บทที่ 7 กลร้ายทรายเสน่หา...แก้แค้นแทนพี่สาว...
ปัจจุบันครอบครัวของมิลินเหลือเพียงสามคน คือ แม่ ตัวเธอ และ หลานชายกำพร้า แม่ของเธอเป็นภรรยาม่ายของนายทหารยศพันเอกที่เสียชีวิตในหน้าที่ ตอนนั้นเธอกับเมลิสสาพี่สาวเพิ่งเริ่มเข้าเรียนมัธยมปลาย แม้ครอบครัวของเธอจะไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือให้พี่สาวกับเธอได้เรียนตามความต้องการ แม่ที่เป็นข้าราชการครูก็มีเงินเดือนพอจะเลี้ยงดูลูกสาวสองคนให้สุขสบายตามการกินอยู่อย่างพอเพียง
เมลิสสาพี่สาวของมิลินเลือกเรียนสายอาชีพด้านออกแบบตัดเย็บเสื้อผ้าไทยและมุสลิม โดยใช้เวลาเพียงสามปีก็สามารถเปลี่ยนจากร้านตัดเสื้อธรรมดามาเป็นห้องเสื้อหรูในห้างสรรพสินค้าชั้นนำจากงานที่ประณีตสวยงาม โดยมีลูกค้าจากวงสังคมชั้นสูงทั้งไทยอิสลามมากมาย โดยเฉพาะลูกค้าจากประเทศแถบตะวันออกกลางที่ชื่นชอบฝีมือการออกแบบตัดเย็บของทางห้องเสื้อจนเป็นลูกค้าประจำอยู่นับสิบราย
ส่วนมิลินเลือกเรียนนาฏศิลป์ตามความชอบความถนัดของตน แต่หลังจากเรียนจบไม่ถึงเดือนก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดกับครอบครัวเธออีกครั้ง เป็นทั้งเรื่องไม่ดีเรื่องดีในคราวเดียวกัน เมื่อเมลิสสาตั้งครรภ์โดยไม่ยอมพูดถึงพ่อของเด็ก มิลินกับแม่ไม่เซ้าซี้ซักถามเพราะเห็นความเศร้าโศกเสียใจของเมลิสสาที่มีมากอยู่แล้ว
แล้ววันหนึ่งมิลินก็รู้ความจริงว่าผู้ชายที่ทำให้พี่สาวสุดที่รักต้องเสียใจเป็นใคร แต่ความตื่นเต้นอยู่กับมิลินแค่สองสามวินาทีแรกเท่านั้น เพราะการเงียบหายของชายผู้นั้นเป็นเหตุให้พี่สาวของมิลินต้องเผชิญกับความเศร้าโศกเสียใจและอับอายขายหน้า
การสูญเสียพี่สาวผู้เป็นที่รักหลังการคลอดหลานชายได้เพียงสามสัปดาห์ เป็นเหตุให้มิลินเคืองแค้นชายผู้นั้นอย่างหนัก เธออยากแก้แค้นแทนพี่สาว อยากสั่งสอนผู้ชายไร้สัจจะที่ทรยศต่อความรักของพี่สาวให้สาสม แล้วโชคก็เข้าข้างเธอในสี่เดือนถัดมาเมื่อทางมหาวิทยาลัยติดต่อให้เธอกับเพื่อนสนิทอีกสองคนเข้าร่วมการคัดเลือกตัวเพื่อเดินทางไปแสดงนาฏศิลป์ไทยในประเทศที่ชายผู้นั้นอยู่อาศัย
มิลินกับเพื่อนได้รับเลือกให้ร่วมทีมแสดงโขนและนางรำอย่างที่คาดหมาย โดยมิลินที่มีรูปร่างหน้าตาสวยเด่นกว่านางรำคนใดได้รับบทสำคัญอันเป็นที่นิยมของผู้ชมมาตลอด นอกจากบทเด่นนางเบญจกายแปลงในคณะโขนแล้ว เธอยังถูกเลือกให้รำฉุยฉายต่อหน้าพระพักตร์สมเด็จพระราชาธิบดีประมุขของประเทศนี้ โดยเจ้าหญิงซาบิยาห์พระนัดดาที่เสด็จมาทอดพระเนตรการแสดงตัวอย่างเป็นผู้เลือกด้วยพระองค์เอง
“ฉันชอบการแสดงของพวกเธอมากนะ และเธอรำได้ถูกใจฉัน มากที่สุด” เป็นรับสั่งที่เจ้าหญิงชมเชยมิลินกับคณะโขนและนางรำของมหาวิทยาลัย
อีกหนึ่งเดือนต่อมามิลินกับคณะแสดงโขนและนางรำได้เข้าแสดงบนเวทีหน้าท้องพระโรงอันโอฬารของพระราชวังมุนายันห์ที่ตั้งอยู่กลางมหานครหลวงในงานเลี้ยงช่วงเช้าที่พรั่งพร้อมด้วยพระญาติสนิทและแขกผู้มาจากหัวเมืองต่างๆและคณะทูตต่างประเทศมากมาย
ขณะแสดงการรำฉุยฉาย มิลินมีโอกาสได้เข้าใกล้พระราชาธิบดีและพระญาติสนิท โดยเฉพาะเจ้าชายรูปงามผู้นั่งอยู่แถวหน้าใกล้กับที่เธอรำอยู่มากที่สุด เธอสะดุดตากับใบหน้าชายหนุ่มที่เธอต้องการพบเจอ และมั่นใจว่าต้องเป็นคนเดียวกัน เพราะเขาหน้าละม้ายเหมือนคนในรูปที่ถ่ายคู่กับพี่สาวในโทรศัพท์มือถือ
ชายหนุ่มรูปงามคนนี้ มีร่างกายสูงโปร่ง ผิวเขาออกคล้ำเหมือนคนกรำแดดอยู่บ่อยๆ ใบหน้าเรียวสีแทนเคลือบเงาเคราครึ้มที่ขลิบสั้นสวยงามส่งให้ดูหล่อคลาสสิกเด่นสะดุดตามากกว่าบุรุษอื่นใดในที่นั้น การได้เห็นหน้าเขาถนัดตามิลินก็ยิ่งแน่ใจว่าเป็นคนเดียวกัน
แล้วโชคก็เข้าข้างเธออีกครั้งเมื่อนางกำนัลฝ่ายในของเจ้าหญิง ซาบิยาห์มาถามว่านางรำคนไหนมีความสามารถเต้นระบำพื้นเมืองทางแถบทะเลทรายได้บ้าง เพราะนางระบำที่พระเชษฐาของเจ้าหญิงจ้างมาแสดงให้ความสำราญแก่พระญาติหนุ่มเกิดล้มป่วยกะทันหันคนหนึ่ง มิลินจึงอาสาเข้าร่วมคณะนางระบำเหล่านั้น
การเข้าร่วมทีมนางระบำพื้นเมือง เป็นโอกาสทองของการได้แก้แค้นสมใจ เจ้าชายสูงศักดิ์ผู้ก่อกรรมกับพี่สาวของเธอต้องได้รับความอับอายต่อหน้าบุคคลหลายฝ่าย ก็สมแล้วที่เขาใจร้ายใจดำทอดทิ้งผู้หญิงซื่อบริสุทธิ์คนหนึ่งให้ต้องเผชิญชะตากรรมโดยไม่มีสามีมารับเป็นพ่อเด็กในครรภ์และเฝ้ารอคอยเขาด้วยความรักจนลมหายใจสุดท้าย
