บทที่ 5
“ค่ะ” ดารัณจำต้องรับนามบัตรที่มิณทร์ยื่นให้มาไว้
“พรุ่งนี้นัดเพื่อนไว้ที่ไหน”
“ล็อบบี้คอนโดค่ะ”
“กี่โมง”
“อืม…ยังไม่ได้นัดเวลา ทำไมหรือคะ”
“เปล่า” แม้อยากตั้งคำถามให้ดารัณตอบอีกหลายประโยคแต่มิณทร์ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น เพราะที่ผ่านมาเขาก็ใช่ว่าจะสนใจถามสารทุกข์สุกดิบอะไรเธอมากมาย จู่ๆ ไปถามเยอะเธอก็คงรำคาญเอาเปล่าๆ
“ม่อนขอตัวก่อนนะคะ” เอ่ยเพียงแค่นั้นดารัณก็กลับห้องตัวเองไป ในขณะที่มิณทร์เผลอมองตามเธอไปเล็กน้อยอย่าลืมตัว ที่ผ่านมาเขาเอาแต่เลี่ยงที่จะพบหน้าเธอเพียงเพราะอายกับประโยคที่เธอเคยพูดในตอนนั้น คิดมาจนถึงวันนี้ว่าเธอยังชอบเขาอย่างปักใจ แต่แวตาของดารัณเวลานี้กลับไม่หลงเหลือความชอบเขาอีกแล้ว
สิ่งที่มิณทร์มองเห็นมีเพียงความเฉยชาและว่างเปล่าเท่านั้น ชายหนุ่มยิ้มเย้ยให้ตัวเองที่คิดเองเออเองมาตลอดหลายปี ก่อนจะฮึดขึ้นในใจคล้ายๆ เพ้อไปคนเดียว
“พี่ไม่เชื่อหรอกว่าม่อนจะเลิกชอบพี่แล้ว” มิณทร์เอ่ยอย่างมั่นใจเพราะเขาคือรักแรกในวัยเด็กของดารัณ ยังไงเสียเวลานี้เธอยังต้องชอบเขาอยู่ไม่มากก็น้อยแน่นอน เพราะมั่นใจแบบนั้นมิณทร์จึงจะทำทุกอย่างเพื่อให้ดารัณสารภาพความในใจออกมา
ส่วนดารัณแม้จะใจสั่นกับการได้เจอหน้ามิณทร์ในรอบหลายปี แต่เขาไม่ได้มีอิทธิพลอะไรต่อชีวิตเธออีกต่อไปแล้ว ตอนเด็กๆ มิณทร์เคยปกป้องเธอจากเด็กที่เข้ามารังแก เพราะแบบนั้นเธอจึงมองเขาว่าเป็นพี่ชายที่แสนดีและป่าวประกาศออกไปว่าโตขึ้นจะแต่งงานกับเขา
ทันทีที่เธอพูดประโยคนั้นมิณทร์ก็เปลี่ยนไปทันทีเช่นกัน เขาไม่คุยด้วยไม่มองหน้าไม่สนใจไม่เล่นกับเธออีกเลย ตีตัวออกห่างอย่างตั้งใจ เขาเติบโตขึ้นเช่นเดียวกับเธอ ยิ่งเติบโตก็ยิ่งห่างเหินทั้งระยะทางและความรู้สึก เพราะแบบนั้นดารัณจึงตัดใจและไม่เคยคิดเพ้อให้มิณทร์มารัก
ดารัณยืนสลัดความรู้สึกหม่นๆ ให้ออกไปจากใจ จากนั้นจึงเปิดประตูเข้าห้องไปซึ่งคนที่รออยู่คือธิดานั่นเอง ทั้งสองคนเข้านอนด้วยกัน ธิดายอมรับว่าเป็นห่วงดารัณแต่อีกใจก็ไม่อยากเอาความห่วงผูกชีวิตของลูกสาวบุญธรรมคนนี้ไว้ อยากให้ดารัณเติบโตและรู้จักตัวเอง
คืนนั้นทั้งสองนอนคุยกันเกือบถึงเช้าโดยที่ดารัณไม่คิดจะโทรหามิณทร์ตามนามบัตรที่ชายหนุ่มให้ไว้แต่อย่างใด ส่วนเจ้าของนามบัตรก็รอจนเก้อ
“จะไม่โทรมาจริงๆ ใช่ไหม หืม” เสียงของมิณทร์นั้นดูกระฟัดกระเฟียดเพราะเขาไม่เคยต้องรอสายจากใครเหมือนที่ดารัณทำมาก่อน พอได้เจอหน้ากันจริงๆ ก็รับรู้ได้ถึงความวุ่นวายแปลกๆ เสียแล้ว กระทั่งมิณทร์ตัดใจเลิกรอ
ธิดาจะเดินทางกลับบ้านในช่วงสายโดยมีมิณทร์และดารัณมาส่งอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ธิดายังคงไหว้วานมิณทร์ให้ช่วยดูแลดารัณซึ่งลูกชายคนเดียวก็รับปากอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ ก่อนที่จะเข้าไปคุยกับดารัณอีกหลายนาทีกว่าจะยอมขึ้นรถ
วันนี้ดารัณยังคงแต่งตัวบอยๆ แมนๆ เสื้อโอเวอร์ไซซ์กางเกงยีนตัวเก่งรองเท้าผ้าใบสีขาวแม้จะไม่ได้ใส่หมวกแก๊ปแต่ก็ยังคงใส่แมสปิดหน้าเหมือนเมื่อวาน ผมสีดำยาวถึงกลางหลังก็ถูกรวบแล้วมัดเป็นหางม้าสูง ด้านหน้ามีปอยผมลงมาปกคลุม แม้จะไม่เห็นหน้าทั้งหมดแต่คิ้ว ดวงตาและโครงหน้าบางส่วนของเธอเวลานี้ก็โดดเด่นและวันนี้เธอก็ยังคงใส่แมสอีกเช่นเคย อาจเพราะมันช่วยปกป้องเธอจากสายตาของผู้คนที่ไม่คุ้นเคยได้
เมื่อส่งผู้เป็นแม่เสร็จมิณทร์ก็ยังไม่กลับขึ้นคอนโดเสียทีเดียว ชายหนุ่มเข้าไปสั่งกาแฟจากร้านข้างๆ ขณะที่สายตาก็คอยแอบมองดารัณตลอด กระทั่งเห็นเพื่อนเธอเดินเข้ามาหาตรงล็อบบี้ ก่อนจะแกล้งเดินเข้าไปหาแบบไม่ค่อยแนบเนียนเอาเสียเลย
“อ้าว! ยังไม่ไปอีกหรือม่อน” มิณทร์เอ่ยทักขึ้นแม้จะดูขัดๆ แต่ก็ต้องปล่อยให้เลยตามเลย
“กำลังจะไปค่ะ” ดารัณหันมาตอบ การมาของชายหนุ่มปริศนาทำให้เพื่อนสนิทของโมนาสนใจ ซึ่งมิณทร์ก็ชิงแนะนำตัวออกไปทันที
“สวัสดีครับ พี่ชื่อมิณทร์เป็นพี่ชายของม่อน”
“อ๋อ…” โมนาเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้และทำท่าจะพูดต่อ ก่อนที่จะเงียบกริบเมื่อดารัณแอบสะกิดแขนเธอเป็นเชิงห้ามไว้เสียก่อน
“นี่โมนาเพื่อนสนิทม่อนค่ะ” ดารัณแนะนำโมนาให้มิณทร์ได้รู้จัก ใจเธอเต้นเพราะความประหม่าเพราะถ้าเมื่อครู่ห้ามโมนาไว้ไม่ทัน มิณทร์ก็คงรู้ว่าเธอเคยพูดเรื่องของเขาให้เพื่อนสนิทฟังแน่ จะให้เขารู้ไม่ได้เป็นอันขาดหัวเด็ดตีนขาดก็ให้รู้ไม่ได้
“สวัสดีค่ะพี่มิณทร์ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” โมนาทักทายมิณทร์ออกไปอย่างเป็นกันเอง
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ถ้าไปไหนมาไหนแล้วเกิดหลงทาง ก็…” ยังไม่ทันทีมิณทร์จะเอ่ยประโยคหวังดีเพราะอยากช่วยหากทั้งคู่เกิดหลงทางขึ้นมาจบ โมนาก็แทรกพูดขึ้น
“ไม่ต้องห่วงค่ะ เพราะโมนาเป็นคนกรุงเทพฯ ตั้งแต่เกิด แค่เลือกไปเรียนที่เชียงใหม่เพราะอยากวิ่งขึ้นดอยก็แค่นั้น” เอ่ยเสร็จเธอก็ส่งยิ้มหวานให้มิณทร์ นี่หน้าตาเธอไม่เหมือนคนกรุงเทพฯ เลยอย่างนั้นเหรอ คิดแล้วก็เศร้าใจ
“อ้อครับ งั้นตามสบายนะพี่ขอตัวก่อน”
“ค่ะ” โมนาเอ่ยรับในขณะที่ดารัณทำเพียงยิ้มเจื่อนๆ ให้มิณทร์เท่านั้นเอง กระทั่งเห็นชายหนุ่มเดินเข้าลิฟต์ไปแล้วเธอจึงเป่าลมออกปากหนักๆ
“คนนี้ใช่ไหมที่บอกเป็นรักแรกของม่อน” ได้ยินแบบนั้นดารัณก็ถึงกับยกมือขึ้นปิดปากของโมนา ก่อนจะพูดกระซิบบอกข้างหูเพื่อนสนิท “พูดเบาๆ ก็ได้” โมนาพยักหน้ารับดารัณจึงยอมลดมือลง
