บทที่ 3
ดารัณส่ายหน้าแรงๆ ไล่เหตุการณ์บ้าๆ ที่ตัวเธอก่อไว้ในอดีตออกไปจากสมอง แต่ไล่มาสิบปีแล้วก็ยังคงแจ่มชัดตอนนั้นเธอคงคิดน้อยไปแน่ๆ ถึงพูดออกไปหรือไม่ก็อาจจะไม่ได้คิดอะไรเลย คิดแล้วก็อยากจิกหัวตัวเองในตอนนั้นนัก
“เห้อ…อยากย้อนเวลาได้จริงๆ จะโผล่ไปตอนนั้นแล้วเอามืออุดปากตัวเองซะ” เอ่ยจบก็คว้าหมอนอีกใบขึ้นมาปิดหน้าตัวเองไว้
สิบปีที่ผ่านมาเธอรู้ว่ามิณทร์เลี่ยงเหตุการณ์ที่ทำต้องมาเจอหน้าเธอตลอด ซึ่งเธอเองก็ทำเช่นนั้นขนาดสอบได้มหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ที่ใครๆ ก็อยากเรียน ทว่าเธอกลับเลือกไปเรียนที่เชียงใหม่แทน สุดท้ายพอเรียนจบมาก็ต้องลงไปทำงานที่กรุงเทพฯ อยู่ดี หกเดือนคือเวลาที่ดารัณกำหนดกับตัวเอง หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน
ขณะคิดอะไรเรื่อยเปื่อย จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ของดารัณก็ดังขึ้น ซึ่งคนที่โทรมาก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ทำงานอยู่กรุงเทพฯ ได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว ซึ่งโมนาคือสาวแกร่งที่ได้งานตั้งแต่เกรดยังออกไม่ครบทุกตัวเลยด้วยซ้ำ คุยไปคุยมาพอโมนารู้ว่าดารัณกำลังจะไปกรุงเทพฯ ก็กรี๊ดอย่างดีใจจนแสบคอไปหมด ก่อนที่ทั้งสองจะนัดหมายเจอกัน
สองอาทิตย์ต่อมา ดารัณกับธิดาก็ลงมากรุงเทพฯ โดยธิดาให้ลูกน้องที่สวนขับรถมาส่ง เรียกได้ว่ามาแบบไม่บอกไม่กล่าวเพราะขนาดลูกชายแท้ๆ อย่างมิณทร์เองยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
แม้คอนโดมิเนียมที่ธิดาซื้อให้ดารัณนั้นจะได้ชื่อว่าพร้อมเข้าอยู่ได้เลย แต่ก็ยังต้องซื้อของเพิ่มอีกเล็กน้อยซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นของกินที่ธิดานั้นแทบจะเหมามาทั้งห้าง เมื่อจัดของเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงได้เวลาโทรหามิณทร์
“ว่าอะไรนะครับแม่ แม่บอกว่าตอนนี้อยู่กรุงเทพฯ อย่างนั้นเหรอ” มิณทร์อุทานออกมาอย่างตกใจ นั่นเพราะไม่คิดมาก่อนว่าเวลานี้แม่จะอยู่กรุงเทพฯ
“ใช่…แม่อยู่กรุงเทพฯ”
“ตรงไหนของกรุงเทพฯ ครับหรือว่าคอนโด”
“อืม…คอนโด” ธิดาเอ่ยรับ
“แม่มาทั้งทีทำไมไม่บอกผม ผมจะได้ขับรถไปรับเองที่บ้าน”
“ขี้เกียจรอ ว่าแต่แถวนี้มีอะไรกินบ้างแม่กับน้องหิวแล้ว”
“เยอะครับ แต่ผมไม่มีคีย์การ์ดชั้นที่แม่อยู่ เอาเป็นว่าเราไปเจอกันที่ล็อบบี้น่าจะสะดวกกว่า” นั่นเพราะคอนโดมิเนียมที่นี่ค่อนข้างขึ้นชื่อเรื่องระบบความปลอดภัย คีย์การ์ดแต่ละห้องแต่ละชั้นจะล็อคไว้จึงไม่สามารถใช้กับชั้นอื่นได้ ถ้าจะไปที่ชั้นอื่นก็ต้องให้คนที่พักในชั้นนั้นๆ มารับที่หน้าล็อบบี้แล้วค่อยกดลิฟต์ขึ้นไปชั้นที่พัก
“อืม เดี๋ยวแม่พาน้องลงไป”
“ครับแม่” มิณทร์เอ่ยรับ ก่อนจะคว้ากระเป๋ารวมถึงกุญแจรถติดมือมาจากนั้นก็รีบปิดห้องแล้วลงไปรอแม่กับน้องสาวบุญธรรมที่ล็อบบี้
เพราะวันนี้เป็นวันหยุดชายหนุ่มจึงแต่งตัวสบายๆ ต่อให้สวมเสื้อยืดกางเกงยีนมิณทร์ก็รอดทุกลุค ยิ่งมีรูปร่างหน้าตาเป็นทรัพย์ด้วยแล้วใส่อะไรก็ดูหล่อไปเสียหมด
ในขณะที่ดารัณก็เลือกที่จะใส่เสื้อแขนยาวกางเกงขายาวแถมยังเป็นโอเวอร์ไซซ์ทั้งเสื้อและกางเกง รองเท้าผ้าใบและยังเก็บผมยาวไว้ใต้หมวกแก๊ปสีดำไม่เพียงแค่นั้นยังสวมแมสอีกชิ้น โดยให้เหตุผลกับธิดาว่าเธอรู้สึกไม่ค่อยสบายจึงไม่อยากเอาเชื้อไปแพร่ให้คนอื่น
เธอจงใจแต่งตัวทอมบอยเพื่ออำพรางรูปร่างหน้าตาของตัวเอง อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าตอนนี้เธอยังคงขี้เหร่และไม่อยากเข้าใกล้เหมือนที่ผ่านๆ มา เขาหมางเมินใส่เธอแค่ไหนเธอเองก็จะหมางเมินใส่เขาหลายเท่า
“ทางนี้ครับแม่” มิณทร์โบกไม้โบกมือเมื่อเห็นแม่และดารัณเดินออกมาจากลิฟต์ คนแรกที่ชายหนุ่มเห็นคือแม่ผู้ให้กำเนิดส่วนอีกคนเหมือนจะเอาแต่หลบอยู่ข้างหลัง
ดารัณก้มหน้าก้มตา สิบปีที่ผ่านมาต่อให้จะไม่ค่อยได้เจอหน้ามิณทร์แต่เสียงนั้นเธอได้ยินบ่อย เพราะธิดามักจะเปิดสปีกเกอร์โฟนเวลาคุยสายกับมิณทร์ เสียงที่เมื่อก่อนเคยทำให้เธอเขินและใจสั่นจนทำตัวไม่ถูก แต่ทว่าตอนนี้มันกลับไม่ได้มีอิทธิพลอะไรต่อเธออีกแล้ว
“กินอะไรดีครับ”
“อะไรก็ได้ แม่กับน้องหิวจะแย่แล้ว” นั่นเพราะวันนี้ทั้งเธอและดารัณต่างก็ยุ่งกับการซื้อของเข้าห้องจนลืมหิว พอนึกขึ้นได้ความหิวก็ประท้วงจนพากันแสบท้องไปหมด ส่วนคนขับรถที่แยกตัวไปนอนโรงแรมใกล้ๆ ก็กินข้าวเรียบร้อยแล้ว
“งั้นไปกินข้าวที่ร้านอาหารโปรดผม อยู่ไม่ไกลจากคอนโดเท่าไหร่” มิณทร์แนะนำก่อนจะพาแม่และน้องสาวบุญธรรมไปกินข้าว เมื่อครู่ดารัณก้มหน้าก้มตายกมือไหว้เขาซึ่งเขาเองก็รับไหว้เธอเช่นกัน พอขึ้นรถมาได้เธอก็เข้าสู่โหมดเงียบสนิทไม่ส่งเสียงอะไรออกมาให้ได้ยินเลยแม้แต่น้อย ซึ่งมิณทร์เองก็ไม่ได้ว่าอะไร
กระทั่งถึงร้านอาหารทั้งคู่ก็สั่งเมนูแนะนำมาเกือบครบทุกอย่าง พลังความหิวของแม่และดารัณนั้นทำลายล้างชนิดที่ว่ามิณทร์ได้แต่นั่งมองตาปริบๆ เพราะขืนค้านไปตอนนี้อาจเกิดสงครามเย็นเกิดขึ้นและเขาต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน ได้แต่คิดว่าหากกินกันไม่หมดค่อยห่อกลับบ้าน
มิณทร์นั่งคุยกับธิดาในขณะที่ดารัณเข้าสู่โหมดเงียบอีกครั้ง จะว่าไปแล้วความเงียบแบบนี้ของเธอมันก็ดีต่อเขามาก ดารัณเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตอนไหนมิณทร์เองก็ไม่รู้ตัวเช่นกันแต่มันก็ดีแล้ว ดีกว่าตอนเด็กๆ ที่เจอหน้ากันเมื่อไหร่ดารัณก็มักจะส่งยิ้มหวานโชว์ฟันหลอมาให้และชอบมานั่งใกล้เขาเสมอ ถ้าขึ้นนั่งตักได้คงทำไปนานแล้วแน่
