บทที่ 5 ภวังค์ฝัน (1)
นับตั้งแต่จูฟางหรงอภิเษกเข้ามาเป็นพระชายาของโหย่วอี้อ๋อง นางก็ถูกไทเฮาเรียกเข้าเฝ้าทุกวันไม่ขาด วันนี้ก็เช่นเดียวกันพลังกายทั้งหมดของนางได้ประเคนแด่ไทเฮาไปเสียหมดแล้ว จูฟางหรงลากสังขารอันแสนโรยแรงเข้ามาภายในห้องบรรทมดั่งร่างไร้วิญญาณ
“โอ๊ย เหนื่อยจะแย่ ข้าปวดเมื่อยไปทั้งตัวเลย ไทเฮาช่างโหดร้ายจริงแท้ แทบไม่ให้ข้านั่งเลย ขาแข็งไปหมด”
“พระชายา เป่าชุนนวดให้นะเพคะ”
จูฟางหรงพยักหน้าหงึกหงัก แม้ไทเฮาเอ็นดูจูฟางหรงเป็นอย่างมาก ทว่านางก็ยังถูกไทเฮาเคี่ยวกรำเรื่องมารยาทอย่างหนักตลอดทั้งวัน เพราะจูฟางหรงถนัดแต่จับดาบง้างธนู ไหนเลยจะสันทัดกับการวางตัวเป็นกุลสตรีสูงศักดิ์ในวังหลวง หลายวันมานี้จูฟางหรงขลุกตัวอยู่แต่เพียงตำหนักไทเฮาไม่เป็นอันทำอะไร ทั้งยังไม่เคยพบหน้าสวามีของตนแม้สักเสี้ยว ดูเหมือนนางกำลังเล็งเห็นจังหวะเหมาะ
“เป่าชุน เจ้าว่าคืนนี้เขาจะมาหรือเปล่า”
เป่าชุนยิ้มแหย “พระชายา ถ้าหมายถึงท่านอ๋องล่ะก็...ดูเหมือนท่านอ๋องไม่เฉียดมาที่ตำหนักรองตั้งนานแล้วนะเพคะ เกรงว่าวันนี้คง…”
“ดี ไม่มานั่นล่ะ ดีที่สุด เช่นนั้นวันนี้ข้า…” จูฟางหรงยิ้มพราย
เป่าชุนลุ้นจนตัวโก่งนางไม่ทราบว่าจูฟางหรงต้องการทำสิ่งใดกันแน่
จูฟางหรงกวักมือเรียกเป่าชุนหย็อย ๆ “เอียงหูมานี่”
เป่าชุนค่อย ๆ โน้มใบหน้าเข้าหาจูฟางหรงด้วยท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ “พระชายา จะทำอันใดเพคะ”
“เหอะน่า ข้าไม่ได้จะส่งเจ้าไปทำเรื่องเสียหายสักหน่อย”
เพราะเป่าชุนเอาแต่อึกอัก ขยับเชื่องช้าเป็นเต่าคลาน ช่างไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย จูฟางหรงจึงคว้าไหล่แคบลงมาฉับพลัน
“เป่าชุน ฟังข้านะ…”
จูฟางหรงเริ่มอธิบายเรื่องราวที่ตนต้องจัดการในค่ำคืนนี้ให้อีกฝ่ายฟัง จูฟางหรงสังเกตหลายวันจนแน่ใจแล้วว่าหลงโหย่วอี้จะไม่โผล่มา และใช่จูฟางหรงไม่ทราบว่าหลงโหย่วอี้ลอบส่งองครักษ์เงามาสะกดรอยตามนาง เช่นนั้นจูฟางหรงจะตลบหลังเขาดูเสียหน่อย คิดว่านางไร้สมองจนไม่รู้ว่าถูกจับตามองหรือ เขาคิดน้อยเกินไปหน่อยแล้ว
เป่าชุนได้ฟังเรื่องที่จูฟางหรงวางแผนก็ตระหนกตื่น จูฟางหรงกำลังกุเรื่องว่าอยากออกไปเที่ยวชมจันทร์นอกราชวัง อันที่จริงนางมีภารกิจที่ต้องจัดการต่างหาก “พระชายา ท่านจะไปชมที่ใดเจ้าคะ ที่ราชวังก็ชมได้ไยต้องออกไปด้วย หากคืนนี้ท่านอ๋องเกิดอยากมาพบท่านจะทำเช่นไร”
จูฟางหรงรู้ดีว่าหลงโหย่วอี้รังเกียจตนเพียงไหน แม้แต่หน้าของนางเขาก็ไม่อยากจะมอง ชาติก่อนนางและเขายังไม่เคยร่วมหอกันสักครา ชาตินี้อย่าได้เอ่ยถึง เขาทำราวกับเหม็นขี้หน้านางจะแย่ ไม่เข้าใจเลยจริงเชียว ยามเห็นหน้าสตรีสะสวยเช่นนางนกเขาของเขามันเหี่ยวหดหรืออย่างไร
“ก็ดวงจันทร์นอกราชวังงามกว่านี่นา เจ้าไม่ต้องห่วง เขาหวงตัวอย่างกับสตรี ท่านอ๋องไม่มีทางมาหาข้าแน่นอน วางใจได้”
“แต่…”
“ไม่ต้องแต่แล้ว ข้าเหลือเวลาไม่มาก แล้วจะรีบกลับ” จูฟางหรงตัดบท กระซิบต่อเสียงค่อย “ไม่ต้องกลัว ข้าสัญญาจะกลับมาให้ทันยามโฉ่ว”
เป่าชุนหน้าเผือดสี แต่ไม่อาจขัดผู้เป็นนาย ทั้งสองเปลี่ยนอาภรณ์กันเรียบร้อย เป่าชุนขึ้นไปนอนบนเตียงและหันหลังให้ธรณีประตูเพื่อแสร้งเป็นจูฟางหรงด้วยใจไหวระทึก คืนนี้นางคงต้องภาวนาอย่าให้โหย่วอี้อ๋องอุตริอยากมาหาพระชายาเลย
“เป่าชุน พักผ่อนไปงีบเดียวเท่านั้น เจ้าไม่ต้องกลัว หากเกิดอะไรขึ้น ข้าจะรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว”
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยจูฟางหรงจึงลอบสังเกตการหักเหของแสงจากดวงจันทร์ เร้นกายด้วยชุดพรางตัวสีเข้มอยู่นาน กระทั่งเงาบนหลังคาเริ่มขยับ จูฟางหรงจึงได้จังหวะกระโจนหายลับมุ่งสู่ความอนธการ
วันนี้เป็นคราที่จูฟางหรงต้องรายงานความเคลื่อนไหวของหลงโหย่วอี้แก่หอหงฮวา ต่อให้จูฟางหรงหวังปลดระวางจากการเป็นมือสังหารและอยากชำระแค้น แต่นางก็ไม่อาจผลีผลาม จูฟางหรงจะต้องรอบคอบกว่านี้เพื่อหาทางหลุดพ้นอย่างสิ้นเชิง ไม่เช่นนั้นอาจกลายเป็นการสร้างศัตรูถึงสองฝั่งจะลำบากเอาได้ ใคร่ครวญไม่นานร่างระหงที่เดินทางด้วยวิชาตัวเบาก็มาถึงที่หมาย
จูฟางหรงค้อมศีรษะเล็กน้อย “ท่านอาจารย์”
“หรงเอ๋อร์ มาแล้วหรือ”
.
.
หมอกควันสีจางพวยพุ่งขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะเลือนหายไปเนิบช้า ภาพเบื้องหน้าพลันปรากฏร่างชายหนุ่มวัยสิบแปดนั่งคุกเข่าท่ามกลางสายฝนจนกายเปียกชุ่ม สภาพของเขายามนี้ทั้งอ่อนล้าและโรยแรง ใบหน้าวสันต์ซีดขาว ร่างกายสั่นเทาเพราะความหนาวเหน็บ
เพราะเขามักพ่ายแพ้ในการประลองกระบี่กับพี่ชายอยู่เสมอ ไม่ว่าทำอย่างไร ทุ่มสุดกำลังเพียงไหนเขาก็ไม่อาจเอาชนะพี่ชายของตนได้แม้เพียงเสี้ยว บิดาจึงได้สั่งลงโทษเขาโดยให้คุกเข่าบนพื้นเย็นเยียบทั้งยังสกปรก
ขาแกร่งชาหนึบไม่อาจขยับไหว เขาทราบดีว่าบิดาไม่เคยภูมิใจในตนแม้แต่น้อย ยิ่งเกิดเป็นบุรุษที่มีร่างกายอ่อนแอขี้โรคด้วยแล้วก็ยิ่งเป็นที่ชิงชังของบิดาและเป็นที่ขบขันของพี่น้อง
ด้วยเกรงว่าวรยุทธ์ของเขาจะไม่รุดหน้าเฉกเช่นองค์ชายคนอื่น ๆ จนอาจนำไปสู่การช่วงชิงอำนาจ จึงเป็นเหตุให้ฮ่องเต้เคี่ยวกรำโอรสคนรองของตนอย่างหนัก ผู้เป็นบิดาคงหลงลืมไปว่าเขาเองก็เป็นลูกอีกคนที่ต้องการความรักและความอบอุ่น
ใบหน้าขาวโทรมแหงนมองฟากฟ้าที่เทกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ดุจกำลังตอกย้ำความอ่อนแอภายในใจ ต่อให้ชนะศึกนอกจนเป็นที่โดดเด่นแล้วอย่างไร สุดท้ายก็ยังแพ้ศึกในอยู่ดี ตำแหน่งแม่ทัพวัยเยาว์นี้เขาไม่ต้องการเลยสักนิด หากเลือกได้เขาอยากเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดา ขณะที่ชายหนุ่มกำลังตัดพ้อสิ้นหวัง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเพื่อเรียกสติ
“พี่ชาย ท่านหนาวหรือไม่เจ้าคะ”
เด็กหญิงอายุราวสิบหนาวใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรายืนถือร่มฉีกยิ้มกว้างดั่งโลกใบนี้สดใสเสียเต็มประดา เขาไม่ได้ตอบกลับนาง แต่เลือกเบือนหน้าหนี พริบตาชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าหยาดฝนไม่ต้องกายของตนแล้ว
ใบหน้าหล่อเหลาเปียกพราวด้วยหยาดน้ำแหงนมองอีกฝ่าย เขาจึงเห็นว่าเด็กหญิงคนนั้นกำลังยืนกางร่มให้ตนอยู่ ในขณะที่ไหล่อีกฝั่งของนางต้องเปียกชื้นไปด้วยน้ำฝนเพราะได้ปันร่มที่มากกว่าครึ่งเพื่อช่วยบดบังหยาดพิรุณให้เขา
“ถอยไป”
เสียงทุ้มแข็งกระด้าง แต่ดูเหมือนเด็กหญิงไม่สะทกสะท้านใด ร่างเล็กยังคงยืนนิ่งไม่ยอมขยับ รอยยิ้มก็ประดับบนใบหน้าอยู่ตลอด
“ท่านพ่อบอกว่าหากตากฝนจะไม่สบายเอาได้ พี่ชายท่านอยากป่วยหรือ”
“ไม่ต้องยุ่ง”
เด็กหญิงยังไม่ยอมแพ้ นางล้วงบางอย่างในสาบเสื้อออกมา จากนั้นยื่นให้เขา นัยน์ตาคมมองตามของที่อยู่ในมืออีกฝ่ายก็พบว่าเป็นลูกกวาด
“ท่านดูอารมณ์ไม่ดีนะเจ้าคะ กินนี่ท่านจะรู้สึกดีขึ้น”
ชายหนุ่มยังทำหน้าขรึมและไม่ตอบกลับ หูของเขาได้ยินการเคลื่อนไหวบางอย่าง เพราะร่มบนศีรษะมันเอียงกระเท่เร่จากการที่นางเอาด้ามเหน็บบริเวณใต้รักแร้
“ตายจริง คุณหนู ไปทำอะไรตรงนั้นเจ้าคะ”
ครั้นเห็นว่าสาวรับใช้ของตนใกล้เข้ามามือเล็ก ๆ ก็ยัดเจ้าก้อนขนมหวานเข้าปากเขาอย่างไม่ลังเล
“นี่เจ้า!”
“พี่ชาย ข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านต่อไม่ได้เสียแล้ว เช่นนั้นร่มนี่ข้ายกให้ท่าน ขนมนั่นก็เช่นกัน”
ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อตะลึงค้าง ความหวานละมุนกำลังอบอวลอยู่ในโพรงปาก ร่มคันเล็กถูกยัดเข้ามาในมืออันเย็นเยียบ ไม่ทันเอ่ยถาม เจ้าของร่างเล็กก็วิ่งฝ่าลมฝนห่างออกไปเสียก่อน
“ยัยตัวยุ่ง เดี๋ยว!”
หลงโหย่วอี้สะดุ้งเฮือก เขาผุดลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าหล่อเหลาเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อพราวระยับ
“ท่านอ๋อง ฝันอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หลงโหย่วอี้หอบหายใจถี่ระรัว เขาผินหน้ามองเฉินกงแต่ยังไม่ได้เอ่ยสิ่งใด มือกว้างยกขึ้นคลึงขมับชั่วครู่ จากนั้นก็เหลือบมองร่มคันเก่าที่วางทิ้งไว้ข้างหัวเตียงมานับสิบปี
“ยามใดแล้ว”
“ปลายยามจื่อพ่ะย่ะค่ะ”
หลงโหย่วอี้พยักหน้า วันนี้เขานอนไม่หลับเสียแล้ว และดูเหมือนว่าเขาอยากไปเยือนตำหนักพระชายาของตนดูเสียหน่อย ไม่รู้เช่นกันว่าผีสางตนใดดลใจให้เขาอยากไปพบนาง
หลงโหย่วอี้ลุกยืนเต็มความสูง เฉินกงเอ่ยถามด้วยความงุนงง “ท่านอ๋อง จะไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ”
“ตำหนักรอง”
เฉินกงนิ่งเงียบ ร้อยวันพันปีหลงโหย่วอี้แทบไม่โผล่ไปที่นั่น เหตุใดวันนี้จึงคิดอยากไปเยือนตำหนักรองกันเล่า หรืออารมณ์บุรุษกำลังพลุ่งพล่าน เพียงเผลอคิดเช่นนั้นเฉินกงก็หน้าร้อนผ่าว
“แต่…พระชายาน่าจะบรรทมไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เพราะเขาได้รับรายงานจากองครักษ์เงาเป็นที่เรียบร้อย ว่าจูฟางหรงนั้นเข้านอนตามเวลาปกติ
“แล้วอย่างไร หลายวันมานี้นางทำตัวเชื่อฟังผู้อื่นไปหมดทุกอย่าง นางเป็นชายาของข้า จำเป็นต้องเกรงใจนางด้วยงั้นหรือ ข้าอยากไปข้าก็จะไป หรือเจ้ามีปัญหาใด”
เฉินกงกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ “ไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ไม่นานหลงโหย่วอี้ก็ระเห็จออกจากห้องของตนด้วยความเร่งร้อน
เหตุใดข้าต้องมาหานางกันนะ
หลงโหย่วอี้หงุดหงิด แต่ไม่อาจทานแรงร่ำร้องในใจได้ เขารู้สึกว่ากำลังมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
เฉินกงเดี๋ยวเดินเดี๋ยววิ่งไล่หลังผู้เป็นนายด้วยความสับสน ไม่นานบุรุษทั้งสองก็ถ่อมาถึงหน้าประตูของตำหนักรอง หลงโหย่วอี้ลังเลเล็กน้อย จากนั้นจึงตัดสินใจทาบฝ่ามือลงบนบานประตู เพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรู้ตัวเขาจึงเลือกเสียมารยาทผลักมันเข้าไป
ผลัวะ!
หลงโหย่วอี้ผงะ เฉินกงที่ยืนไม่ห่างก็เช่นเดียวกัน นัยน์ตาคมปลาบตวัดมององครักษ์ข้างกายก็เห็นอีกฝ่ายอ้าปากค้าง เสียงทุ้มกระแอมเบา เฉินกงได้สติจึงเร่งหันหลังขวับ
สตรีร่างระหงนอนเหยียดขาเปลือยเปล่า แขนเรียวชันศีรษะอยู่บนเตียงนอนในสภาพอาภรณ์หลุดลุ่ย ผิวขาวราวหิมะแรกสาดสะท้อนเข้าม่านดวงตาคมกริบเสียจนต้องเบือนหนี เพราะมันกำลังส่งผลต่อจิตใจจนเลือดลมสูบฉีดพิกล หลงโหย่วอี้ไม่คิดยอมรับว่าเป็นเพราะนาง เขาคิดเพียงว่าตนอาจเดินอย่างเร่งร้อนเกินไป จึงเป็นเหตุให้ใจเต้นระส่ำ
ริมฝีปากสีกุหลาบแย้มยิ้มอวดฟันเรียงสวย เสียงใสเอ่ยหยอกล้อ “เสด็จพี่ วันนี้อยากนอนกับหม่อมฉันหรือเพคะ”
เชิงอรรถ
^
ยามโฉ่ว (丑:chǒu) คือ 01.00 – 02.59 น.
^
ยามจื่อ (子:zǐ) คือ 23.00 – 24.59 น.
