บทย่อ
สิ่งที่ข้าต้องการมันสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ? เพียงเพื่อเอาใจชายคนรัก ถึงขนาดลากตระกูลหลินทั้งตระกูลและตระกูลเสวี่ยต้องลงเหวไปพร้อม ๆ กัน หากไม่เป็นเพราะข้าดึงดัน ทุกอย่างมันจะดำเนินมาถึงจุดนี้ไหมนะ ‘ลูกจะแต่งกับเขา!’ ‘หากเจ้าเป็นเด็กดียอมเชื่อฟัง ข้าจะให้ทุกอย่างกับเจ้า...’ ‘วางใจเถอะ! ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อท่าน’ ‘ตระกูลหลินและตระกูลเสวี่ยมีโทษฐานก่อกบฏ ประหารเก้าชั่วโคตร!’ ‘ถ้าไม่ใช่เพราะนาง ตระกูลของเราจะมีจุดจบเช่นนี้เหรอ!’ ‘ทั้งหมด มันก็เป็นเพราะความโง่งมของเจ้า!’ ‘ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ ซูเอ๋อร์ผิดต่อพวกท่าน ซูเอ๋อร์ไม่หวังให้พวกท่านให้อภัย แต่ซูเอ๋อร์จะตามพวกท่านไป’ ถ้าหากข้า สามารถกลับไปเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง...ข้าจะเอาคืนอย่างสาสม!!
หลินซูเม่ย 1.1
บทที่ 1
หลินซูเม่ย
รัชศกหยงเล่อปีที่ยี่สิบหก
ต้นสารทฤดู ช่วงที่อากาศทั่วทั้งเมืองหลวงกำลังอบอุ่น สายลมพัดเอื่อยเฉื่อย บ่งบอกว่าฤดูเก็บเกี่ยวได้วนมาถึงอีกคราหนึ่ง แต่ทว่าในปีนี้กลับเกิดเหตุการณ์ใหญ่ขึ้น
สกุลหลินและสกุลเสวี่ยคิดมักใหญ่ใฝ่สูง แอบซ่องสุมกองกำลังคิดก่อกบฏ ทั้งยังลักลอบติดต่อกับแคว้นศัตรูชักศึกเข้าบ้าน สร้างความเสียหายแก่บ้านเมือง จนต้องโทษประหารทั้งตระกูล หนำซ้ำเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันมาถึงองค์รัชทายาทฉีรุ่ยซิงด้วย เนื่องจากสกุลหลิน คือพระญาติสายนอกของฮองเฮา อีกทั้งหลินเฮ่าผู้นำตระกูลคนปัจจุบันยังเป็นถึงท่านราชครูอีก
“พวกคนสกุลหลินและตระกูลเสวี่ย ช่างบังอาจยิ่งนัก มักใหญ่ใฝ่สูงเกินตัว กล้าคิดการกบฏ เอาพวกมันไปประหาร เสียบหัวประจานที่กำแพงเมือง ให้เป็นเยี่ยงอย่างให้คนอื่นดูว่าใครคิดจะทำเยี่ยงนี้จะพบเจอกับอะไรบ้าง” ฮ่องเต้มีบัญชาลงมาให้ลงลงโทษทั้งสองตระกูลอย่างเด็ดขาด“พ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าทหารขานรับบัญชาแล้วลงมือลากคนที่ต้องโทษตายออกไปจากท้องพระโรง จึงเหลือแค่ขุนนางกับพระญาติต่าง ๆ เท่านั้น ก่อนที่คำบัญชาจะถูกส่งมาอีกครั้ง และครั้งนี้คนที่ได้รับโทษคือคนที่นั่งตัวสั่นอยู่
“ส่วนหลินฮองเฮาให้ยึดตราหงส์และขับไปอยู่ตำหนักเย็นตลอดไป โทษฐานมีความร่วมในการก่อกบฏในครั้งนี้”
เคราะห์กรรมนี้ ทั้งองค์รัชทายาทและฮองเฮาก็ไม่อาจหลีกหนีพ้น นางลุกขึ้นและยินยอมเดินตามขันทีไปอย่างง่ายดาย
“เสด็จพ่อ ท่านแม่ไม่มีส่วนร่วมในครั้งนี้เลย โปรดงดเว้นโทษให้เสด็จแม่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” องค์รัชทายาทที่กตัญญูต่อมารดา รีบมาขอความเมตตาจากเสด็จพ่อของตน
“บังอาจ เจ้ายังมีหน้ามาต่อรองกับข้าอีกหรือ เจ้าทำอะไรไว้ก็ย่อมต้องรู้อยู่แก่ใจ เอาตัวเขาไปขังไว้รอข้าสำเร็จโทษ”
การกระทำของเขายิ่งทำให้พระองค์กริ้วใส่ เมื่อพระองค์สืบรู้ว่าแท้จริงแล้ว ผู้ที่อยู่เบื้องหลังในเหตุการณ์ก่อกบฏคือองค์รัชทายาทนั่นเอง
“เสด็จพ่อ ข้าไม่ได้ทำการอันใด เหตุใดต้องสั่งขังข้าเล่า” องค์รัชทายาทดิ้นรนเอาตัวรอดและร้องถามออกมาเสียงดังลั่น
“ไม่ได้ทำการอันใดเช่นนั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข่าวของเจ้าดังไปทั่วแล้ว ทำสิ่งใดไว้ ใช่ว่าจะเป็นความลับเสมอไปนะ เอาตัวเขาไปรอการตัดสินโทษจากข้า” องค์ฮ่องเต้ตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ
ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้มีคนจงใจ หรือเพราะฟ้าลิขิตกันแน่เพราะจู่ ๆ หลักฐานความผิดต่าง ๆ ขององค์รัชทายาทก็ค่อย ๆ ผุดออกมาราวกับดอกเห็ด แล้วมาวางเรียงรายอยู่ในห้องทรงพระอักษรของพระองค์ ดังนั้นหลังจากที่ได้ทำการประหารสกุลหลินและสกุลเสวี่ยจนเลือดนองเป็นสายแล้ว ฮ่องเต้ฉีอี้เหรินก็ได้มีรับสั่งให้ประหารองค์รัชทายาทต่อในทันที
เรื่องนี้สร้างความสะเทือนใจกับพวกชาวบ้านไม่น้อย เพราะพวกเขาต่างก็คิดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทที่มีจิตใจดีงาม อีกทั้งสกุลหลินและสกุลเสวี่ยที่คอยปกป้องบ้านเมืองมาตลอดจะกระทำการเช่นนี้
นี่แหละน้าที่เขาว่า จิตใจคนเรายากลึกหยั่งถึงจริง ๆ
อีกด้านหนึ่ง
เรือนแยกฝ่ายในของจวนองค์ชายรอง บรรยากาศรอบด้านเงียบสงบราวกับเป็นเรือนร้างไร้ผู้คน ทว่ากลับยังมีเสียงร้องไห้คร่ำครวญอย่างไม่ยินยอมดังแว่วออกมา
“ยามนี้ท่านก็สิ้นไร้ไม้ตอกเหลือตัวคนเดียวแล้ว เหตุใดถึงยังไม่ยอมปล่อยวางอีก เหนียงเหนียง หักห้ามใจเสียเถอะ หากยังดึงดันอีก เกรงว่าแม้แต่ชีวิตของท่านก็จะไม่เหลือแล้ว สกุลหลินของท่านยังรอให้ท่านไปเก็บรวบรวมกระดูกคนในตระกูลอยู่นะ”
ขันทีร่างท้วมหว่านล้อมอย่างจนใจ ยามนี้สกุลหลินของนางพินาศสิ้นแล้ว ตัวของนางเองก็ถูกปลดจากตำแหน่งพระชายาเอก เหลือเพียงแค่ตำแหน่งอนุชายาเท่านั้น ทั้งยังถูกขับให้มาอยู่ที่เรือนเปลี่ยวร้างนี่ โดยไม่มีผู้ใดสนใจดูแล ทำกับนางราวกับเป็นคนตายคนหนึ่ง
และที่ขันทีผู้นี้ยังคอยแวะเวียนมาหานาง เนื่องจากครั้งอดีตเขาเคยได้รับการช่วยเหลือจากท่านราชครูหลิน บิดาของหลินซูเม่ย บุญคุณในครั้งนั้นเขายังจดจำมิเคยลืม
“เจ้าจะให้ข้าหักห้ามใจอย่างนั้นหรือ? ตระกูลหลินของข้าทั้งตระกูลต้องมาตายอย่างไร้ความเป็นธรรมเช่นนี้ เจ้ายังมีหน้ามาให้ข้าหักห้ามใจอีกอย่างนั้นหรือ?!” หลินซูเม่ยทุบอกของตัวเองเสียงดังราวกับอยากหาที่ระบาย
“อย่างไรท่านก็ต้องหักห้ามใจเพื่อรักษาชีวิต ดูเถิดว่าร่างกายของท่านย่ำแย่เช่นนี้ จะไปกอบกู้ตระกูลหลินได้เยี่ยงไร ท่านต้องดูแลตัวเองเพื่อตระกูลหลินที่เหลืออยู่” ขันทีเอ่ยเพื่อเตือนสติของนาง เขามองดูสภาพร่างกายของนางแล้ว ทำได้เพียงส่ายหน้าไปมา
“กายข้าเจ็บเพียงเท่านี้ มันเทียบไม่ได้กับใจของข้าที่แหละสลายไปแล้วได้หรอก สิ่งที่ต้องกอบกู้ใช่ร่างกายไม่ แต่เป็นจิตใจของข้านี่”

