บทย่อ
มีคนอยู่ประเภทหนึ่งที่ต่อให้รักก็ยังปากแข็งว่าไม่รัก และมีคนอยู่ประเภทหนึ่งที่ต่อให้เขาไม่รักก็ยังคงรักไม่เปลี่ยน ‘ม่อนรักพี่มิณทร์ โตขึ้นม่อนจะเอาพี่เป็นผัว คนอื่นห้ามยุ่ง’ นั่นคือคำประกาศจากยัยเด็กกะโปโล อ้วนดำ ผมหยิกหัวฟูฟ่อง ขี้หูขี้ตาเกราะเต็มหน้าที่ชื่อว่าดารัณ ประโยคนั้นทำเอามิณทร์ถึงกับต้องถอยห่างและก้าวออกไปจากการเป็นพี่ชายที่แสนดีของเธอ ชายหนุ่มจงใจไม่เข้าใกล้ในขณะที่หญิงสาวเองก็อายและไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขาเช่นกัน กระทั่งเวลาได้ผ่านไปจนทำให้ทั้งคู่หวนกลับมาเจอกันในวัยหนุ่มสาว เธอสวยขึ้นดูดีขึ้นและไม่ได้อยากแต่งงานกับพี่ชายอย่างมิณทร์อีกแล้ว แต่แทนที่จะดีใจเขากลับตื้อเพื่อให้ได้หัวใจของเธอคืนมา
บทที่ 1
ควันจางๆ ลอยมาจากแก้วกาแฟสีขาวซึ่งเวลานี้วางอยู่บนโต๊ะทำงานสีเข้ม กลิ่นหอมๆ ของมันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทำให้ผู้คนชื่นชม รวมถึงความขมที่ทำให้คนรักกาแฟตื่นตัวได้ตลอดทั้งวันซึ่งหนึ่งในนั้นคือมิณทร์
ชายหนุ่มเป็นหนึ่งในกรรมการผู้บริหารของบริษัทแห่งนี้ ที่นี่คือบริษัทรับออกแบบตกแต่งภายในซึ่งกำลังเป็นที่จับตามอง เพราะแม้จะก่อตั้งมาได้ไม่ถึงสิบปีแต่กลับเป็นที่ไว้ใจของกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ
ผลงานของมิณทร์และกลุ่มเพื่อนสนิทที่ร่วมก่อตั้งบริษัทเป็นที่ยอมรับ โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมที่ผุดขึ้นตามเส้นทางรถไฟฟ้าราวกับดอกเห็ดและคาเฟ่คนรุ่นใหม่แถบชานเมืองอีกหลายสิบแห่ง โดยมิณทร์พยายามดึงตัวตนของเจ้าของมาใส่เป็นไอเดีย ทุกๆ อย่างมันจึงเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองที่ยากจะลอกเลียนแบบ
แต่นั่งจิบกาแฟพร้อมคิดงานไปด้วยได้ไม่ถึงครึ่งแก้วเสียงโทรศัพท์เฉพาะที่เขาตั้งไว้ก็ดังขึ้น แค่ได้ยินเสียงเรียกเข้าชายหนุ่มก็รู้ได้ทันทีว่าใครโทรมา
“ครับแม่”
“จะมารับน้องเมื่อไหร่” ยังไม่ทันจะได้ทักทายธิดาก็เอ่ยถามถึงเรื่องสำคัญ นั่นเพราะลูกชายตัวดีของเธอบ่ายเบี่ยงเล่นแง่มาตลอดจนถึงตอนนี้ก็ไม่ว่างเว้น
“น้องไหนครับ”
“อย่ามาเฉไฉได้ไหมมิณทร์ รู้ทั้งรู้ว่าแม่หมายถึงใคร” ธิดาส่ายหน้าให้มิณทร์ นี่ถ้าอยู่ใกล้มือเธอจะหยิกให้เนื้อเขียว ที่ผ่านมาทำเป็นไม่เห็นไม่มองราวกับดารัณไม่มีตัวตนเธอก็มองผ่านมาตลอด แต่ผ่านมาสิบปีแล้วเมื่อไหร่มิณทร์จะเลิกทำตัวแบบนี้เสียที ไม่รู้หรือไงว่าอีกคนเขาไม่ได้ปลื้มตัวเองแล้ว
“ผมชอบอยู่คนเดียว ขืนให้ยัยเด็กนั่นมาอยู่ด้วย คงอึดอัดแย่ ไม่เอาหรอกครับ” มิณทร์ปฏิเสธคำขอของแม่อีกครั้ง ซึ่งก็ทำแบบนี้ตั้งแต่รู้ว่าแม่จะให้เด็กนั่นมาอยู่กับเขา
“แต่น้องเรียนจบแล้ว”
“จบแล้วก็หางานที่บ้านทำก็ได้ ไม่ต้องลงมาทำงานไกลถึงกรุงเทพฯ หรอก”
“ที่นี่ก็ไม่มีงานดีๆ อะไรให้น้องทำ”
“ไม่เลือกงานไม่ยากจนนะครับแม่”
“แล้วทำไมทีตัวเองถึงไม่กลับมาหางานที่บ้านทำ…หืม”
“เอ่อ…” คำพูดแทงใจดำของแม่ทำเอามิณทร์ถึงกับไปต่อไม่ได้ ชายหนุ่มอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ครึ่งหนึ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยขึ้น
“น้องเรียนจบได้เกียรตินิยมจะให้มาเป็นเสมียนตามล้งรับซื้อผลไม้หรือไง อีกอย่างน้องสอบสัมภาษณ์ได้งานบริษัทข้ามชาติชื่อดังในกรุงเทพฯ แม่เลยอยากให้ไปทำงานที่นั่น”
“ผมจ้างเด็กนั่นให้อยู่ดูแลแม่ก็ได้อะ” พอได้ยินแบบนี้ธิดาก็ค้านทันที นั่นเพราะเธออยากให้ดารัณได้ออกไปดูโลกกับเขาบ้าง
“ไม่เอา กว่าน้องจะเรียนจบมาก็มุมานะตั้งหลายปีจบมาก็ต้องทำงานหาประสบการณ์หาเส้นทางที่ตัวเองชอบ ไม่ใช่มาดูแลคนแก่ไม้ใกล้ฝั่งแบบแม่”
“แต่ผมห่วงแม่” นั่นคือสิ่งที่มิณทร์กังวลเช่นกัน ทั้งๆ ที่หน้าที่ตรงนั้นมันควรเป็นของเขาไม่ใช่ของคนอื่น แต่เพราะงานเขาจึงไม่มีเวลากลับไปดูแลแม่บ่อยมากนัก ทั้งๆ ที่ท่านก็ตัวคนเดียว ส่วนพ่อชิงหนีทุกคนไปอยู่ที่ชอบๆ หลายปีที่ผ่านมาถ้าจะต้องขอบคุณ หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นยัยเด็กแสบนั่น
ไม่รู้ว่าตอนนี้นิสัยเพี้ยนๆ บ้าๆ พวกนั้นหายไปหรือยัง ถ้ายังไม่หายเขาก็จะหาทางเลี่ยงการพบหน้าเธอไปตลอดแบบไม่มีกำหนดเช่นกัน
“แม่ดูแลตัวเองได้ อีกอย่างบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกน้องแบบนั้น น้องชื่อม่อน”
“โอเคๆ น้องม่อนก็น้องม่อน” มิณทร์จำต้องเรียกชื่อดารัณออกมาอย่างจำยอม โทนเสียงมันจึงไม่ได้น่าฟังสักเท่าไหร่
“จะขึ้นมารับน้องเองหรือจะให้น้องลงไปหา” ธิดาวกกลับมาคุยเรื่องสำคัญ เพราะไม่ว่ายังไงวันนี้เธอต้องเอาคำตอบจากมิณทร์ให้จงได้
“แม่ครับ ผมพูดตรงๆ อีกสักครั้งได้ไหม”
“ว่ามาสิ” คนเป็นแม่เดาได้ว่ามิณทร์จะพูดอะไร
“ผมไม่สะดวกให้เด็กนั่น เอ๊ย…ให้น้องม่อนมาอยู่ด้วยจริงๆ ผมเป็นผู้ชายนะครับแม่ จู่ๆ ชายหญิงอยู่ด้วยกันมันน่าเกลียดเปล่าๆ”
“น่าเกลียดยังไง นั่นน้องสาวแกนะ” ปลายสายเสียงห้วนกลับมาเล็กน้อย
“แต่ก็ไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ” มิณทร์แย้งขึ้น เพราะดารัณคือเด็กที่แม่เขารับมาเลี้ยงเป็นลูกตั้งแต่เกิดก็ว่าได้ เธอเป็นลูกสาวเพื่อนสนิทแม่เขาเห็นว่าพอคลอดได้ไม่นานแม่แท้ๆ ของดารัณก็เสียชีวิต ส่วนพ่อของเธอเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นใครและดูเหมือนดารัณเองก็ไม่เคยถามถึงด้วย
“งั้นแม่จะซื้อคอนโดที่กรุงเทพฯ ให้น้องสักห้อง ไว้อยู่ตอนทำงาน”
“คอนโดที่นี่ไม่ให้ห้องสองสามพันนะครับ ห้องหนึ่งเป็นล้านๆ”
“ไม่เป็นไร แม่รวย” ธิดาไหวไหล่ มรดกที่สามีทิ้งไว้ให้นั้นมากพอจะซื้อคอนโดที่กรุงเทพฯ ได้หลายห้อง รวมทั้งใช้ไปจนตายก็ไม่หมด แค่แบ่งมาเล็กๆ น้อยๆ มั่นใจได้ว่าขนหน้าแข้งเธอไม่ร่วงหรอก
“ผมรู้ว่าแม่รวย”
“ถ้ารู้ก็ไม่ต้องค้าน ในเมื่อมิณทร์ไม่สะดวกที่จะให้น้องไปอยู่ด้วย แม่ก็จะจัดการตามที่แม่สะดวกแล้วกัน” ธิดาขี้เกียจรอคำตอบจากลูกชายตัวดีที่บ่ายเบี่ยงเรื่องนี้มาตลอดเช่นกัน ถามมาตั้งแต่ดารัณใกล้จะเรียนจบจนตอนนี้จบแล้วก็ยังไม่มารับเสียที
“เอาจริงใช่ไหมครับเนี่ย” แม้จะรู้ว่าแม่เขาเอาจริงแต่มิณทร์ก็ไม่วายที่จะถามขึ้น
“แม่เหมือนคนพูดเล่นหรือไง”
“แม่”
“เอาเป็นว่าแม่ตัดสินใจแล้วก็ตามนี้ ได้ข่าวว่าคอนโดที่มิณทร์อยู่ยังพอมีห้องว่าง ถ้าพอมีเวลาก็ช่วยติดต่อเซลล์ให้แม่ที บอกไปว่าลูกค้ารายนี้จ่ายสด”
“ครับๆ ผมรู้ว่าแม่รวย” มิณทร์จำต้องรับปากก่อนพึมพำออกมาเบาๆ “ทีกับลูกขี้เหนียวแต่กับลูกเลี้ยงนี่เปย์หนักตลอด สรุปใครลูกจริงลูกเลี้ยงกันแน่”
“บ่นอะไร แม่ได้ยินนะ”
“เปล่าครับ เดี๋ยวผมจัดการให้ ภายในสองสามวันนี้แม่ได้เสียเงินล้านแน่นอน งั้นแค่นี้ก่อนนะครับผมต้องไปประชุม” เอ่ยจบมิณทร์ก็วางสายไปก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อย สุดท้ายเขาคงหนียัยเด็กขี้เหร่หัวฟูฟ่องอ้วนดำฟันเหยินที่ชื่อดารัณไม่ได้แล้วสินะ แม้จะไม่อยากบูลลี่รูปลักษณ์ภายนอกของคนอื่นแต่เคสนี้มิณทร์ก็อดไม่ได้จริงๆ