ฝันร้ายหนึ่งตื่น
บทที่ 5
ฝันร้ายหนึ่งตื่น
ยิ่งเข้าใกล้โถงน้ำชาของเรือนหลัก ความรู้สึกของหลินซูเม่ยก็ยิ่งตื่นเต้น ภายในอกของนางเต้นโครมครามราวกับรัวกลองศึก ในหูเกิดเสียงวิ้ง ๆ แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่ลดฝีเท้าลงเลยสักนิด แต่กลับยิ่งวิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม ทันทีที่เห็นบานประตูทางเข้าอยู่เบื้องหน้า นางก็ส่งเสียงดังลั่นเพื่อเรียกท่านพ่อท่านแม่ออกไป
“ท่านพ่อ! ท่านแม่! ท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าคะ”
เสียงนี้ของนางเรียกให้ทุกคนหันมามอง เนื่องจากคิดว่านางเกิดเรื่องร้ายแรงอันใด นอกจากจะไม่ตำหนิเรื่องกิริยามารยาทที่ไม่งามแล้ว ทั้งสองยังเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ซูเอ๋อร์เกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงรีบร้อนเช่นนี้ ดูสิวิ่งมาจนเหงื่อออกมาเต็มหน้าแล้ว มา เดี๋ยวแม่จะเช็ดหน้าให้” หลินฮูหยินเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน และยื่นมือไปให้ลูกสาวตัวน้อยของนาง
เมื่อได้เห็นบิดามารดานั่งอยู่ตรงหน้า หลินซูเม่ยก็รู้สึกราวกับนี่เป็นภาพฝันอันแสนงดงามที่นางเฝ้าวาดฝัน ดุจบุปผาในคันฉ่อง จันทราในวารี ภาพตรงหน้านี้คล้ายจริง คล้ายไม่จริง นางอยากจะก้าวไปหาทั้งสองให้เร็วขึ้นอีกนิด กลัวว่าขืนชักช้า ภาพนี้จะสูญสลายไป แต่ก็อยากเดินให้ช้าอีกหน่อย เกรงว่าหากใจร้อนแล้วนี่เป็นเพียงภาพฝัน นางกลัวภาพฝันจะแตกสลายไปต่อหน้าต่อตา
“ท่านพ่อ ท่านแม่” หลินซูเม่ยแค่เรียกท่านทั้งสองอย่างเหม่อลอยและค่อยๆ ก้าวเข้าไปหา สายตาจ้องมองแบบไม่กล้ากะพริบตาเพราะกลัวว่ากะพริบตาแล้วภาพพวกท่านจะหายไป
“ซูเอ๋อร์ เป็นอะไรลูก มา มานั่งกับแม่”เมื่อเห็นบุตรสาวแปลกไป หลินฮูหยินก็ขยับลุกขึ้นแล้วเข้ามาประคองนางไปนั่งด้วยกันที่เก้าอี้ตัวใหญ่
สัมผัสอันอ่อนนุ่มและความอุ่นร้อนที่แขนของหลินซูเม่ย บ่งชัดว่ามารดาของนางยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ ยังเป็นคนเป็น ๆ ไม่ใช่ซากศพเย็นชืดที่ถูกคนนำไปทิ้งอย่างไม่ไยดีที่ป่านอกเมืองหลวงนั่น
นางค่อย ๆ ยื่นมืออันสั่นเทาไปจับแขนของมารดา ก่อนจะยกมือขาวผ่องขึ้นแตะแก้มของอีกฝ่าย หลินฮูหยินมิได้หลบเลี่ยงมือของบุตรสาว แต่ยังคงมองนางอย่างเป็นห่วง กระบอกตาของหลินซูเม่ยร้อนผ่าว ดวงตาแดงรื่นขึ้นมาด้วยหยาดน้ำใส นางเอ่ยเรียกคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ท่านแม่...”
“หืม?”
“เป็นท่านแม่จริง ๆ” จู่ ๆ น้ำตาของนางก็ไหลพรากออกมา นางโผเข้าหาอกของมารดาพลางกอดเอาไว้แน่น ราวกับอยากจะยึดจับเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายจากไปไหนอีก
“โอ๋ ๆ ซูเอ๋อร์ของแม่ เหตุใดถึงร้องไห้เป็นเด็ก ๆ เช่นนี้ ไหนให้แม่ดูเจ้าหน่อย” หลินฮูหยินกอดลูกสาวตอบและจะผละออกเพื่อดูใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตา
หลินซูเม่ยส่ายหน้ายังคงกอดมารดาไม่ยอมปล่อย คล้ายกับว่านี่คือฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายของนาง นางจึงพยายามจับยึดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย สาวใช้หรัวจิ่วที่ตามมาเห็นเข้า นางเองก็ไม่เข้าใจ ทั้งที่เมื่อครู่คุณหนูของนางก็ยังดี ๆ อยู่ แล้วเหตุใดยามนี้ถึงได้ร้องไห้ปล่อยโฮออกมาได้
ยิ่งเห็นท่าทีเช่นนี้ของบุตรสาว หลินฮูหยินได้แต่หันไปสบตากับสามีเพื่อขอความเห็น แต่กลับเห็นหลินเฮ่าเอาแต่จ้องมองบุตรสาวอย่างแปลกใจปนตกตะลึง
“ซูเอ๋อร์...” เขาอ้าปากราวกับจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็มีเสียงย่ำเท้าหนัก ๆ ดังมาจากด้านนอกโถงน้ำชา ก่อนที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่จะปรากฏตัวขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวซูของข้า!” ชายผู้นี้คือรองแม่ทัพหลิน บุตรชายคนโตของจวนสกุลหลิน หลินวั่นเฉิง พี่ชายร่วมอุทรของหลินซูเม่ยนั่นเอง
“พี่ใหญ่!” หลินซูเม่ยเรียกพี่ชายเสียงดัง
จากนั้นนางค่อย ๆ ผละออกจากอกของมารดา แล้ววิ่ง ไปกอดพี่ชายอย่างรวดเร็ว นางไม่สนใจว่าใครจะมองว่านางทำตัวเป็นเด็กน้อยอย่างไร แต่ยามนี้ขอให้นางได้ทำตามใจของตัวเองสักครั้งเถอะ เพราะชีวิตก่อนหน้านี้ ไม่ว่านางจะพยายามเฝ้าเรียกหาอย่างไร ทุกคนก็ไม่กลับมาหานางอีกแล้ว
“เสี่ยวซูของข้า เหตุใดถึงร้องไห้หนักขนาดนี้ หรือบิดาตีเจ้าหรือ”หลินวั่นเฉิงโอบกอดร่างบางของน้องสาวไว้ พร้อมกับเอ่ยถามออกไป
“เจ้าเด็กหน้าเหม็น อย่าเที่ยวใส่ร้ายคนส่งเดช! ข้าหรือจะกล้าตีน้องเจ้า” หลินเฮ่าชี้หน้าด่าทอบุตรชายที่โยนความผิดมาที่เขา ก่อนจะชะงักไปอีกครั้งพร้อมกับหัวคิ้วของพลันขมวดมุ่นอย่างสงสัย
“นี่พวกเจ้า...เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?” หลินเฮ่าเอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม้อยากจะเชื่อสายตาตนเอง
“หืม? อะไรหรือท่านพ่อ” หลินวั่นเฉิงเอ่ยถามบิดาอย่างงุนงงกับท่าทางนั้นของบิดา
ทว่าหลินเฮ่ากลับไม่ได้ตอบบุตรชาย เขาเพียงแค่หลับตาลงแล้วทำสมาธิ เพื่อหยั่งรู้อะไรบางอย่างที่เขาสงสัย
หลินเฮ่าเป็นราชครูแห่งแคว้นต้าฉี เขามีดวงตาหยินหยาง หรือดวงตาเห็นแจ้ง สามารถทำนายอนาคตได้ ซึ่งความสามารถนี้ได้สืบทอดกันมาในสายเลือดคนสกุลหลินของพวกเขา ทว่าในรุ่นลูกของเขากลับไม่มีใครมีความสามารถนี้อยู่เลย หนำซ้ำตัวของหลินเฮ่ากลับเห็นลางมรณะปรากฏอยู่บนใบหน้าของลูก ๆ ทั้งสองอีก นั่นก็หมายความว่าบุตรทั้งสองของเขาชะตาอาภัพ อายุขัยสั้น
หลายปีมานี้หลินเฮ่าจึงพยายามหาวิธีแก้ไขดวงชะตาให้กับลูก ๆ มาตลอด จนพบว่ามีอยู่วิธีหนึ่งที่พอจะแก้เคล็ดได้ นั่นคือ ให้บุตรชายแต่งกับคนที่มีวันเวลาตกฟากที่เสริมส่งดวงชะตาของเขา นั่นคือ วันที่หกเดือนสิบ ปีแพะน้ำ ยามอู่ ส่วนหลินซูเม่ยบุตรจะต้องแต่งกับคนที่มีวันเวลาตกฟากที่ส่งเสริมกัน นั่นคือ วันที่ยี่สิบเก้า เดือนสอง ปีมังกร ยามเฉินสามเค่อ
แต่ไม่ว่าเขาจะกวาดตาหาเท่าไหร่ ก็ไม่เจอคนที่มีวันเวลาตกฟากดังกล่าวนี้ปรากฏเลยคู่ผูกดวงยังหาไม่เจอ ทว่าจู่ ๆ ลางมรณะบนใบหน้าลูก ๆ ก็ได้เบาบางลงไปแล้ว
“นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน เกิดอะไรขึ้น กับดวงชะตาของทั้งสองคนกันนะ” หลินเฮ่าพูดพึมพำกับตัวเองซ้ำ ๆ
หลินวั่นเฉิงไม่ได้สนใจท่าทีของบิดา เขาหันไปถามน้องสาวที่ตอนนี้ยังกอดเขาแน่นไม่ยอมปล่อยแทน
“ว่าอย่างไรเสี่ยวซู เจ้าเป็นอะไร ใครทำให้เจ้าร้องไห้แบบนี้ ข้าจะไปจับตัวมันมาลงโทษให้สาสม” หลินวั่นเฉิงเอ่ยถามคนที่ซุกอยู่ที่อกเขา อีกครั้ง
หลินซุเม่ยส่ายหน้าไปมากับอกของพี่ชาย ก่อนจะพยายามยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากแก้มใส ใบหน้านางในตอนนี้ไม่น่ามองเอามาก ๆ จนพี่ชายของนางหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองขึ้นมา แล้วให้น้องเช็ดหน้าตาที่เปื้อนไปด้วยน้ำตา พวกเขาปลอบนางอยู่ครึ่งชั่วยามเต็ม ๆ กว่าที่หลินซูเม่ยจะคลายสะอื้นลงได้
“มา บอกพี่ชายของเจ้ามาว่า ใครรังแกเจ้ากัน” หลินวั่นเฉิงยังถามขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อยังไม่ได้คำตอบ
หลินซูเม่ยส่ายหน้า แต่ก็ยังขมวดคิ้ว “ข้าก็แค่ฝันร้าย”
‘ใช่ มันเป็นฝันร้าย ที่ไม่ว่าอย่างไร-ข้าก็มิอาจลืม’
