กลร้ายกลรัก

92.0K · จบแล้ว
นามปากกา แสงเทียน
53
บท
798
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ทนาย VS ส.ส. รักแรก VS รักอยู่ พีรกานต์ อิทธิวงศ์ หรือ หนูนา ทนายความ ที่ปรึกษาทางด้านกฎหมาย เขาขาดการติดต่อไปหลายปี ระหว่างเราควรมีอะไรเหมือนเดิม? บุรินทร์ รัตนเดชสิทธิ์ หรือ คุณกล้า นักการเมืองหนุ่ม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่เจอกันนานทำจำไม่ได้ หรือว่าศีรษะกระแทกจนความจำเสื่อม? โปรย... เราไม่เคยคบกันเราไม่เคยคบกันหนูนา พี่ขอล่ะตั้งใจเรียนเพื่ออนาคตของหนูนาเอง เมื่อหนูนาโตขึ้นจะรู้ว่า ในบางครั้งเราต้องเสียสละบางสิ่งเพื่อบางอย่าง แม้ว่าเราจะไม่อยากทิ้งมันเลยก็ตาม พีรกานต์เข้าใจทุกอย่างหลังจากฟังบุรินทร์พูดจบ เธอเป็นเพียงบางสิ่งที่เขาทอดทิ้งเพื่อบางอย่าง...

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักนิยายปัจจุบันนางเอกเก่งพระเอกเก่งโรแมนติก

บทนำ

“สนามบินเป็นทางผ่านพอดี พี่เลยแวะมารับหนูนาแทนนาย”

‘นาย’ ความหมายในคำพูดของบุรินทร์ รัตนเดชสิทธิ์ คือ เอกณัฐ คุณาธรรมคุณ ผู้มีพระคุณในชีวิตของพีรกานต์ อิทธิวงศ์

“ขอบคุณค่ะ”

นอกจากคำพูดนี้หญิงสาวก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เธอยกมือไหว้เขาพร้อมกับคนที่เธอพาเดินทางมาด้วยกัน

ประโยคทักทายของคนที่ไม่ได้เจอกันมาเกือบ 8 ปี บุรินทร์รู้สึกว่านี่มันเป็นคำตัดจบประโยคสนทนา

หญิงสาวไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่บุรินทร์เป็นคนมารับเธอที่สนามบิน เพราะ อินอร ภรรยาของเอกณัฐส่งข้อความมาบอกแล้วว่าคนที่ไปรับวันนี้อาจจะทำให้เธอตกใจได้ แต่ก็ให้ขึ้นรถมาด้วยกันได้ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย เพราะอินอรให้เอกณัฐฉีดยากันพิษสุนัขบ้าไว้แล้ว 

“นี่เพื่อนนาค่ะชื่อ...”

“รีบขึ้นรถเถอะ เราต้องรีบเดินทางไปโรงพยาบาล”

ร่างสูงในชุดเสื้อสูทสีดำอย่างเป็นทางการผายมือให้หญิงสาวขึ้นรถตู้ที่จอดรออยู่ด้านหน้า เขากระดิกนิ้วให้ลูกน้องตัวใหญ่ยักษ์เปิดประตูรถตู้ทันที

พีรกานต์เม้มริมฝีปากแน่นเมื่อบุรินทร์ไม่คิดจะมีมารยาทกับเพื่อนร่วมทางของเธอเลย หญิงสาวตั้งใจว่าจะแนะนำให้รู้จัก แต่สิ่งที่เขาทำคือการทำตัวไร้มารยาทกับเพื่อนเธอ

นี่เป็นส.ส. แล้วจริงดิ ทำตัวเหมือนนักเลงหัวไม้ใต้สะพานลอยที่ชุมชนจริง ๆ 

หญิงสาวจึงเหลือบตาขุ่นไปมองหน้าเขา บุรินทร์เผลอสบเข้ากับดวงตาคู่นั้นแล้วเขาถอนหายใจ ก่อนจะมองเลยผ่านเธอไปยังบุคคลที่พีรกานต์อยากจะแนะนำให้เขารู้จัก

บุรินทร์คิดว่าพีรกานต์จะเดินทางจากภาคใต้มาที่กรุงเทพฯ คนเดียวเสียอีก

“ชื่ออะไรล่ะ?” เพราะบุรินทร์ไม่ได้คิดอยากจะรู้จักผู้ชายที่มากับเธออยู่แล้ว เขาก้มหน้าลงสอดมือล้วงกระเป๋าท่าทางไม่ได้คิดอยากจะรักษามารยาทอะไรเลยสักนิด

“อธิปเพื่อนสนิทนาค่ะ” ชายหนุ่มมองเลยผ่านร่างระหงของหญิงสาวในชุดทำงานกึ่งทางการ

ก่อนที่เขาจะทอดสายตาว่างเปล่าไปมองหนุ่มตี๋ผิวขาวจัดที่แต่งตัวคล้ายคลึงกับพีรกานต์ราวกับนัดแนะกันมา 

ไม่ว่าจะเสื้อสูทสีเดียวกัน เสื้อเชิ้ตด้านในสีเดียวกัน หรือแม้แต่กระเป๋าเอกสารที่เป็นยี่ห้อและสีเดียวกัน

“เดินทางเถอะ” ความรู้สึกหงุดหงิดตีซ่านขึ้นมา

บุรินทร์หันไปบอกคนสนิทว่าให้โทร. ไปบอกเอกณัฐว่าตอนนี้รับพีรกานต์ที่สนามบินแล้ว และเราทุกคนจะเดินทางไปที่โรงพยาบาล

พีรกานต์ขึ้นไปบนรถตู้แต่ปลายขาก็ต้องชะงัก เมื่อภายในรถที่เบาะหลังมีบุคคลอื่นนั่งแบบเต็มพื้นที่ ไม่ได้มีกันแค่บุรินทร์ เธอและอธิปเท่านั้น

“ส่วนนาย…ไปนั่งหน้า” นั่นไม่ใช่เสียงเธอพูดแต่เป็นเสียงบุรินทร์ที่ก้าวเท้าตามเธอขึ้นมา เขาหันไปบอกเพื่อนสนิทของเธอให้ไปนั่งเบาะด้านหน้าข้างคนขับแทน

“ตรงนี้สามคนน่าจะนั่งเบียดกันได้ค่ะ”

ในขณะที่เอ่ยปากพูดสายตาของเธอก็สบตากับเพื่อนสนิท แต่เมื่อร่างสูงของบุรินทร์ขยับมาใกล้และนั่งลงประจำเก้าอี้เท่ากับว่าปิดทางขึ้น-ลงรถไปเลย

ถ้าเธอจะลงจากรถก็ต้องผ่านเขา ซึ่งบนรถตู้ในพื้นที่แค่นี้ไม่เพียงพอที่เนื้อตัวเราจะไม่โดนกัน อย่างน้อยก็ขากางเกง...

“เดี๋ยวนานั่งหน้าเองค่ะ…” เธอพูดตัดบทเพราะหนึ่งรู้สึกเกรงใจอธิป สองเธอไม่อยากนั่งข้างกันกับบุรินทร์

“ตาแหวนผ่าตัดห้าโมงตรงและตอนนี้นี่สี่โมงแล้ว หนูนาอาจจะไปอยู่ใต้นานเลยลืมไปว่ากรุงเทพฯ รถติดบรรลัย…”

บุรินทร์ไม่พูดเปล่าแต่หันไปมองหน้าเพื่อนสนิทของพีรกานต์ที่ยืนหุ่นมาดแมนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ

เมื่อบุรินทร์พูดจบพีรกานต์ถึงกับเผลอกำมือแน่น แม้ว่าเขาจะพูดด้วยน้ำเสียงเบาสบายไม่ระคายหู แต่คนที่รู้จักเขาดีอย่างเธอรู้ว่าคำว่า ‘บรรลัย’ บุรินทร์จงใจพูดกับเพื่อนเธอ

“นานั่งหลังนั่นแหละเดี๋ยวเรานั่งหน้าเอง รีบหนีความบรรลัยกันดีกว่า” พีรกานต์สบตาอธิปเมื่อเพื่อนยิ้มออกและเปิดประตูขึ้นรถไปนั่งด้านหน้า เธอก็คล้ายจะโล่งอก 

พีรกานต์เกือบลืมไปแล้วเรื่องความปากแซ่บ...อธิปก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน