บทที่ 8 กลร้ายทรายเสน่หา...พายุทราย...
ภายหลังที่แก้แค้นสมใจ มิลินก็กลับมารวมตัวกับเพื่อนสนิทอีกสองคนลงทุนจัดตั้งโรงเรียนสอนนาฏศิลป์ดนตรีไทย-สากล สำหรับเยาวชนวัยสี่ขวบถึงสิบห้าปี เป็นที่นิยมของผู้มีอันจะกินในกรุงและชานเมืองมาฝากบุตรหลานเข้าเรียนกันนับร้อยคนพร้อมกับการรับงานแสดงทั้งในประเทศนอกประเทศซึ่งมีงานติดต่อมาอยู่ไม่ขาด
ห้าเดือนถัดมาหุ้นส่วนสองคนของมิลินทำสัญญาตกลงรับงานจากโรงแรมไลย์วาพาเลเทรียลฮอลล์และไลย์วาพาราไดซ์รีสอร์ทสถานท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งในประเทศที่มิลินปฏิญาณว่าจะไม่ไปเหยียบที่นั่นอีก หลังทำการแก้แค้นให้พี่สาวเป็นผลสำเร็จ แต่กลับไม่อาจปฏิเสธได้เนื่องจากมีข้อตกลงในสัญญาว่ามิลินต้องอยู่ในคณะนางรำนั้น และหุ้นส่วนก็รับเงินมัดจำกว่าครึ่งล้านในวันทำสัญญามาแล้ว
กำหนดวันออกเดินทาง เหตุกลับกลายเป็นว่ามิลินถูกร้องขอให้ต้องเดินทางล่วงหน้าก่อนคนอื่นหนึ่งสัปดาห์ เพื่อรำฉุยฉายในงานต้อนรับแขกพิเศษของโรงแรม แต่กลับมาเจอเหตุการณ์คาดไม่ถึง ถูกปล้นลักพาตัวมานั่งเมื่อยล้าอยู่บนหลังเจ้าขายาวขนตางอนพาหนะเดินทางของโจรทะเลทรายที่เดินห่างจากถนนหลวงมานานหลายสิบนาที
พวกเขาเดินทางกันเนิ่นนานจนตะวันขึ้นพ้นขอบฟ้าจึงหยุดพักมิลินเหนื่อยล้านอนหลับเป็นตายลืมห่วงความปลอดภัยจากพวกโจรที่จับตัวมาเสียสนิท แต่นอนไม่ทันเต็มอิ่มก็ถูกปลุกลุกขึ้นล้างหน้ากินอาหารและเดินทางต่อ ไม่ถึงสามชั่วโมงอากาศก็เริ่มมืดครึ้มขึ้นอย่างผิดปกติ
“พายุทรายกำลังไล่หลังเรามา”
คำบอกกล่าวของลูกน้องเสียงเหน่อคนเดิมจากท้ายขบวนดึงความสนใจจากมิลินทันที...โอพายุทรายกำลังตามมา...เธอนึกภาพอย่างสยดสยองต่อข้อมูลที่ได้รับ นับเป็นเรื่องผีซ้ำด้ำพลอยที่ต้องมาเผชิญภัยธรรมชาติกับโจรกลุ่มนี้...ให้ตายสิ...เธอนึกสบถอย่างหวาดหวั่น เธอเคยเห็นพายุทรายตามข่าวทางทีวีอยู่หลายครั้ง แต่ละครั้งมันดูมืดมัวน่ากลัวมาก เธอไม่อยากทรมาน ขาดใจตายจากการสำลักฝุ่นผงทราย แล้วพวกเขาจะจัดการอย่างไรกับสถานการณ์แบบนี้
“กี่นาที” น้ำเสียงเครียดของนายโจรตาดุยิ่งทำให้มิลินกังวลหนัก
“คงอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงมันก็จะตามมาทัน” ลูกน้องคนเดิมตอบ
“มันมาเร็วกว่าที่เราคาด ต้องรีบกันแล้วละ ถ้าไม่อยากถูกฝังอยู่กลางทะเลทราย”
เมื่อคำสั่งของนายโจรบอกต่อกันไป ขบวนอูฐเกือบยี่สิบตัวก็เริ่มออกวิ่งไปทิศทางตรงข้ามกับพายุทรายที่ไล่หลังมาแบบสำนวนไทยเรียกว่า...วิ่งไม่คิดชีวิต...ซึ่งทำให้มิลินที่เพิ่งนั่งหลังอูฐเป็นครั้งแรกแทบจะร้องกรี๊ดด้วยความหวาดกลัว...ให้ตายเถอะ...เธอพึมพำ กลัวตกหลังอูฐมากกว่าพายุทรายเสียอีก
มิลินพยายามแนบเข่าสองข้างกดทับกับตัวมันและหมอบตัวลงอย่างที่เคยเรียนรู้มาบ้างจากการหัดขี่ม้าสมัยบิดายังมีชีวิตอยู่ ก่อนจะได้รับรู้ว่าร่างสูงของนายโจรตาดุโน้มทาบลงมา
...อุ๊ย เป็นอะไรเนี่ย...จิตสำนึกร้องขึ้น เมื่อสัมผัสของเขาทำให้เกิดอาการรุมๆร้อนๆแปลกๆตามเนื้อตัว อยากผละออกห่างก็ไม่อาจทำได้ เธอรีบปัดความรู้สึกที่เกิดขึ้นออกไป...จะมาหวงเนื้อหวงตัวอะไรในสถานการณ์อย่างนี้...จิตสำนึกเตือนตำหนิ
ภายหลังมิลินต้องยอมรับว่าน้ำหนักการกดทาบของนายโจรตาดุช่วยเธอให้อยู่บนหลังอูฐได้มั่นคงขึ้น แต่สิ่งที่เธอไม่อาจทำใจให้ยอมรับได้คือการนั่งอยู่บนหลังเจ้าขายาวขนตางอนที่กำลังวิ่งเหย็งๆ ยิ่งมันเร่งฝีเท้าเร็วเท่าไรเธอก็ยิ่งทุกข์ทรมานมากเท่านั้น มันกำลังทำให้ก้นงดงามของเธอเจ็บชาและหายใจไม่ค่อยทัน...โอ...เธอคงเกลียดโกรธมันน้อยไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ความเกลียดโกรธของมิลินพาลมาถึงหัวหน้าโจรที่เป็นคนบังคับพาเธอมาพานพบอันตรายจากพายุทรายที่กำลังทวีความรุนแรงไล่หลังมาติดๆ...ตายละ จะหนีทันไหมเนี่ย...เธอคร่ำครวญในใจ หนทางข้างหน้าพร่าพรายจากอากาศมืดมัวรอบกายจนเธอต้องหลับตา
เอาเถอะ จะถูกพาไปทิศทางใดก็ขอให้ปลอดภัยจากพายุทรายนั่นก่อน มิลินขยับผ้าคลุมหน้าที่นายโจรตาดุจับคลุมโพกให้ตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง สูดลมหายใจยาวหลายครั้งด้วยความอึดอัดกับแรงลมปะทะใบหน้า ยิ่งลมพัดแรงเท่าไรเจ้าฝุ่นผงทรายก็ปลิวตกมามากเท่านั้น
...โอ คุณพระคุณเจ้า...เธอจะรอดไหมเนี่ย...
“ไม่ทันก็ตายแน่” เสียงเจ้าของร่างหนาที่อยู่ด้านหลังตัวเธอพึมพำ ซึ่งทำให้คนได้ยินอยากทุบถองเขาเต็มแก่
...อ้าว แล้วจะทันไหม...มิลินโวยวายอยู่ในใจไม่อยากถูกหมกตายอยู่กลางทะเลทรายเหมือนกัน แค่ละอองทรายที่พัดมานิดๆหน่อยๆก็ทรมานลมหายใจมากพออยู่แล้ว
“จะทันไหม” มิลินแทบไม่รู้ตัวว่าตะโกนอะไรออกไป ความรักตัวกลัวตายวิ่งแล่นมาจุกอยู่บนคอหอยไม่น้อยกว่าแรงกระแทกกระเทือนที่ทำให้เธอตาลายและหายใจไม่ค่อยทัน ยิ่งมันวิ่งเร็วเธอก็ยิ่งทุกข์ทรมานนัก นึกโทษโชคชะตาที่โหดร้ายนำพาเธอมาเจอกับเรื่องแบบนี้
