูเม่ยรู้จักชื่อของพวกตนได้อย่างไรกัน
“ส่วนคนที่เหลือให้ไปคอยตามคุ้มกันข้าอย่างเงียบ ๆ ไว้มีอะไรเดี๋ยวข้าค่อยสั่งการอีกที” นางออกคำสั่งกับคนที่เหลือ
“ทราบแล้วขอรับ” ทั้งเจ็ดคนขานรับพร้อมกันจากนั้นก็เร้นกายหายไปทันที สมกับได้ขึ้นชื่อว่าองครักษ์เงา
จากนั้นหลินซูเม่ยก็กลับมายังที่โต๊ะ ก่อนจะหยิบพู่กันกับกระดาษขึ้นมาเรียบเรียงความทรงจำ
“กงล้อชะตากรรมของข้าเริ่มตั้งแต่วันที่ข้าขอท่านพ่อท่านแม่เพื่อไปดูละครเร่ที่ตลอด ตอนนั้นข้าก็ได้เจอกับองค์ชายรองที่นั่น เช่นนั้นหากต้องการพลิกชะตา ข้าก็ควรหลีกเลี่ยงที่จะเจอกับเขา ไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในแผนของอีกฝ่าย ข้าเป็นเพียงแค่สตรีตัวเล็ก ๆ ไม่มีแม้แต่แรงมัดไก่ด้วยซ้ำ คงไม่อาจสู้รบกับอีกฝ่ายได้ แต่ในเมื่อข้าได้สาบานไว้แล้วว่าจะทำให้เขาได้อยู่ไม่สู้ตาย เช่นนั้นก็ต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง”
หลินซูเม่ยเอ่ยออกมากับตนเองเหมือนกำลังทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น และทำท่าครุ่นคิดไปด้วย
“จริงสิ! ถึงข้าไม่มีเรี่ยวแรง แต่ก็ใช่ว่าจะยืมมือคนอื่นไม่ได้นี่? ตอนนี้องค์ชายรองยังไม่มีทั้งคนหนุนหลังและอำนาจ ยังเป็นแค่สิงโตวัยเยาว์ที่เขี้ยวเล็บยังไม่แหลมคม เช่นนั้นก็น่าจะจัดการง่ายดายใช่หรือไม่?”
นางบ่นพึมพำออกมาพร้อมยกยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อคิดแผนการบางอย่างขึ้นมาได้
