บทย่อ
เขา...ต้องทรมานอยู่ทุกลมหายใจ กับการที่น้องสาวอันเป็นที่รักต้องถูกพรากไปอย่างน่าอดสู และเธอ...ลูกสาวของกบฏที่มีโทษตาย ก็คือสิ่งที่เขานำมาเพื่อชดเชยความแค้นนั้นอย่างสาสม และสิ่งเดียวที่จะสามารถลดโทษให้กับบุคคลอันเป็นที่รัก ก็มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น... เธอต้องยอมตกเป็นนางบำเรอ ของผู้ชายที่มีเสน่ห์มากล้นจนน่ากลัวอย่างเขา... มาร์คัส แวนเดอคอร์ฟ! “รู้ไหมว่าการเข้ามาหาฉันถึงที่นี่ อาจเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องนัก” “ไม่มีอะไรที่ไม่ถูกต้องหรอกค่ะ เพราะว่า... ฉันคือนางบำเรอของคุณ” “พูดแบบนี้แสดงว่าคงพร้อมแล้วสินะ” คนถามกระตุกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะขยับเข้ามายืนแนบชิดร่างบางให้มากขึ้นอีก นลินดันแผ่นอกกว้างที่อยู่ภายใต้เสื้อเชิ้ตตัวเดิมเอาไว้เบาๆ เมื่อเขาโน้มตัวลงมาหา “ทานยาก่อนเถอะค่ะ” “ฉันไม่ได้ต้องการมันตอนนี้” พูดจบเจ้าของมือหนาก็ยึดข้อมือหญิงสาวเอาไว้ โน้มใบหน้าลงมาจูบบนกลีบปากอิ่มในทันที นลินผงะถอยหลังด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากสัมผัสร้อนแรงที่อีกฝ่ายพยายามมอบให้ได้ “ตัวหอมจัง... เพิ่งอาบน้ำมาใช่ไหม” ชายหนุ่มกระซิบถาม ไม่ลืมแกล้งให้คนในอ้อมกอดตัวสั่นมากขึ้นกว่าเดิมด้วยการเม้มเบาๆ ที่ริมหู “ชะ...ใช่ค่ะ” นลินตอบเสียงแหบพร่า รู้สึกราวกับตัวเองกำลังจะละลายอยู่ภายในอ้อมกอดแข็งแกร่งนี้เสียให้ได้
บทที่ 1
แรงสั่นสะเทือนอันเกิดจากรถยนต์คันสีดำสนิทแล่นไปบนท้องถนนที่มีพื้นผิวขรุขระ เป็นเหตุให้หญิงสาวที่นอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเบาะหลังปรือตาขึ้นอย่างช้าๆ แต่ภาพทุกอย่างกลับพร่ามัวไม่ชัดเจนจนเธอต้องปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งนั้นลงอีกครั้ง
สิ่งเดียวที่เธอจดจำได้ขึ้นใจคือเรื่องที่ตัวเองเพิ่งเดินทางกลับมาจากประเทศออสเตรเลีย หลังจากที่เรียนจบปริญญาตรีมาหมาดๆ และเมื่อมาถึงสนามบินก็มีชายสองคนออกมาแสดงตัวว่าเป็นคนสนิทของบิดาที่ถูกส่งมาเพื่อรับเธอกลับไปที่บ้าน
หญิงสาวไม่ได้ฉุกคิดหรือระมัดระวังอะไรมากเป็นพิเศษ เพราะชายทั้งสองนั้นดูน่าเชื่อถือและอัธยาศัยดี อีกทั้งตัวเธอเองก็จำไม่ได้ด้วยว่าใครคือคนของบิดา เพราะตลอดเวลาสี่ปีที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างบ้านต่างเมือง เธอไม่เคยกลับมาที่เมืองเอกรัฐเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ชายหนุ่มรูปร่างกำยำน่าเกรงขามเหลือบตามองเจ้าของร่างบอบบางที่นอนนิ่งอย่างพิจารณา เธอสวยและจัดว่าเป็นผู้หญิงที่สวยมากในเมืองที่ไม่เล็กนักอย่างเอกรัฐ น่าเสียดายที่อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ เธอก็จะกลายเป็นเพียงหญิงงามที่ไร้ซึ่งลมหายใจเท่านั้น
เมืองเอกรัฐ เป็นเมืองเกาะขนาดกลางที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประเทศใดๆ มีการปกครองคล้ายกับรูปแบบของประธานาธิบดีในหลายๆประเทศ ประชาชนทุกคนมีสิทธิของตัวเองตามระบอบประชาธิปไตย และใช้ทหารในการพิทักษ์คุ้มครองแผ่นดิน
เมืองเอกรัฐมีกฎหมายที่ยุติธรรมไม่ต่างไปจากชาติอื่นๆ ที่สำคัญลักษณะภูมิประเทศที่เป็นทะเลและมีหมู่เกาะมากมายรายล้อม ยังทำให้เมืองเอกรัฐตกเป็นจุดสนใจของชาวต่างชาติ และแน่นอนว่ามันย่อมไม่เกิดผลดีแน่ ถ้าหากแผ่นดินกำลังเสี่ยงต่อภาวะที่จะถูกช่วงชิงอยู่อย่างตอนนี้
เสียงโทรศัพท์ข้างกายดังขึ้นเรียกสติ มือหนาใหญ่สมตัวรีบกดรับสายทันทีที่เห็นชื่อของบุคคลสำคัญปรากฏอยู่บนเครื่องสื่อสารทันสมัย ก่อนจะเอ่ยทักทายอย่างสุภาพ แต่ทว่าสิ่งที่เขาได้รับกลับมานั้นก็คือน้ำเสียงกราดเกรี้ยวทรงพลัง อันเกิดจากความไม่พอใจของอีกฝ่าย
“ทำไมถึงใช้เวลานานนักกับผู้หญิงแค่คนเดียว!” ปลายสายตวาดลั่น น้ำเสียงดุดันที่เล็ดลอดออกมาจากโทรศัพท์ ชัดเจนจนชายหนุ่มอีกคนที่รับตำแหน่งสารถีพลอยเครียดตามไปด้วย
“ใกล้ถึงแล้วครับท่าน ผมคิดว่าคงไม่เกินสิบห้านาที” คนรับสายเพิ่งมีโอกาสได้ชี้แจง แต่ดูเหมือนว่าผู้เป็นนายจะไม่ได้ใจเย็นลงเลยสักนิด
“แค่คิดว่างั้นเหรอเขม นายน่าจะรู้นะว่าฉันไม่ชอบอะไรที่มันไม่แน่นอน เอาล่ะ... ฉันมีเวลาให้แค่สิบนาทีเท่านั้น ถ้าพาผู้หญิงคนนั้นมาไม่ถึงที่นี่ นายสองคนเตรียมย้ายไปอยู่ที่เหมืองแร่ทางใต้ของเอกรัฐได้เลย” ปลายสายสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะกดตัดสายไปอย่างไม่สบอารมณ์
เขม แก้วอัญชัญ ถอนหายใจอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง ในขณะที่ชายหนุ่มอีกคนก็เร่งความเร็วของรถให้เพิ่มมากขึ้นอย่างรู้งาน เหมืองแร่ที่อยู่ทางใต้ของเมืองเอกรัฐนั้นไม่น่านึกถึงสักเท่าไหร่ ความป่าเถื่อนและสังคมที่เลวร้ายของที่นั่นทำให้นึกเสียวสันหลังอยู่ไม่น้อย และถ้าหากนายของเขาจะส่งไปทำงานที่นั่นจริงๆ ชายหนุ่มคงตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเองทิ้งเสียยังดีกว่า
“ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมท่านผู้นำถึงอยากได้ตัวผู้หญิงคนนี้นัก”
ไม้เมือง พลราช ถามขึ้นทั้งที่รู้ว่าไม่ควรก้าวก่ายเรื่องของเจ้านาย แต่การที่ผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจและอิทธิพลสูงสุดของเมืองเอกรัฐสั่งให้ลักพาตัวลูกสาวคนอื่นนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดนัก เพราะปกติแล้วนายของเขาไม่เคยคิดลิดรอนหรือช่วงชิงอิสรภาพจากใคร นอกเสียจากว่าจะเป็นฝ่ายถูกกระทำเข้าก่อน
“ผู้หญิงคนนี้เป็นลูกสาวของท่านนายพลสิงขรน่ะ ท่านผู้นำกับคนตระกูลนั้นเคยมีเรื่องบาดหมางครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตกันมาก่อน เรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องที่ท่านผู้นำไม่อยากพูดถึงอีก แล้วฉันก็ไม่กล้าพูดให้ตัวเองถูกฆ่าตายฟรีๆ ด้วย... แกรู้แค่ว่าท่านสั่งให้พาตัวคุณคนนี้ไปที่โรงม้าท้ายไร่อัปสรก็พอ เห็นบอกว่าจะใช้ที่นั่นเป็นแดนประหารล่ะมั้ง” เขมอธิบายให้คนข้างๆ ฟังเท่าที่เขาจะสามารถบอกได้
“อันที่จริงผมก็พอรู้นะว่ามันเคยเกิดอะไรขึ้น แต่ท่านผู้นำจะฆ่าลูกสาวท่านนายพลได้ลงคอเหรอพี่เขม”
“เออน่า แกอย่าถามให้มันมากนักได้ไหมวะ จำไว้ให้ขึ้นใจเลยนะว่าควรรู้เท่าที่เจ้านายอยากให้รู้ ทำเท่าที่เจ้านายอยากให้ทำ ไม่งั้นฉันคงได้มองดูแกย้ายก้นไปอยู่ที่เหมืองแร่ทางใต้นั่นแน่ๆ” เขมพูดกับเพื่อนรุ่นน้องพร้อมกับทำท่าทางหวาดกลัวล้อเลียน ไม้เมืองส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ปริปากถามอะไรขึ้นมาอีก
จริงอย่างที่เขมว่า... เขาควรรู้เท่าที่เจ้านายอยากให้รู้ และก็ทำอย่างที่เจ้านายอยากให้ทำก็พอ
มาร์คัส แวนเดอคอร์ฟ บุรุษหนุ่มลูกครึ่งอังกฤษเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวมรกต ยืนปั้นหน้านิ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงม้า กลิ่นไม่พึงประสงค์ทำให้คนสนิทที่ยืนขนาบข้างร่างสูงเพื่อทำหน้าที่เฝ้าอารักขาทำหน้าสะอิดสะเอียน แต่ทันทีที่หันไปเห็นดวงตาวาวโรจน์ดุจราชสีห์ของผู้เป็นนาย เขาทั้งสองก็ปรับสีหน้าให้เคร่งขรึมดั่งเดิมทันที
หลังจากสิบนาทีผ่านไป รถยนต์คันสีดำไร้แผ่นป้ายทะเบียนก็แล่นเข้ามาจอดพอดิบพอดี ชายหนุ่มในชุดสูทสากลสีดำสนิทสองคนก้าวลงมาจากรถ จากนั้นก็จัดการเปิดประตูหลังเพื่อนำร่างไร้สติของหญิงสาวออกมาด้วยเช่นกัน เขมเป็นคนช้อนร่างบอบบางไว้ในอ้อมแขน ส่วนไม้เมืองก็เดินนำหน้ามารายงานทุกอย่างให้ผู้เป็นนายฟังอย่างละเอียดตามหน้าที่
“ผู้หญิงคนนี้ชื่อนลินครับท่านผู้นำ ผมไปเอาตัวเธอมาจาก...”
“ฉันรู้ทุกอย่างดีแล้วไม้เมือง นายบอกเขมให้พาผู้หญิงคนนั้นเข้าไปไว้ในโรงม้าได้แล้ว” ไม้เมืองค้อมศีรษะลงเล็กน้อย ก่อนจะเดินตรงไปบอกเขมที่ยืนอยู่ไม่ไกลตามคำสั่งของมาร์คัส
เขมลอบถอนใจกับความเด็ดเดี่ยวที่ออกจะโหดร้ายของนายหนุ่ม แต่เขาเองก็จำยอมที่จะต้องพาสาวสวยในอ้อมแขนเดินเข้าไปในโรงม้าที่ส่งกลิ่นชวนคลื่นไส้ จากนั้นร่างของเธอก็ถูกทิ้งให้นอนราบอยู่บนพื้นที่ชื้นแฉะ และเต็มไปด้วยคราบไคลสกปรกเพียงลำพัง

