6 เสื้อคลุม (ต่อ)
ฝ่ายหยวนชิงอี้ได้สาวใช้ช่วยพยุงมาขึ้นรถม้า สถานการณ์ก่อนหน้านับว่าอยู่ระหว่างความเป็นความตายหลายครั้งหลายหน แต่สุดท้ายนางก็ฝืนวาสนาเดิม จนได้พบกับอ๋าวเซียวเหริน
“เฮอะ สวรรค์ยังเลือกเข้าข้างนางอีกหรือ นับแต่กลับมาจากสำนักนางชีแสนเหลวไหล นางก็เป็นตัวอัปมงคลของตระกูลหยวนโดยแท้ บ้านรองอยู่ด้วยความสุขมานานแสนนาน พอนางเหยียบเท้าเข้ามาเท่านั้น ท่านพ่อกลับเสียสติ ถูกปีศาจร้ายสิง ใช้เงินในบ่อนการพนันจนมีหนี้สินมากมาย แล้วอาละวาดหนักจนถึงขั้นสังหารผู้คนไปหลายสิบชีวิต และคนที่เดือดร้อนก็คือข้า ข้าแต่เพียงผู้เดียว”
เสียงที่ดังด้วยความโกรธแค้น และหงุดหงิดอย่างที่สุดมาจากจากหยวนซูซู เพียงชั่วข้ามคืนนางต้องเสียพี่ชายทั้งสองคนรวมถึงมารดาในกองเพลิง ฝ่ายบิดาหลังก่อเหตุสะเทือนขวัญ ก็ใช้มีดสั้นแทงตัวเองเพื่อหนีความผิด ด้วยเหตุนี้จึงมีคำสั่งเร่งด่วนจากท่านลุงให้เดินทางไปเมืองหลวง เพื่อเขาและหยวนฮูหยิน จะเป็นผู้ดูแลหยวนซูซูและหยวนชิงอี้ พร้อมจัดหาบุรุษที่เหมาะสมเพื่อให้พวกนางแต่งออกเรือน ได้ใช้ชีวิตของตน
“ให้นางอยู่อย่างสงบ จนกว่าจะถึงจุดพักม้าที่เมืองลิ่ว ห้ามคุณหนูของเจ้าส่งเสียงให้ข้ารำคาญใจเป็นอันขาด”
หยวนซูซูกล่าวด้วยความโมโห และเลือกที่จะหันไปสนใจ ของในรถม้าตน ซึ่งเป็นเครื่องประดับที่นำติดตัวมาด้วย สมบัติของเรือนรองแม้มีไม่มาก หากตอนนี้ทั้งหมดได้ตกเป็นของนางเพียงผู้เดียว ส่วนหยวนชิงอี้ กำพร้าทั้งบิดามารดา อีกทั้งเป็นความอัปมงคลของตระกูลหยวน นางจึงไม่สมควรได้สิ่งที่มีค่าติดตัว ซึ่งนับว่าถูกต้องแล้ว
เมืองลิ่ว
กระทั่งรถม้าจอดที่จุดพัก หยวนชิงอี้ลงมาด้านล่าง พอยืนได้ก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่า เสื้อผ้าที่ใส่ก่อนหน้าเปลี่ยนใหม่เรียบร้อย แต่นางไม่วายใช้เสื้อคลุมของเทพสังหารห่อร่างตน เรื่องนี้ไม่ได้เขียนไว้ในนิยาย และหยวนชิงอี้เชื่อเหลือเกินว่า นางสามารถพลิกบทบาทต่อจากนี้ ด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกดำของอ๋าวเซียวเหริน
“กลิ่นกายใต้เท้าผู้นั้นนับว่าเข้มข้น ทั้งเจือด้วยไอสังหาร แต่เจ้ายังไม่ยอมถอดมันออก ทำตัวราวกับเป็นสตรีของเขา คนไร้ยางอายย่อมเป็นเช่นหยวนแปด”
หยวนซูซูแต่เดิมก็ปากร้าย และน่าประหลาดใจ ทั้งที่เสียชีวิตกันเกือบยกเรือนรอง แต่เหตุใดหยวนซูซูกลับรอดพ้น นั่นคงเป็นเพราะฟ้าสวรรค์อยากให้หยวนชิงอี้คนใหม่ แก้แค้นนางในชาตินี้สินะ
“พี่ห้า... ข้ายังไม่หิว แต่อยากได้สมุนไพรเติมในถุงหอม ช่วยลดอาการวิงเวียนศีรษะ และพะอืดพะอมสักหน่อย ได้ยินทหารที่คุ้มกันรถม้า บอกว่าเมืองลิ่วมีตลาดสมุนไพรขนาดใหญ่”
หยวนชิงอี้กล่าว และมองร้านรวงต่างๆ แม้ไม่หนาตา แต่ก็ให้บรรยากาศน่าเดินชม
“อย่าเถลไถลไกลละ ข้าจะรอที่ร้านน้ำชา คาดว่าอีกไม่นาน พี่รองคงมาถึงที่นี่”
หยวนชิงอี้พยักหน้าเข้าใจ แล้วเดินไปกับสาวใช้ส่วนตัวของนาง ภาพอีกฝ่ายขัดหูขัดตาหยวนซูซูยิ่งนัก โดยเฉพาะเสื้อคลุมขนจิ้งจอกดำ ดูแล้วก็มีค่าทั้งตัดเย็บอย่างประณีต ซึ่งมันไม่ควรอยู่บนร่างของสตรีกำพร้าอย่างเช่นหยวนชิงอี้แม้แต่น้อย
“น่าเสียดาย โจรลักพาตัวนางแล้วแท้ๆ ไฉนยังมีคนยื่นมือไปช่วย อันที่จริง ข้าไม่อยากจะนับญาติกับนางด้วยซ้ำ” หยวนซูซูเอ่ยจบ แม่บ้านที่เก่าแก่ที่ตามมาด้วย ทั้งจงรักภักดีต่อนาง ได้ยินอย่างนั้นก็เข้าใจเจตนาได้ในทันที
“บ่าวจะไปทำธุระสักเล็กน้อย คุณหนูรอที่นี่กับพวกนางเล็กๆ นะเจ้าคะ” ดวงตาแม่บ้านจุ้นเกิดประกายวาบ และหันมองไปยังหยวนชิงอี้ที่กำลังก้าวเข้าไปยังตรอกขายสมุนไพร
*********
เสี่ยวอวิ๋นสาวใช้ของคุณหนูแปด ซึ่งเคยอยู่ด้วยกันเมื่อครั้งอีกฝ่ายเยาว์วัย ก่อนห่างหยวนชิงอี้ในช่วงที่ถูกส่งตัวไปอยู่สำนักนางชี ยามนี้เมื่อเสี่ยวอวิ๋นมองอีกฝ่ายแล้ว ก็ลอบถอนหายใจอยู่หลายหน ซึ่งต้องยอมรับว่านับแต่เดินทางกลับตระกูลหยวน เกิดเรื่องร้ายแรงจนเรือนรองถูกเผา ไปจนกระทั่งหยวนชิงอี้ถูกโจรฉุดตัว ก่อนได้รับการช่วยเหลือจากอ๋าวเซียวเหรินทุกอย่างชวนให้น่าสงสัยไปเสียหมด
ถึงแม้ หยวนชิงอี้ผู้นี้ ภายนอกรูปลักษณ์คือคนที่นางเคยรู้จักอย่างแน่แท้ ทว่านิสัยใจคอช่างไม่เหมือนเดิมสักนิด นางมีไหวพริบ ตัดสินใจเด็ดขาด และเหนืออื่นใด นางมากด้วยเสน่ห์ที่เป็นธรรมชาติ สิ่งนี้ย่อมทำให้บุรุษอยากเข้าหา แม้กระทั่งอ๋าวเซียวเหรินผู้นั้น ในตอนแรกคล้ายจะควบขี่ม้าจากไปแล้ว แต่กลับเปลี่ยนใจส่งทหารมาคุ้มกันรถม้านาง รวมถึงเสื้อคุมขนจิ้งจอกดำก็มอบไว้แก่นาง ทุกอย่างมีสิ่งใดเป็นปกติ ยิ่งคิดฝ่ายเสี่ยวอวิ๋นก็เครียด จนไม่รู้ว่าตนกำลังรับใช้ผู้ใดอยู่กันแน่
“คุณหนู ยังขาดสิ่งใดที่ต้องการอีกหรือไม่” เสี่ยวอวิ๋นถาม เมื่อเห็นว่าหยวนชิงอี้กำลังเหม่อ
หญิงสาวได้สติ และหันมายิ้มบางๆ ให้สาวใช้ ดูเหมือนว่านางมีความคิดมากมายในหัว กล่าวได้ว่านางกำลังวางแผนต่างๆ อยู่นั่นเอง
“เจ้าบอกว่า เคยไปจวนท่านลุงหลายหน ที่นั่นเป็นเช่นไรบ้าง”
“บ่าวเกิดที่นั่นเจ้าค่ะ ได้ติดตามฮูหยินผู้ล่วงลับในครั้งที่ไปเมืองหลวง จึงพอจะรู้หลายสิ่งอยู่บ้าง”
“เช่นนั้น ลำบากเจ้าที่ต้องช่วยเหลือข้า”
“โถ คุณหนูบ่าวยินดีทุกอย่าง และคุณหนูอย่าลืมว่า เรือนหลักมีกฎเข้มงวด ใต้เท้าหยวนเป็นขุนนางตงฉิน มิใช่เรือนรองที่ทำการค้า ซึ่งไม่มีกฎเข้มงวด สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วย่อมปกปิดง่าย ผิดกับ...”
เสี่ยวอวิ๋นหยุดคำพูดตนเองไว้ นางก็แค่บ่าวให้รู้ความมาก ก็ใช่ว่าจะเป็นผลดีต่อตน
“เจ้าคงห่วงข้า พี่อวิ๋น...”
หยวนชิงอี้เรียกสาวใช้เช่นนั้น เสี่ยวอวิ๋นก็หน้าซีด เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นที่หน้าผาก
“คุณหนูทำให้บ่าวอายุสั้นแล้ว อย่ากล่าวเช่นนี้เลย”
“ข้าไม่มีญาติที่ใด และคนเดียวที่ยังติดตามข้า ก็มีแต่พี่อวิ๋น... อย่างไรข้าย่อมเชื่อในสิ่งที่ท่านบอก”
เสี่ยวอวิ๋นเข้าใจคำพูดของหยวนชิงอี้ จึงเอ่ยว่า
“ฮูหยินใหญ่ของใต้เท้าหยวนเป็นญาติของฮองเฮา ฉะนั้นจะทำสิ่งใด คุณหนูต้องพึงระวังให้มาก และไม่ช้าคุณหนูเจ็ดจะต้องออกเรือน ดังนั้นทั้งท่านและคุณหนูห้า ที่ยามนี้ต้องอยู่ในความดูแลของใต้เท้าหยวน ย่อมต้องขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว แต่งออกไปจากตระกูลหยวน”
“ด้วยเหตุนี้ จึงมีกำหนดให้ข้ากับพี่ห้าเร่งเดินทางอย่างเร็วที่สุด ทั้งที่พึ่งฝังศพของคนในเรือนรอง”
หยวนชิงอี้เอ่ย พลางทบทวนสิ่งที่อ่านในนิยาย ซึ่งยิ่งทำให้มั่นใจว่าตนมาถูกทางแล้ว
ในขณะเดียวกัน เสี่ยวอวิ๋นก็คงเหมือนผู้อื่น เสื้อคลุมขนจิ้งจอกดำที่อีกฝ่ายสวม ทำให้หยวนชิงอี้ดูดีมาก ราวกับนางพญา ทว่าเสื้อคลุมตัวนี้ มองแล้วเข้าใจได้ว่าเป็นของบุรุษ เช่นนั้นผู้ใดเห็นต่างคาดเดาได้ว่า หยวนชิงอี้เป็นสตรีที่มีเจ้าของแล้ว
“คุณหนูยังไม่ออกเรือน บ่าวคิดว่าถอดเสื้อของใต้เท้าผู้นั้นออกจะดีหรือไม่”
“เสี่ยวอวิ๋น เจ้าก็ใจแคบเหมือนพี่ห้าหรือ”
หยวนชิงอี้เอ่ย และหยิบของที่ต้องการไปเรื่อย จวบจนกำลังจะก้าวออกจากร้าน ก็เป็นเหตุให้นางชนชายหนุ่มคนหนึ่ง
