บทที่ 7 หาทางแก้ไข
บทที่ 7
หาทางแก้ไข
แต่ทว่านางคิดผิดเรื่องที่คิดว่าเขาไม่มีคนหนุนหลัง เนื่องจากหลังจากผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่วัน องครักษ์เงาทั้งสามก็นำข้อมูลที่สืบได้มาให้นาง เมื่อนางได้อ่านดู ก็พบว่าเป็นอย่างที่นางเคยสงสัยเอาไว้จริง ๆ ที่แท้ คณะละครเร่หลงเล่อที่มาจัดแสดงที่เมืองหลวงก็เป็นกลุ่มคนที่องค์ชายรองจ้างมา อีกทั้งเขายังให้คนเอาข่าวนี้มาบอกแก่บ่าวของนาง เพื่อล่อให้นางอยากไปดู จะได้จัดฉากเรื่องอุบัติเหตุม้าตื่นตกใจ กับการปรากฏตัวราวกับชะตาลิขิตของอีกฝ่าย
“เห็นอยู่ชัด ๆ ว่านี่มันเป็นละครปาหี่ เหตุใดในชาติที่แล้วข้าถึงได้มองไม่ออกกันนะ” นางบ่นให้ตัวเองเบาๆ
หลังจากที่ม่านหมอกได้หายไปแล้ว ตอนนี้สติของจึงนางแจ่มใสดีมาก ทำให้นางคิดอะไร ๆ ได้หลายอย่าง
ที่แท้ฉีเยี่ยนจื่อก็คิดอยากแย่งตำแหน่งขององค์รัชทายาทตั้งแต่ตอนนี้แล้ว ถึงได้ค่อย ๆ วางแผนไปทีละขั้น แล้วก้าวเดินไปตามนั้น แต่น่าหัวเราะตรงที่นางดันเป็นตัวช่วยสำคัญ ที่ทำให้แผนการของอีกฝ่ายสำเร็จอย่างง่ายดาย
“ครั้งนี้ข้าจะไม่ยอมให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่เจ้าคิดจะทำอีกแล้ว หมากกระดานนั้นของฉีเยี่ยนจื่อคนชั่ว ข้างจะเป็นคนพังมันเอง!” หลินซูเม่ยพูดขึ้นพร้อมกับกำกระดาษในมือจนมันแทบจะแหลกค่ามือ
“ก่อนอื่นข้าจะต้องหาทางเตือนทุกคนให้ระวังองค์ชายรองเอาไว้ก่อน แม้ว่าในตอนนี้ฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งฉีรุ่ยซิง ญาติผู้พี่ของข้าให้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังมีเรื่องพลิกผันอยู่ดี แล้วเช่นนั้นข้าจะเตือนพวกเขาอย่างไรดี” หลินซูเม่ยครุ่นคิดถึงวิธีการที่จะแจ้งข่าวให้ทุกคนรับรู้ โดยที่พวกเขาไม่สงสัยหรือตื่นตระหนก
นางไม่อยากทำอะไรบุ่มบ่ามเกินไป กลัวว่าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น เพราะไม่รู้ว่าข้างกายคนเหล่านั้นจะมีสายขององค์ชายรองแฝงตัวอยู่กี่มากน้อย
องค์ชายรองฉีเยี่ยนจื่อ ภายนอกเป็นคนสุขุมจริงใจ รักใคร่พี่น้อง เขาไม่เคยแสดงเจตนากระหายในการอยากจะครอบครองบัลลังก์ออกมาให้ใครได้เห็น ปิดซ่อนอารมณ์ความรู้สึกจนมิดชิด ทำให้เหล่าบรรดาองค์ชายพระองค์อื่น ๆ หรือกระทั่งองค์รัชทายาทไม่เคยคิดสงสัยในตัวเขา
ส่วนหลินซูเม่ยที่ได้เห็นแต่ด้านดี ๆ ของสามี ก็อดชื่นชมเขาในใจไม่ได้ว่า อีกฝ่ายช่างเป็นคนใจกว้างนัก ดังนั้นพอตอนที่สามีเคยมาบ่นกับนาง เรื่องที่ตนถูกองค์รัชทายาทข่มเหงรังแก อวดศักดาตอนอยู่ในราชสำนัก นางก็นึกรังเกียจญาติผู้พี่ผู้นี้ของนางขึ้นมา
องค์ชายรองบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังใส่ใจนางจนสำเร็จ นางค่อย ๆ เอาใจออกห่างจากพวกเขาเรื่อย ๆ ซ้ำยังได้ไปขอให้บิดาและพี่ชายช่วยเปลี่ยนข้างมาสนับสนุนองค์ชายรองสามีของนางแทน แต่ก็ถูกทั้งสองคนปฏิเสธ
แต่ไหนแต่ไรมา ทั้งหลินเฮ่าและหลินวั่นเฉิงล้วนวางตัวเป็นกลางไม่ได้คิดเข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ด้วยสถานะที่พวกเขาเป็นพระญาติกับหลินฮองเฮา ทำให้สายตาของทุกคนมองว่าพวกเขาเป็นคนของฮองเฮาและองค์รัชทายาท
“พอลองคิด ๆ ดู ไม่รู้ว่าในชีวิตที่แล้วของข้าถูกเจ้าเดรัจฉานฉีเยี่ยนจื่อนั่นหลอกมากี่เรื่องกันแน่ สมองของข้าคงหายลงไปอยู่ในท้องสุนัขหมดแล้วกระมังถึงได้โง่งมได้ถึงเพียงนั้น” นางพร่ำบ่นตัวเองไม่หยุด จนสุดท้ายก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
“เอาเถิดถึงข้าจะด่าตัวเองไปก็ไม่ช่วยอะไร ตอนนี้รีบคิดหาวิธีดีกว่า ว่าจะเตือนพวกเขาอย่างไรดี จะว่าไปวันแห่งโชคชะตาที่ข้าจะได้เจอกับฉีเยี่ยนจื่อก็คือวันพรุ่งนี้แล้ว เช่นนั้นขอแค่ข้าไม่ไปตลาด ข้าก็จะไม่เจอกับอีกฝ่ายแล้ว?
ไม่สิ ฉีเยี่ยนจื่อมากเล่ห์เจ้าแผนการ ต่อให้ไม่ได้เจอกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะหลุดพ้นจากเงื้อมมืออีกฝ่าย หนำซ้ำวันคัดเลือกพระชายาขององค์ชายรองก็ใกล้เข้ามาแล้วด้วย ข้ามั่นใจว่าฉีเยี่ยนจื่อจะต้องเสนอชื่อของข้ากับมารดาของเขาแน่ ๆ เช่นนั้นสิ่งที่ข้าควรเลี่ยงไม่ใช่การไม่เจอกับอีกฝ่าย แต่เป็นการชิงหมั้นหมายกับผู้อื่นก่อนต่างหาก”
หลินซูเม่ยเอาแต่เดินไปเดินมาพร้อมกับพูดกับตัวเองเหมือนคนบ้า แต่ใครจะสนใจล่ะ เพราะตอนนี้นางอยู่เพียงลำพังในห้องนอนของนางเอง เดินไปเดินมาก็หยุดชะงักเพื่อใช้ความคิด “ว่าแต่แล้วข้าจะหมั้นหมายกับใครดีละ?” นางถามตัวเองอีกครา
ว่ากันว่าสตรีที่เลือกสามีผิด จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต คำพูดนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยสักนิด ก็เหมือนกับชีวิตที่แล้วของนางนั่นแหละ ที่สุดท้ายแล้วก็พาตัวเองไปสู่ปากเหวแห่งหายนะ
หลินซูเม่ย เดินมาที่โต๊ะของนางเพื่อหาเทียบเชิญต่าง ๆ เผื่อว่ามีจะจวนหรือสกุลสูงศักดิ์ที่ไหนสักแห่ง จัดการงานชมดอกไม้บ้าง แต่ก็ไม่มีเลย จนนางนึกขึ้นได้ว่า เพราะในยามปกตินางไม่ค่อยชอบงานเลี้ยงสังสรรค์ที่วุ่นวายพวกนี้ จึงได้สั่งพ่อบ้านไว้ว่าให้ปฏิเสธเทียบเชิญพวกนั้นไปให้หมด ไม่ต้องเอามาให้นาง
หลินซูเม่ยคอตกอย่างผิดหวังทันที
“นี่ข้าจะทำอย่างไรดี เทียบเชิญก็ไม่มี” นางบ่นวนไปวนมา
แต่แล้วนางก็นึกขึ้นได้ “จริงสิในเมื่อของข้าไม่มี แต่ของท่านพี่อาจมีก็ได้ ท่านพี่เป็นถึงรองแม่ทัพที่ยังอายุน้อย ทั้งยังเป็นบุตรชายของท่านราชครูด้วย ย่อมต้องมีคนส่งเทียบเชิญให้ไม่ขาดอย่างแน่นอน” นางเอ่ยขึ้นมาอย่างมีความหวัง
ว่าแล้วก็ไม่รอช้า หลินซูเม่ยรีบตรงไปยังห้องหนังสือของพี่ชายทันที พอยื่นหน้าเข้าไป ก็เห็นอีกฝ่ายกำลังอ่านตำราอะไรบางอย่างอยู่
“พี่ใหญ่ ข้าขอเข้าไปได้หรือไม่” นางส่งเสียงเรียกเบา ๆ
หลินวั่นเฉิงละสายตาจากตำรามามองนางอย่างแปลกใจ
“เสี่ยวซูเจ้ามีอะไรหรือ เข้ามาสิ” เขาวางตำราลงก่อนกวักมือเรียกน้องสาวให้เข้าไปหา
“เช่นนั้นข้าเข้าไปนะ” เมื่อได้รับอนุญาต หลินซูเม่ยจึงค่อยเดินเข้าไป
