บทที่ 3 เดรัจฉานสติฟั่นเฟือน
บุรุษร่างสูงสง่า สวมอาภรณ์สีเข้มปักดิ้นทองลายมังกรย่างกรายเข้ามาด้านใน จูฟางหรงหายใจหอบถี่เพราะเพิ่งรอดตายมาอย่างหวุดหวิด เปลือกตาบางเปิดปรือขึ้นแช่มช้าก็ทันประสานเข้ากับนัยน์ตาสีนิลของผู้มาเยือน ดวงตาคมเข้มชำเลืองมองจูฟางหรงแฝงไปด้วยอำนาจดุจราชสีห์
จูฟางหรงหลุบเปลือกตาไม่อาจสู้หน้าเขา ใบหน้าของฮ่องเต้และโหย่วอี้อ๋องละม้ายกันประหนึ่งแฝดพี่แฝดน้อง ทว่าพวกเขากลับเป็นเพียงพี่น้องที่คลานตามกันมาคนละปีเท่านั้น
“ฝ่าบาท พระองค์มาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หลงอี้เซียวหย่อนกายนั่งลงตรงเก้าอี้กลางห้องด้วยท่วงท่าสบายอารมณ์
“ข้าเพียงอยากมาส่งพวกเจ้าเข้าหอ พิธีวันนี้ข้ามิได้มาเข้าร่วมเพราะกลับไม่ทัน เจ้าเร่งร้อนตบแต่งพระชายาไม่รั้งรอข้าเลยหรือน้องชาย”
“สมรสพระราชทาน และวันอภิเษกเป็นพระองค์ที่กำหนดขึ้นเอง ไยจึงกล่าวว่ากระหม่อมเร่งร้อน”
“อ่า…จริงสิ เป็นข้าเองสินะ ข้าก็หลงลืมไปเสียสนิท แล้วเหตุใดเจ้าทั้งสอง…”
ฮ่องเต้หลงอี้เซียวผินหน้ามองสตรีร่างระหงที่ถูกตรึงไว้ด้วยความฉงน “นั่น…วิธีการเข้าหอของเจ้าหรือ”
“ฝ่าบาท อย่าเข้าใจผิดนะเพคะ ท่านอ๋องเพียงล้อหม่อมฉันเล่นเท่านั้น”
หลงโหย่วอี้เลิกคิ้วหนึ่งฝั่ง เดิมทีเขาคิดว่านางจะร่ำร้องโวยวายเพื่อขอความเป็นธรรม แต่ดันผิดคาดเมื่อจูฟางหรงทำราวกำลังปกป้องตัวเขา
“หืม…ล้อเล่นน่าสนุกจริง ๆ หากข้ามาไม่ทัน พระชายาโหย่วอี้อ๋องจะเหลือเพียงนามหรือไม่”
จูฟางหรงยิ้มแหย นางอยากตอบว่าใช่ นางต้องเหลือแต่ชื่อจริง ๆ นั่นล่ะ อยากต่อว่าด่าทออ๋องปีศาจ อยากฟ้องร้องเขาให้หมดเปลือก แต่ยามนี้จูฟางหรงต้องเลือกแปรพักตร์มาอยู่ข้างสวามีจอมวายร้ายชั่วคราว เพื่อยื้อชีวิตแสนบัดซบคราที่สองของตนให้ยืนยาวขึ้นอีกหน่อย
หลงโหย่วอี้เปล่งวาจาขึ้นอีกครั้ง “ฝ่าบาทไม่ต้องกังวลพระทัย นี่ก็แค่วิธีการเข้าหอกระชับความจริงใจสำหรับสามีภรรยาเท่านั้น”
จูฟางหรงหน้าบูดลอบค่อนขอดในใจ
คนเลว กระชับความจริงใจกับผีน่ะสิ เขาทำข้าระบมไปทั้งตัว
“ฮ่า ฮ่า เช่นนี้เอง ดูเหมือนข้าเข้ามาผิดจังหวะเสียแล้ว เช่นนั้นข้าจะไม่รบกวนพวกเจ้าทั้งสอง” เอ่ยจบก็ผินหน้าไปยังธรณีทางเข้า
ขันทีซึ่งยืนรออยู่นานก็เดินถือหีบใบหนึ่งเข้ามา จากนั้นค้อมศีรษะยื่นให้หลงโหย่วอี้
“ท่านอ๋อง นี่เป็นของกำนัลจากฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
หลงโหย่วอี้เลิกคิ้ว มองใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มของผู้เป็นพี่ชาย แววตาของเขาประหนึ่งยินดีและจริงใจ ผู้ใดจะล่วงรู้ความลับของสวรรค์ว่าเบื้องหลังริมฝีปากที่ยกโค้งนั้นอาจซ่อนคมมีดไว้ก็ได้
“น้องข้า เจ้ารับไว้สิ ของสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มอรรถรสให้คืนเข้าหอของเจ้าสุขสมยิ่งขึ้น”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาส่งผลให้ขนอ่อนบนกายของจูฟางหรงลุกเกรียว
น่ากลัวทั้งพี่ทั้งน้อง
แผ่นหลังกว้างหายลับจากไปแล้ว ขันทีผู้ติดตามหับประตูลงดังเดิมอย่างแน่นหนา จูฟางหรงยังถูกตรึงร่างอยู่กับที่ แขนทั้งสองเริ่มชาหนึบเข้าให้แล้ว และเจ้าผลผิงกั่วหล่นลงจากศีรษะของนางเมื่อใดก็สุดจะรู้
หลงโหย่วอี้ชำเลืองมองสตรีที่ถูกตนขึงไว้ด้วยประกายตาร้อนระอุ “เจ้าใช้กลอุบายใด ไยจึงทำให้ฝ่าบาทมอบสมรสพระราชทานได้”
แต่เดิมจูฟางหรงทราบอยู่แล้วว่าราชวงศ์ต้องเลือกคุณหนูตระกูลขุนนางใหญ่เข้ามาเพื่อเป็นพระชายาหรือสนม แต่เรื่องสมรสพระราชทานที่นางได้รับล้วนเป็นหอหงฮวาที่จัดการไว้ทั้งสิ้น
“พระองค์ไม่เห็นหรือเพคะ หากมิใช่หม่อมฉันผู้ใดจะมีคุณสมบัติเหมาะสมกับพระองค์อีก ทั้งงดงามซ้ำยังฉลาดหลักแหลม”
หลงโหย่วอี้แค่นยิ้ม เพราะขณะที่จูฟางหรงถูกเขาพันธนาการไว้ แต่นางก็ยังกล้าตีฝีปาก เอ่ยชมตนเองดั่งหญิงเสียสติ กล่องไม้ขนาดเล็กที่เขาได้รับเมื่อครู่ถูกขว้างลงบนพื้น ฝาที่ปิดสนิทจึงแง้มเปิดพร้อมขวดหยกสีแดงกลิ้งหลุน ๆ ออกมา
หลงโหย่วอี้คิดวิธีกลั่นแกล้งผู้ร้ายปากแข็งได้เสียแล้ว ดูเหมือนของกำนัลที่ตนได้รับจะเป็นสุราเลิศรส และนั่นคงมิใช่สุราธรรมดาเสียด้วย มือหยาบกร้านหยิบมันขึ้นจากพื้น
จูฟางหรงกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ แขนเรียวทั้งสองฝั่งพยายามบิดเพื่อคลายพันธนาการ แต่นางยิ่งขยับก็ยิ่งสร้างความเจ็บปวดจนร้าวไปยันกระดูก
“ท่านอ๋อง ปล่อยหม่อมฉันนะเพคะ กางแขนกางขานาน ๆ เช่นนี้หม่อมฉันเมื่อยจะแย่”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นหยั่งเชิง “เจ้าเสนอตัวมาให้ข้าเอง ในเมื่อแต่งงานกันแล้ว ภรรยาก็คือสมบัติของสามี เจ้าต้องเชื่อฟังข้า”
จูฟางหรงหลุกหลิก นางกำลังคิดหาอุบายให้เขาใจเย็น “เพคะ หม่อมฉันย่อมต้องเชื่อฟังพระองค์ เพียงแต่ยามนี้แขนของหม่อมฉันช่างเจ็บยิ่งนัก ท่านอ๋องจะช่วยปลดโซ่ตรวนนี้ออกก่อนได้หรือไม่ มิเช่นนั้นเลือดลมหม่อมฉันไม่เดิน ต้องถูกตัดแขนจะทำเช่นไร”
“ตัดก็ตัด แขนเจ้าไม่ใช่แขนข้า”
จูฟางหรงนิ่งอึ้ง นางไม่ควรคาดหวังลม ๆ แล้ง ๆ เช่นนี้เลย รู้ทั้งรู้ว่าเขามันบุรุษเลือดเย็น
ฝ่ามือกว้างคว้าบางอย่างบริเวณเอวของตนออกมา จูฟางหรงเห็นเช่นนั้นก็ตาโต
กระบี่อ่อน! สวมชุดวิวาห์อยู่โดยแท้ก็ยังพกกระบี่ติดกาย อยากจะบ้า นี่เรียกวันมงคลได้หรือ มันวันวินาศสันตะโรชัด ๆ ...อ๋องอำมหิตคิดตัดแขนข้าเชียวหรือ?!
หลงโหย่วอี้ตวัดกระบี่อ่อนอย่างรวดเร็วประหนึ่งสายอสนีเคราะห์
เคร้ง!
เคร้ง!
จูฟางหรงหลับตาแน่นด้วยใจไหวระทึก ดูเหมือนว่าการตัดสินใจลงจากเกี้ยวช่างผิดมหันต์ นางควรวิ่งหันหลังแล้วหนีไปซะ แต่หากยามนั้นนางเลือกอีกทาง ก็ต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไปชั่วชีวิต หรือไม่ก็อาจถูกทางการลากตัวมาตัดหัวซ้ำ
เสียงโซ่ตรวนกระทบกำแพงพร้อมร่างระหงที่ทรุดฮวบลงบนพื้น
แขนข้า แขนข้าขาดแล้วหรือไม่
จูฟางหรงข่มใจแง้มเปลือกตาทีละฝั่ง จากนั้นยกแขนขึ้นสำรวจซ้ายขวา ครั้นเห็นว่านิ้วทั้งสิบยังอยู่ครบ และแขนทั้งสองไม่ได้กุด ริมฝีปากสีกุหลาบก็เผยยิ้มออกมา
ดีใจไม่นานก็ต้องหุบปากฉับ เมื่อใครบางคนกำลังจ้องจะกินเลือดเนื้อพร้อมกระชากวิญญาณอยู่ตรงหน้า แทบนับว่าปลายจมูกของนางและเขาห่างกันเพียงลมหายใจกั้น
จูฟางหรงผงะ “ท่านอ๋อง!”
เอ่ยไม่ทันจบ ฝ่ามือกว้างก็คว้าหมับไปยังปลายคางโค้งมน จากนั้นหลงโหย่วอี้ก็กรอกของเหลวในขวดหยกเข้าปากจูฟางหรงอย่างไร้ปรานี
อั๊ก! ๆ
จูฟางหรงน้ำหูน้ำตาไหล ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วดุจพลิกฝ่ามือ
“ถ้ายังปากแข็ง ก็นอนทรมานจนตายอยู่ตรงนี้เถิด”
ขวดหยกถูกขว้างออกไปอย่างไม่ไยดี จูฟางหรงกระอักไอพร้อมร่างกายที่ร้อนรุ่มดุจถูกเปลวเพลิงแผดเผา
ยาปลุกกำหนัด!
“ท่านอ๋อง นี่ท่าน…”
โหย่วอี้อ๋องยืดกายยืนเต็มความสูง เขาเหยียดยิ้มชั่วร้ายเมื่อเรือนร่างอันผุดผ่องซ้ำยังขาวราวหิมะแรกกำลังแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อ ใบหน้าพริ้มเพราแดงก่ำเพราะฤทธิ์ของยาที่ผสมอยู่ด้านในสุรา
จูฟางหรงทรมานอย่างมาก นางทั้งร้อนทั้งปั่นป่วนไปทั่วสรรพางค์
“ถ้าพรุ่งนี้เจ้ายังมีชีวิตรอด ข้าจะยอมให้โอกาสเจ้าสักครั้ง”
ร่างเพรียวบางแดดิ้นลงบนพื้นเย็นเยียบ ทว่าอีกฝ่ายกลับเดินห่างนางออกไปเนิบช้าอย่างไม่อนาทรร้อนใจ
เลือดเย็น!
หลงโหย่วอี้ต้องการง้างปากสตรีแพศยาเช่นนาง เขาจะทรมานนางให้หนักจนกว่าจะยอมปริปากเผยความจริง
จูฟางหรงแข็งใจต่อความปรารถนาที่พุ่งสูงดั่งทะเลคลั่ง ฟันเรียงสวยขบกันแน่น เปลือกตาบางปิดฉับเพื่อคุมสติ เพราะนางเกรงว่าตนอาจเผลอวิ่งรี่ไปกอดขาหรืออ้อนวอนเขาให้ช่วยปลดปล่อยแรงราคะ
และแน่นอนแค่ฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดกระจอกงอกง่อยคิดว่านางจะตายเชียวหรือ
จูฟางหรงพยุงร่างโผเผ จากนั้นใช้นิ้วเร่งสกัดจุดตนเพื่อคลายความระอุ แม้จะบรรเทาได้ไม่มาก แต่ก็พอช่วยให้นางไม่สิ้นชีวิตไปก่อน
เดรัจฉานสติฟั่นเฟือน คนสารเลว ท่านมันก็แค่บุรุษหน้าใสแต่จิตใจช่างโหดเหี้ยม ท่านทรมานข้าเพียงนี้ อย่าให้ถึงคราวของข้าบ้างแล้วกัน ข้าสาบานจะทรมานท่านให้เจ็บปวดทั้งกายทั้งใจ ให้ทนทุกข์กว่าข้าร้อยเท่าพันทวี!
เชิงอรรถ
^
ผิงกั่ว หมายถึง แอปเปิ้ล
