บทนำ
“สนามบินเป็นทางผ่านพอดี พี่เลยแวะมารับหนูนาแทนนาย”
‘นาย’ ความหมายในคำพูดของบุรินทร์ รัตนเดชสิทธิ์ คือ เอกณัฐ คุณาธรรมคุณ ผู้มีพระคุณในชีวิตของพีรกานต์ อิทธิวงศ์
“ขอบคุณค่ะ”
นอกจากคำพูดนี้หญิงสาวก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เธอยกมือไหว้เขาพร้อมกับคนที่เธอพาเดินทางมาด้วยกัน
ประโยคทักทายของคนที่ไม่ได้เจอกันมาเกือบ 8 ปี บุรินทร์รู้สึกว่านี่มันเป็นคำตัดจบประโยคสนทนา
หญิงสาวไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่บุรินทร์เป็นคนมารับเธอที่สนามบิน เพราะ อินอร ภรรยาของเอกณัฐส่งข้อความมาบอกแล้วว่าคนที่ไปรับวันนี้อาจจะทำให้เธอตกใจได้ แต่ก็ให้ขึ้นรถมาด้วยกันได้ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย เพราะอินอรให้เอกณัฐฉีดยากันพิษสุนัขบ้าไว้แล้ว
“นี่เพื่อนนาค่ะชื่อ...”
“รีบขึ้นรถเถอะ เราต้องรีบเดินทางไปโรงพยาบาล”
ร่างสูงในชุดเสื้อสูทสีดำอย่างเป็นทางการผายมือให้หญิงสาวขึ้นรถตู้ที่จอดรออยู่ด้านหน้า เขากระดิกนิ้วให้ลูกน้องตัวใหญ่ยักษ์เปิดประตูรถตู้ทันที
พีรกานต์เม้มริมฝีปากแน่นเมื่อบุรินทร์ไม่คิดจะมีมารยาทกับเพื่อนร่วมทางของเธอเลย หญิงสาวตั้งใจว่าจะแนะนำให้รู้จัก แต่สิ่งที่เขาทำคือการทำตัวไร้มารยาทกับเพื่อนเธอ
นี่เป็นส.ส. แล้วจริงดิ ทำตัวเหมือนนักเลงหัวไม้ใต้สะพานลอยที่ชุมชนจริง ๆ
หญิงสาวจึงเหลือบตาขุ่นไปมองหน้าเขา บุรินทร์เผลอสบเข้ากับดวงตาคู่นั้นแล้วเขาถอนหายใจ ก่อนจะมองเลยผ่านเธอไปยังบุคคลที่พีรกานต์อยากจะแนะนำให้เขารู้จัก
บุรินทร์คิดว่าพีรกานต์จะเดินทางจากภาคใต้มาที่กรุงเทพฯ คนเดียวเสียอีก
“ชื่ออะไรล่ะ?” เพราะบุรินทร์ไม่ได้คิดอยากจะรู้จักผู้ชายที่มากับเธออยู่แล้ว เขาก้มหน้าลงสอดมือล้วงกระเป๋าท่าทางไม่ได้คิดอยากจะรักษามารยาทอะไรเลยสักนิด
“อธิปเพื่อนสนิทนาค่ะ” ชายหนุ่มมองเลยผ่านร่างระหงของหญิงสาวในชุดทำงานกึ่งทางการ
ก่อนที่เขาจะทอดสายตาว่างเปล่าไปมองหนุ่มตี๋ผิวขาวจัดที่แต่งตัวคล้ายคลึงกับพีรกานต์ราวกับนัดแนะกันมา
ไม่ว่าจะเสื้อสูทสีเดียวกัน เสื้อเชิ้ตด้านในสีเดียวกัน หรือแม้แต่กระเป๋าเอกสารที่เป็นยี่ห้อและสีเดียวกัน
“เดินทางเถอะ” ความรู้สึกหงุดหงิดตีซ่านขึ้นมา
บุรินทร์หันไปบอกคนสนิทว่าให้โทร. ไปบอกเอกณัฐว่าตอนนี้รับพีรกานต์ที่สนามบินแล้ว และเราทุกคนจะเดินทางไปที่โรงพยาบาล
พีรกานต์ขึ้นไปบนรถตู้แต่ปลายขาก็ต้องชะงัก เมื่อภายในรถที่เบาะหลังมีบุคคลอื่นนั่งแบบเต็มพื้นที่ ไม่ได้มีกันแค่บุรินทร์ เธอและอธิปเท่านั้น
“ส่วนนาย…ไปนั่งหน้า” นั่นไม่ใช่เสียงเธอพูดแต่เป็นเสียงบุรินทร์ที่ก้าวเท้าตามเธอขึ้นมา เขาหันไปบอกเพื่อนสนิทของเธอให้ไปนั่งเบาะด้านหน้าข้างคนขับแทน
“ตรงนี้สามคนน่าจะนั่งเบียดกันได้ค่ะ”
ในขณะที่เอ่ยปากพูดสายตาของเธอก็สบตากับเพื่อนสนิท แต่เมื่อร่างสูงของบุรินทร์ขยับมาใกล้และนั่งลงประจำเก้าอี้เท่ากับว่าปิดทางขึ้น-ลงรถไปเลย
ถ้าเธอจะลงจากรถก็ต้องผ่านเขา ซึ่งบนรถตู้ในพื้นที่แค่นี้ไม่เพียงพอที่เนื้อตัวเราจะไม่โดนกัน อย่างน้อยก็ขากางเกง...
“เดี๋ยวนานั่งหน้าเองค่ะ…” เธอพูดตัดบทเพราะหนึ่งรู้สึกเกรงใจอธิป สองเธอไม่อยากนั่งข้างกันกับบุรินทร์
“ตาแหวนผ่าตัดห้าโมงตรงและตอนนี้นี่สี่โมงแล้ว หนูนาอาจจะไปอยู่ใต้นานเลยลืมไปว่ากรุงเทพฯ รถติดบรรลัย…”
บุรินทร์ไม่พูดเปล่าแต่หันไปมองหน้าเพื่อนสนิทของพีรกานต์ที่ยืนหุ่นมาดแมนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
เมื่อบุรินทร์พูดจบพีรกานต์ถึงกับเผลอกำมือแน่น แม้ว่าเขาจะพูดด้วยน้ำเสียงเบาสบายไม่ระคายหู แต่คนที่รู้จักเขาดีอย่างเธอรู้ว่าคำว่า ‘บรรลัย’ บุรินทร์จงใจพูดกับเพื่อนเธอ
“นานั่งหลังนั่นแหละเดี๋ยวเรานั่งหน้าเอง รีบหนีความบรรลัยกันดีกว่า” พีรกานต์สบตาอธิปเมื่อเพื่อนยิ้มออกและเปิดประตูขึ้นรถไปนั่งด้านหน้า เธอก็คล้ายจะโล่งอก
พีรกานต์เกือบลืมไปแล้วเรื่องความปากแซ่บ...อธิปก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน