บทที่ 8
น้ำเย็นเฉียบที่ไหลรดลงบนใบหน้าทำให้นลินเริ่มรู้สึกตัวอีกครั้ง ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่หลายคนยืนล้อมรอบกายเธอเอาไว้ แต่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่นั่งไขว้ขาสงบนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวเก่าๆ หญิงสาวรีบดีดตัวลุกขึ้นนั่งทันทีตามสัญชาตญาณที่บ่งบอกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
“เธอฟื้นแล้วครับ” เขมหันกลับไปบอกคนที่นั่งนิ่งอยู่อย่างกระตือรือร้น แต่ดูเหมือนว่านายหนุ่มของเขาจะไม่ได้ใยดีกับคำบอกเล่านั้นสักเท่าไหร่
มาร์คัสลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอย่างช้าๆ มือข้างหนึ่งซุกไว้ในกระเป๋ากางเกง ในขณะที่มืออีกข้างก็กระชากปืนพกสีดำมะเมื่อมมาจากมือของเขม ปลายกระบอกถูกเล็งตรงไปยังร่างเล็กบอบบางของผู้หญิงตรงหน้าอย่างไม่คิดจะรีรอ นิ้วมือเรียวยาวกำลังจะกดลั่นไก แต่ทว่าคำพูดที่ดังขึ้นกลับทำให้เขาชะงักเสียก่อน
“นี่คิดจะฆ่าแกงกันเลยเหรอ! ฉันไม่เคยรู้จักพวกคุณเลยด้วยซ้ำ ทำไมจะต้องทำแบบนี้ด้วย!” นลินถามเสียงแข็ง ถึงแม้ว่าภายในนี้จะค่อนข้างมืดจนมองเห็นทุกอย่างเป็นเพียงเงารางๆ แต่มันก็ชัดเจนพอที่จะบอกได้ว่าใครคิดจะทำอะไรกับเธอ
มาร์คัสกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างเหยียดหยันโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมองเห็นหรือไม่ เขาก้าวเท้าเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น ก่อนจะทรุดกายลงนั่งในระดับเดียวกัน มือใหญ่อบอุ่นรั้งใบหน้ามอมแมมให้เชิดขึ้น แต่เจ้าตัวกลับสะบัดหน้าหนีด้วยท่าทีรังเกียจ
“น่าสนใจ... ลูกสาวท่านนายพลสิงขรใจเด็ดอย่างที่ได้ยินมาจริงๆด้วย” มาร์คัสพูดเพียงแค่นั้นก็ลุกขึ้นยืน เขายื่นปืนส่งคืนให้เขมก่อนจะเดินกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม
ไม้เมืองลอบกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากลำบาก ถึงจะอยู่กับมาร์คัสมานาน แต่เขาก็เดาไม่ออกเลยว่าชายหนุ่มกำลังคิดจะทำอย่างไรกับผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้า เมื่อครู่มาร์คัสกำลังจะลงมือปลิดชีวิตเธอด้วยมือของตัวเองแท้ๆ แต่ทำไมจู่ๆถึงล้มเลิกอะไรง่ายดายได้แบบนี้
“เอาล่ะ ก่อนตายเธอมีอะไรอยากพูดก็ว่ามา... ฉันไม่มีเวลาเล่นเกมส์ยื้อชีวิตกับเธอนานนักหรอกนะ” มาร์คัสถามขึ้นทำลายความเงียบ
การอยู่ที่นี่นานๆ มันทำให้เขาเริ่มเห็นภาพความหลังชัดเจนขึ้นทุกที สิ่งที่เคยเกิดขึ้นในนี้มันช่างน่ารังเกียจนัก และสิ่งเดียวที่จะลบล้างภาพพวกนั้นได้บ้างก็คือการทำกับผู้หญิงตรงหน้า แบบเดียวกันกับที่พี่ชายของเธอเคยทำกับน้องสาวสุดที่รักของเขา หากจะต่างกันก็ตรงวิธีการบางอย่างเท่านั้น
“ฉันอยากรู้ว่าคุณพาฉันมาขังไว้ที่นี่ทำไม ฉันไม่เคยข้องเกี่ยวอะไรกับพวกคุณ แล้วเพราะเหตุผลอะไรฉันถึงต้องมาตายอยู่ที่นี่ด้วย เพราะอะไร!” ความสับสนปนเปบวกกับความหวาดหวั่นทำให้นลินลืมตัว เธอเผลอตะคอกใส่เขาเสียงดัง ทั้งที่ชายหนุ่มเป็นผู้ควบคุมชีวิตของเธออยู่แท้ๆ แต่ถึงอย่างนั้นมาร์คัสก็ยังปั้นหน้าเรียบเฉย เขาไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำพูดของหญิงสาว เพราะรู้ดีว่าความกลัวตายนั้นเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ก็อาจจะยกเว้นเขา
“อันที่จริงคำถามนี้เธอควรเอากลับไปถามพ่อกับพี่ชายของตัวเองนะสาวน้อย ฉันเบื่อเหลือเกินที่ต้องตอบคำถามทุเรศๆพวกนั้น” เขาตอบยิ้มๆ แต่แววตากลับแข็งกร้าวขึ้นอย่างน่ากลัว
“คุณน่ะสิที่ทุเรศ! ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพวกคุณเป็นใคร แต่บ้านเมืองมีขื่อมีแป ถึงจะฆ่าฉันได้แต่พวกคุณก็ไม่มีทางหนีพ้นบทลงโทษของกฎหมายไปได้หรอก!” หญิงสาวโต้กลับไม่ลดละ
“ถ้ายังไม่อยากตายก่อนที่จะได้สั่งเสียก็อย่ามาก้าวร้าวกับฉัน! เธอคิดว่ายกเรื่องกฎหมายขึ้นมาขู่แล้วฉันต้องกลัวงั้นเหรอ คิดผิดถนัดเลย”
ผู้นำหนุ่มเองก็ใช่ว่าจะยอมปล่อยให้เธอแสดงกิริยาไม่เหมาะสมใส่ ถึงจะยกเรื่องความตายขึ้นมาขู่ แต่นลินก็สติแตกจนไม่สนใจแล้วว่าคนพวกนี้จะจัดการกับเธออย่างไร
“คุณคิดว่าตัวเองอยู่เหนือกฎหมายหรือไง! อ๋อ...พวกคุณคงเป็นไอ้พวกคนเถื่อนที่เข้ามาอาศัยเมืองเอกรัฐอยู่ล่ะสิ น่าสมเพชจริงๆ แม้แต่แผ่นดินก็ยังไม่มีให้อยู่!”
“หยุดก้าวร้าวท่านผู้นำมาร์คัสเดี๋ยวนี้นะคุณ!” เขมตวาดขึ้นบ้างเมื่อเห็นคำพูดของหญิงสาวเริ่มเกินขอบเขตที่จะสามารถรับได้แล้ว
นลินนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อได้รู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าคือใคร ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอมักจะได้ยินจากบิดาอยู่เสมอว่าผู้นำคนใหม่ของเมืองเอกรัฐนั้นร้ายกาจแค่ไหน เธอรู้สึกไม่ชอบเขาตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีโอกาสได้พบหน้ากัน และคิดว่าผู้นำมาร์คัส แวนเดอคอร์ฟ คงจะแก่หงำเหงือกอายุมากแล้ว แต่พอได้เห็นด้วยตาตัวเองในวันนี้ หญิงสาวจึงได้รู้ว่าตัวเองคาดเดาทุกอย่างผิดทั้งหมด มีเพียงเรื่องความร้ายกาจของเขาเท่านั้นที่เธอคิดว่าตัวเองเข้าใจได้อย่างถูกต้องที่สุดแล้ว
“นี่น่ะเหรอผู้นำคนใหม่ของเมืองเอกรัฐ น่าตลกจริงๆ” นลินยังคงไม่หยุดความปากกล้าอวดดีของตัวเองลง สายตาที่ใช้มองมาร์คัสในยามนี้เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ซึ่งชายหนุ่มเองก็กำลังรู้สึกไม่ต่างไปจากเธอนัก
“ผมเตือนคุณแล้วนะว่าอย่าก้าวร้าวท่านผู้นำ!”
