บทที่ 2
ภาพของดารัณในวัยเด็กยังคงตามหลอกหลอนเขาอยู่ แม้จะผ่านมาสิบปีแต่ทุกอย่างกลับยังคงแจ่มชัดโดยเฉพาะตอนที่ยัยเด็กนั่นป่าวประกาศว่าโตขึ้นจะแต่งงานกับเขา นั่นทำให้มิณทร์ทำทุกทางเพื่อจะได้มาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ พอเรียนจบก็ตัดสินใจร่วมหุ้นทำธุรกิจกับเพื่อนสนิทที่นี่นานๆ จะกลับบ้านสักครั้ง ซึ่งทุกครั้งที่กลับก็จะเลือกจังหวะที่ดารัณไม่อยู่เสมอ เรียกได้ว่าเลี่ยงได้เลี่ยงดีกว่าเจอแล้วสยองจนพลอยนอนฝันร้าย
แม้จะไม่ค่อยได้กลับมาเยี่ยมแต่เขาก็มักจะส่งของกินดีๆ หรือเสื้อผ้า รองเท้ามาให้ผู้เป็นแม่เสมอ วันเกิดหรือเทศกาลสำคัญๆ อะไรก็มักจะมีให้ไม่ขาด แม้จะเห็นแก่ตัวที่แสดงความรักต่อแม่ด้วยวิธีนี้แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ แค่คิดว่าต้องอยู่ใกล้เธอก็รู้สึกปั่นป่วนในท้องไปหมด เขาเลี่ยงเธอมาได้ถึงสิบปีและหลังจากนี้ก็จะเลี่ยงตลอดไป เขาทำมันได้แน่นอน
“ทำไมทำหน้าบอกบุญไม่รับแบบนั้น” ธิดาเอ่ยถามลูกบุญธรรมที่เธอรักและเอ็นดูราวกับลูกแท้ๆ อย่างดารัณขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ม่อนไม่อยากไปอยู่กรุงเทพฯ” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ดารัณปฏิเสธเรื่องไปกรุงเทพฯ นั่นเพราะรู้ว่าเธอต้องไปเจอและต้องไปอยู่ใกล้ใคร ต่อให้ตอนนี้เธอจะสอบสัมภาษณ์ผ่านจนได้ทำงานกับบริษัทที่อยากทำมากก็ตาม
“ทำไม ใครๆ เขาก็อยากไปกรุงเทพฯ กันทั้งนั้น ที่นี่นอกจากป่าจากเขาก็ไม่มีอะไรให้เจริญหูเจริญตาแล้วนะ” ใจจริงธิดาก็ไม่อยากให้ดารัณไปไกลหูไกลตา แต่จะให้เก็บตัวอยู่แต่ในป่าในเขาทำไร่ผลไม้ตามแบบเธอก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีที่ควร ดารัณควรได้ใช้ชีวิตควรได้ออกไปค้นหาสิ่งที่ชอบ
เพราะที่ผ่านมาเธอก็เป็นเด็กดีมาโดยตลอด ไม่เคยทำอะไรนอกลู่นอกทางแม้กระทั่งตอนไปเรียนต่อปริญญาตรีที่เชียงใหม่ ทั้งๆ ที่ดารัณสอบติดมหาลัยในกรุงเทพฯ ด้วยแต่เธอก็เลือกจะขึ้นเหนือแทน ซึ่งธิดารู้ว่าเพราะอะไรดารัณถึงตัดสินใจแบบนั้น
“ม่อนชอบป่าชอบเขา อีกอย่างม่อนอยากอยู่กับแม่ด้วย” ดารัณเรียกธิดาว่าแม่อย่างเต็มใจ แม้จะรู้ว่าผู้หญิงที่เลี้ยงดูเธอมาจะไม่ใช่แม่แท้ๆ ก็ตาม แต่ถ้าชีวิตนี้ไม่มีธิดาคอยเลี้ยงดูให้ที่อยู่ที่กินอบรมบ่มนิสัยจนโตมาอย่างทุกวันนี้ดารัณก็คิดภาพตัวเองไม่ออกว่าจะเป็นยังไง ดีไม่ดีเธออาจตายไปตั้งนานแล้วก็ได้
“คนหนึ่งอยากอยู่อีกคนก็ไม่ค่อยอยากจะกลับมาอยู่ โลกนี้มันยังไง” ธิดาส่ายหน้าไปมา อีกคนที่พูดถึงคือลูกชายแท้ๆ ของเธอที่ชีวิตนี้คงลงหลักปักฐานเป็นคนกรุงเทพฯ ไม่กลับมาบ้านเกิดอีกแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งใจหายแต่นั่นคือชีวิตที่มิณทร์เลือก คนเป็นแม่แบบเธอก็ต้องทำใจให้ยอมรับ เกิดคนเดียวตายคนเดียวจะเป็นไรไป
“พี่เขาเกลียดม่อน ถ้าม่อนไปอยู่ใกล้จะยิ่งทำให้อึดอัดเอานะคะ”
“นั่นมันปัญหาของพี่เขาไม่ใช่ของเรา ม่อนไปเพื่อเรียนรู้เพื่อหาประสบการณ์ คนเราต้องลองทำอะไรหลายๆ อย่างเพื่อค้นหาตัวเองว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร ม่อนเรียนจบภาษามาก็ต้องทำงานที่ใช้ภาษาจะให้มาคุยกับต้นไม้ใบหญ้าอีกหน่อยก็ลืมกันหมด ไหนบอกแม่ว่าถ้ามีโอกาศอยากไปเรียนต่อหรือทำงานต่างประเทศ อยู่กับแม่ที่นี่จะได้ไปหรือ” ธิดาพยายามหว่านล้อมแต่รู้ว่าคุยกับดารัณนั้นง่ายกว่าคนหัวแข็งอย่างมิณทร์มากนัก
ลูกชายเธอพอได้ปักใจอะไรแล้วก็ยากจะเปลี่ยน ที่เลี่ยงกลับมาบ้านคงตั้งใจเลี่ยงเจอหน้าดารัณเป็นแน่คิดเหรอว่าเธอรู้ไม่ทัน คงคิดว่าน้องยังรักตัวเองสินะพ่อคุณ
“แต่ม่อนเปลี่ยนใจแล้ว อยากอยู่กับแม่มากกว่า” น้ำเสียงรวมถึงแววตาที่แสดงออกมานั้นทำให้ธิดายิ่งเอ็นดูดารัณ ลูกสาวของเธอคนนี้ช่างงามทั้งหน้าตาและจิตใจ
“ห่วงอะไร คนที่นี่ออกเยอะแยะ อีกอย่างอย่ามัวแต่ห่วงแม่จนตัดโอกาสดีๆ ในชีวิตตัวเองสิม่อน ลูกแม่ต้องเติบโตไปในวันข้างหน้านะ” คำพูดของธิดาทำให้ดารัณเงียบไป เพราะตั้งแต่เล็กจนโตนั้นธิดาคอยสอนให้เธอเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และใช้ชีวิตอยู่กับความเปลี่ยนแปลงให้ได้ แม้แรกๆ มันยากแต่ก็ไม่ได้ยากเกินที่จะปรับตัว
“งั้นม่อนขอไปแค่หกเดือนได้ไหมคะ” เมื่อรู้ว่าปฏิเสธไม่ได้ดารัณก็ยื่นเงื่อนไขเรื่องเวลาแทน นั่นเพราะกรุงเทพฯ คือสถานที่ที่เธอไม่ค่อยอยากไปเป็นอันดับหนึ่ง
สาเหตุเพราะมิณทร์อยู่ที่นั่นต่อให้กรุงเทพฯ มันจะกว้างจนแทบไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันทว่าหากเลี่ยงได้ดารัณก็อยากจะเลี่ยง เวลาหกเดือนคงมากพอแล้วกับการลงไปทำงานหาประสบการณ์
ระหว่างนี้ก็จะพยายามค้นหาตัวตนของตัวเองว่าชอบทำอะไรแล้วต่อยอดสิ่งที่ชอบให้เป็นเงินได้มากน้อยแค่ไหน รวมทั้งเรื่องไปทำงานหรือเรียนต่อที่ต่างประเทศเธอก็ยังคงไม่ทิ้งเช่นกัน เธอต้องทำงานและยืนหยัดให้ได้ด้วยตัวเอง ส่วนใครที่ไม่ชอบหน้าเธอเธอก็จะอยู่ไกลๆ เข้าไว้ ไม่รบกวน ไม่สร้างความวุ่นวายให้เหมือนที่ผ่านๆ มา
“ต่อรองเก่งแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“นะคะแม่ ม่อนขอไปอยู่แค่หกเดือน”
“หกเดือนจะพออะไร”
“พอค่ะ” ดารัณตอบอย่างหนักแน่น
“เอาเถอะๆ หกเดือนหลังจากนี้ค่อยมาว่ากัน อ้อ…ข่าวดีอีกข่างคือม่อนไม่ต้องไปอยู่ห้องเดียวกันกับพี่เขาแล้วนะ แม่ซื้อห้องให้อยู่ต่างหากแล้วแต่ก็ยังเป็นคอนโดเดียวกันนั่นแหละ จะได้สบายใจกันทั้งคู่”
“ขอบคุณค่ะแม่” ดารัณยกมือไหว้ธิดา เพราะเธอเองก็กังวลเรื่องที่ต้องไปอยู่คอนโดมิเนียมมิณทร์มาก แม้จะอยู่กันคนละห้องแต่ก็ถือว่ายังอยู่ในพื้นที่เดียวกัน เข้าออกหรือจะทำอะไรคงเลี่ยงการเผชิญหน้าไม่ได้ เขาไม่ชอบหน้าเธอขนาดนั้นแล้วเรื่องอะไรเธอต้องไปอยู่ใกล้ให้รำคาญ
เมื่อแยกตัวกับธิดาแล้วดารัณก็ตรงกลับมาห้องนอนตัวเองก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงขนาดหกฟุตแสนนุ่ม ก่อนจะนึกย้อนไปเมื่อครั้งยังเป็นเด็กพร้อมกับตั้งคำถามว่าเธอทำแบบนั้นไปได้ยังไง
‘ม่อนรักพี่มิณทร์ โตขึ้นม่อนจะเอาพี่เป็นผัว คนอื่นห้ามยุ่ง’
